I'm here to talk to you about the economic invisibility of nature. The bad news is that mother nature's back office isn't working yet, so those invoices don't get issued. But we need to do something about this problem. I began my life as a markets professional and continued to take an interest, but most of my recent effort has been looking at the value of what comes to human beings from nature, and which doesn't get priced by the markets.
ผมมาคุยกับคุณ เกี่ยวกับความล่องหนทางเศรษฐศาสตร์ของธรรมชาติ ข่าวร้ายคือ ฝ่ายสนับสนุนของพระแม่ธรณียังไม่ทำงาน ก็เลยยังไม่ได้วางบิลเรา แต่เราต้องทำอะไรสักอย่างกับปัญหานี้ครับ ผมเริ่มต้นชีวิตในฐานะมืออาชีพของตลาด และก็ยังสนใจตลาด แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมพยายาม มองหามูลค่า ของสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ แต่ตลาดไม่ได้ประเมินมูลค่าของมัน
A project called TEEB was started in 2007, and it was launched by a group of environment ministers of the G8+5. And their basic inspiration was a stern review of Lord Stern. They asked themselves a question: If economics could make such a convincing case for early action on climate change, well why can't the same be done for conservation? Why can't an equivalent case be made for nature? And the answer is: Yeah, it can. But it's not that straightforward. Biodiversity, the living fabric of this planet, is not a gas. It exists in many layers, ecosystems, species and genes across many scales -- international, national, local, community -- and doing for nature what Lord Stern and his team did for nature is not that easy.
โครงการชื่อ ทีบ (TEEB) เริ่มต้นในปี 2007 โดยความร่วมมือของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมกลุ่มหนึ่ง จากกลุ่มประเทศ G8+5 แรงบันดาลใจพื้นฐานของพวกเขา คือรายงานของลอร์ดสเติร์น พวกเขาถามตัวเองว่า ในเมื่อเศรษฐศาสตร์สามารถโน้มน้าว ให้เราเร่งลงมือทำอะไรกับภาวะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงได้ แล้วทำไมเราจะทำอย่างเดียวกันกับการอนุรักษ์ไม่ได้ล่ะ? ทำไมเราถึงเสนอในทำนองเดียวกัน สำหรับธรรมชาติไม่ได้? และคำตอบก็คือ ทำได้ครับ แต่ทำไม่ได้ตรงๆ ขนาดนั้น ความหลากหลายทางชีวภาพ เยื่อใยมีชีวิตของดาวเคราะห์ดวงนี้ ไม่ใช่ก๊าซ มันดำรงอยู่ในหลายชั้น หลายระบบนิเวศ หลากเผ่าพันธุ์ หลายยีน ข้ามขนาดหลายขนาด -- ระหว่างประเทศ ระดับชาติ ท้องถิ่น ชุมชน -- การทำกับธรรมชาติ แบบเดียวกับที่ลอร์ดสเติร์นกับทีมของเขาทำ ไม่ใช่เรื่องง่าย
And yet, we began. We began the project with an interim report, which quickly pulled together a lot of information that had been collected on the subject by many, many researchers. And amongst our compiled results was the startling revelation that, in fact, we were losing natural capital -- the benefits that flow from nature to us. We were losing it at an extraordinary rate -- in fact, of the order of two to four trillion dollars-worth of natural capital. This came out in 2008, which was, of course, around the time that the banking crisis had shown that we had lost financial capital of the order of two and a half trillion dollars. So this was comparable in size to that kind of loss. We then have gone on since to present for [the] international community, for governments, for local governments and for business and for people, for you and me, a whole slew of reports, which were presented at the U.N. last year, which address the economic invisibility of nature and describe what can be done to solve it.
แต่แล้วเราก็เริ่มทำ เราเริ่มโครงการนี้ด้วยรายงานความก้าวหน้า ซึ่งเรารวบรวมและสังเคราะห์จาก ข้อมูลมหาศาลที่นักวิจัยจำนวนมาก รวมรวมมาก่อนแล้ว และในบรรดาผลลัพธ์ที่เรารวบรวม คือข้อค้นพบที่น่าตกตะลึงว่า เรากำลังสูญเสียทุนธรรมชาติ -- ประโยชน์ที่ไหลเวียนจากธรรมชาติมาสู่เรา เรากำลังสูญเสียมันในอัตราที่น่าตกใจ -- ถึงขนาด 2-4 ล้านล้านเหรียญ ของทุนธรรมชาติ รายงานนี้คลอดปี 2008 ซึ่งแน่นอนครับว่า เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่วิกฤตธนาคารชี้ให้เห็น ว่าเราได้สูญเสียทุนทางการเงิน ขนาด 2-4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ฉะนั้นนี่เป็นความเสียหายในระดับใกล้เคียงกัน หลังจากนั้นเราไปนำเสนอ งานนี้ต่อประชาคมโลก ต่อรัฐบาล ต่อรัฐบาลท้องถิ่น และต่อภาคธุรกิจ รวมถึงต่อประชาชนอย่างคุณและผม ทำรายงานเป็นปึกที่เรานำเสนอต่อองค์การสหประชาชาติปีที่แล้ว พูดถึงการที่ธรรมชาติล่องหนทางเศรษฐกิจ และอธิบายวิธีที่จะแก้ปัญหานี้
What is this about? A picture that you're familiar with -- the Amazon rainforests. It's a massive store of carbon, it's an amazing store of biodiversity, but what people don't really know is this also is a rain factory. Because the northeastern trade winds, as they go over the Amazonas, effectively gather the water vapor. Something like 20 billion tons per day of water vapor is sucked up by the northeastern trade winds, and eventually precipitates in the form of rain across the La Plata Basin. This rainfall cycle, this rainfall factory, effectively feeds an agricultural economy of the order of 240 billion dollars-worth in Latin America. But the question arises: Okay, so how much do Uruguay, Paraguay, Argentina and indeed the state of Mato Grosso in Brazil pay for that vital input to that economy to the state of Amazonas, which produces that rainfall? And the answer is zilch, exactly zero. That's the economic invisibility of nature. That can't keep going on, because economic incentives and disincentives are very powerful. Economics has become the currency of policy. And unless we address this invisibility, we are going to get the results that we are seeing, which is a gradual degradation and loss of this valuable natural asset.
นี่เป็นเรื่องอะไรครับ? ภาพนี้ทุกคนคงคุ้นเคยดี -- ป่าเขตร้อนในแอมะซอน ที่กักเก็บคาร์บอนปริมาณมหาศาล แหล่งความหลากหลายทางชีวภาพอันน่าทึ่ง แต่ที่คนไม่ค่อยรู้ คือมันเป็นโรงงานผลิตฝนด้วย เพราะลมตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อพัดผ่านแอมะซอน ก็สะสมละอองน้ำ ละอองน้ำประมาณสองหมื่นล้านตันต่อปี ถูกลมสินค้าตะวันออกเฉียงเหนือดูดซับ และสุดท้ายก็ตกลงมาเป็นฝน ตลอดลุ่มน้ำ ลา พลาตา วัฏจักรฝน โรงงานน้ำฝนนี้ หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจภาคเกษตร ซึ่งมีมูลค่ารวมกัน 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอเมริกาใต้ แต่คำถามคือ โอเค แล้วทีนี้ อุรุกวัย ปารากวัย อาร์เจนตินา และรัฐ มาโต กรอสโซ ในบราซิล จ่ายค่าปัจจัยการผลิตที่ขาดไม่ได้นี้ จ่ายให้กับรัฐแอมะซอนาส ผู้ผลิตฝนนี้อย่างไร คำตอบคือศูนย์ครับ เลขศูนย์ นั่นคือการล่องหนของธรรมชาติในระบบเศรษฐกิจ มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะแรงจูงใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรทางเศรษฐกิจนั้นทรงพลังมาก เศรษฐศาสตร์กลายเป็นสกุลเงินของนโยบาย จนกว่าเราจะรับมือกับ ภาวะล่องหนที่ว่านี้ เราก็จะได้ผลลัพธ์เดิมๆ ที่เรามองเห็นต่อไป นั่นคือ ความเสื่อมโทรมและสูญเสีย ของทุนธรรมชาติอันล้ำค่า
It's not just about the Amazonas, or indeed about rainforests. No matter what level you look at, whether it's at the ecosystem level or at the species level or at the genetic level, we see the same problem again and again. So rainfall cycle and water regulation by rainforests at an ecosystem level. At the species level, it's been estimated that insect-based pollination, bees pollinating fruit and so on, is something like 190 billion dollars-worth. That's something like eight percent of the total agricultural output globally. It completely passes below the radar screen. But when did a bee actually ever give you an invoice? Or for that matter, if you look at the genetic level, 60 percent of medicines were prospected, were found first as molecules in a rainforest or a reef. Once again, most of that doesn't get paid.
นี่ไม่ใช่เรื่องของแอมะซอนาส หรือป่าฝนเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะมองระดับไหน ไม่ว่าจะเป็นระบบนิเวศ หรือระดับสายพันธุ์ หรือระดับพันธุกรรม เรามองเห็นปัญหาเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉะนั้น วัฏจักรฝนและการกำกับน้ำของป่าฝน ในระดับระบบนิเวศ ในระดับสายพันธุ์ มีการประเมินว่าการผสมเกสรดอกไม้โดยแมลงต่างๆ อย่างเช่นที่ผึ้งผสมเกสรให้เกิดเป็นผลไม้ มีมูลค่า 190,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขนี้คือประมาณแปดเปอร์เซ็นต์ ของผลผลิตทางการเกษตรทั้งโลก เรามองไม่เห็นมูลค่านี้เลย แต่ผึ้งเคยส่งใบแจ้งหนี้ให้คุณไหมล่ะ หรือถ้ามองในระดับพันธุกรรม 60 เปอร์เซ็นต์ของยาที่ถูกผลิตออกมา เริ่มแรกค้นพบกันในระดับโมเลกุล ในป่าฝนหรือแนวปะการัง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครจ่ายเงินครับ
And that brings me to another aspect of this, which is, to whom should this get paid? That genetic material probably belonged, if it could belong to anyone, to a local community of poor people who parted with the knowledge that helped the researchers to find the molecule, which then became the medicine. They were the ones that didn't get paid. And if you look at the species level, you saw about fish. Today, the depletion of ocean fisheries is so significant that effectively it is effecting the ability of the poor, the artisanal fisher folk and those who fish for their own livelihoods, to feed their families. Something like a billion people depend on fish, the quantity of fish in the oceans. A billion people depend on fish for their main source for animal protein. And at this rate at which we are losing fish, it is a human problem of enormous dimensions, a health problem of a kind we haven't seen before. And finally, at the ecosystem level, whether it's flood prevention or drought control provided by the forests, or whether it is the ability of poor farmers to go out and gather leaf litter for their cattle and goats, or whether it's the ability of their wives to go and collect fuel wood from the forest, it is actually the poor who depend most on these ecosystem services.
นั่นนำผมมาสู่อีกมิติของเรื่องนี้ นั่นคือ เราควรจ่ายเงินให้กับใคร? วัตถุดิบทางพันธุกรรม ถ้ามันเป็นของใครได้ เจ้าของก็น่าจะเป็น ชุมชนยากจนในท้องถิ่น ผู้ส่งมอบความรู้ที่ช่วยให้นักวิจัยพบโมเลกุล ซึ่งต่อมากลายเป็นยา พวกเขาไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ และถ้าคุณลองดูระดับสายพันธุ์ ก็เห็นตัวอย่างจากปลา ทุกวันนี้ แหล่งประมงในทะเลร่อยหรอมากเสียจน มันส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนจน ชาวประมงยากจน และคนที่หาปลาเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง และเลี้ยงดูครอบครัว ทั่วโลกคนประมาณหนึ่งพันล้านคนต้องพึ่งพาแหล่งประมง ปริมาณปลาในทะเล ประมาณพันล้านคนอาศัยปลา เป็นแหล่งโปรตีนหลัก ในอัตราที่เรากำลังสูญเสียแหล่งประมง เป็นปัญหาของมนุษย์ที่ใหญ่หลวง เป็นปัญหาสุขภาพ แบบที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน สุดท้าย ในระดับระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทการป้องกันน้ำท่วม หรือควบคุมภัยแล้งของป่า หรือความสามารถของชาวนายากจน ในการออกไปเก็บใบไม้ มาป้อนวัวควายและแพะ หรือความสามารถของภรรยาพวกเขา ในการออกไปเก็บฟืนในป่า คนจนคือกลุ่มคน ที่พึ่งพาบริการของระบบนิเวศมากที่สุด
We did estimates in our study that for countries like Brazil, India and Indonesia, even though ecosystem services -- these benefits that flow from nature to humanity for free -- they're not very big in percentage terms of GDP -- two, four, eight, 10, 15 percent -- but in these countries, if we measure how much they're worth to the poor, the answers are more like 45 percent, 75 percent, 90 percent. That's the difference. Because these are important benefits for the poor. And you can't really have a proper model for development if at the same time you're destroying or allowing the degradation of the very asset, the most important asset, which is your development asset, that is ecological infrastructure.
ในรายงานของเรา เราประเมินว่า สำหรับประเทศอย่างบราซิล อินเดีย และอินโดนีเซีย แม้ว่านิเวศบริการ -- ประโยชน์ที่ไหลจากธรรมชาติมาสู่มนุษย์ฟรีๆ -- จะไม่ใหญ่นักในแง่สัดส่วนของจีพีดี -- 2, 4, 8, 10, 15 เปอร์เซ็นต์ -- แต่ในประเทศเหล่านี้ ถ้าเราวัดว่ามันมีมูลค่าต่อคนจนเท่าไหร่ คำตอบคือประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์, 75 เปอร์เซ็นต์, 90 เปอร์เซ็นต์ นี่คือความแตกต่าง เพราะมันสร้างประโยชน์อย่างมากให้กับคนจน และคุณก็ไม่มีวันหาโมเดลการพัฒนาที่ถูกต้องเจอ ถ้าหากในขณะเดียวกันคุณกำลังทำลายหรือยอมให้เกิด ความเสื่อมโทรมของสินทรัพย์นี้ สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด สินทรัพย์ที่สำคัญต่อการพัฒนา นั่นคือ โครงสร้างพื้นฐานของระบบนิเวศ
How bad can things get? Well here a picture of something called the mean species abundance. It's basically a measure of how many tigers, toads, ticks or whatever on average of biomass of various species are around. The green represents the percentage. If you start green, it's like 80 to 100 percent. If it's yellow, it's 40 to 60 percent. And these are percentages versus the original state, so to speak, the pre-industrial era, 1750.
สถานการณ์จะเลวร้ายได้แค่ไหนกัน? โอเค นี่คือภาพของสิ่งที่เรียกว่า ค่าเฉลี่ยความอุดมสมบูรณ์ของสายพันธุ์ มันเป็นตัวชี้วัดว่า มีเสือ อึ่งอ่าง เห็บ หรืออะไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยชีวมวลของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ สีเขียวคือเปอร์เซ็นต์ สีเขียวคือ 80-100 เปอร์เซ็นต์ สีเหลืองคือ 40-60 เปอร์เซ็นต์ เหล่านี้เป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับสภาพดั้งเดิม ปี 1750 ก่อนที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมจะเริ่ม
Now I'm going to show you how business as usual will affect this. And just watch the change in colors in India, China, Europe, sub-Saharan Africa as we move on and consume global biomass at a rate which is actually not going to be able to sustain us. See that again. The only places that remain green -- and that's not good news -- is, in fact, places like the Gobi Desert, like the tundra and like the Sahara. But that doesn't help because there were very few species and volume of biomass there in the first place. This is the challenge. The reason this is happening boils down, in my mind, to one basic problem, which is our inability to perceive the difference between public benefits and private profits. We tend to constantly ignore public wealth simply because it is in the common wealth, it's common goods.
ทีนี้ผมจะแสดงให้เห็นว่า การทำทุกอย่างแบบเดิมๆ จะส่งผลกระทบอย่างไร ลองดูนะครับ การเปลี่ยนสี ในอินเดีย จีน ยุโรป แอฟริกาใต้ทะเลทรายซะฮารา ขณะที่เราก้าวไป บริโภคชีวมวลในโลก ในอัตราที่ไม่อาจรองรับอารยธรรมในอนาคตได้ ลองดูภาพนี้อีกทีนะครับ ที่เดียวที่ยังเขียวอยู่ -- ซึ่งก็ไม่ใช่ข่าวดี คือพื้นที่อย่างทะเลทรายโกเบ ทุ่งทุนดรา และทะเลทรายซะฮารา มันไม่ช่วยเลยเพราะที่เหล่านั้นมีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิด และชีวมวลก็เบาบางมากตั้งแต่ต้น นี่คือความท้าทาย เหตุผลที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ในความคิดของผม คือปัญหาพื้นฐานเพียงประการเดียว นั่นคือ การที่เราแยกไม่ออกระหว่าง ประโยชน์สาธารณะ กับกำไรเอกชน เรามักจะละเลยความมั่งคั่งส่วนรวม เพียงเพราะมันเป็นความมั่งคั่งของสาธารณสมบัติ มันเป็นสินค้าสาธารณะ
And here's an example from Thailand where we found that, because the value of a mangrove is not that much -- it's about $600 over the life of nine years that this has been measured -- compared to its value as a shrimp farm, which is more like $9,600, there has been a gradual trend to deplete the mangroves and convert them to shrimp farms. But of course, if you look at exactly what those profits are, almost 8,000 of those dollars are, in fact, subsidies. So you compare the two sides of the coin and you find that it's more like 1,200 to 600. That's not that hard.
นี่คือตัวอย่างจากประเทศไทย ที่เราพบว่า เนื่องจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของป่าชายเลนไม่สูงมาก -- คือประมาณ 600 เหรียญสหรัฐตลอดเก้าปีที่มีการวัด -- เทียบกับมูลค่าฟาร์มกุ้ง ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9,600 เหรียญสหรัฐ จึงมีแนวโน้มต่อเนื่องที่จะถางป่าชายเลน และทำฟาร์มกุ้งแทน แต่แน่นอน ถ้าคุณดูให้ชัดว่ากำไรนี้คืออะไร ที่จริงเงินประมาณ 8,000 เหรียญสหรัฐในนี้ คือเงินอุดหนุนจากรัฐ ดังนั้นถ้าคุณเปรียบเทียบสองด้านของเหรียญ แล้วพบว่ามูลค่าจริงคือ 1,200 หรือ 600 เหรียญสหรัฐ การตัดสินใจก็ไม่ยาก
But on the other hand, if you start measuring, how much would it actually cost to restore the land of the shrimp farm back to productive use? Once salt deposition and chemical deposition has had its effects, that answer is more like $12,000 of cost. And if you see the benefits of the mangrove in terms of the storm protection and cyclone protection that you get and in terms of the fisheries, the fish nurseries, that provide fish for the poor, that answer is more like $11,000. So now look at the different lens. If you look at the lens of public wealth as against the lens of private profits, you get a completely different answer, which is clearly conservation makes more sense, and not destruction.
แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณเริ่มวัดว่า จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการฟื้นฟู ผืนดินที่ใช้ทำฟาร์มกุ้ง ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม? เมื่อการคั่งของเกลือและสารเคมีในดิน ออกฤทธิ์ไปแล้ว คำตอบคือต้องใช้เงินประมาณ 12,000 เหรียญสหรัฐ และถ้าคุณมองเห็นประโยชน์ของป่าชายเลน ในแง่ของการช่วยป้องกันพายุฝนและพายุหมุนไซโคลน และในแง่ของมูลค่าแหล่งประมง แหล่งอนุบาลปลา ที่ส่งปลาให้คนจน คำตอบคือประโยชน์มีมูลค่า 11,000 เหรียญสหรัฐ ดังนั้นลองมามองผ่านแว่นที่ต่างกันสิครับ ถ้าคุณมองผ่านแว่นความมั่งคั่งสาธารณะ แทนที่จะใช้แว่นกำไรเอกชน คุณก็จะได้คำตอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ การอนุรักษ์มีเหตุมีผลกว่า การทำลาย
So is this just a story from South Thailand? Sorry, this is a global story. And here's what the same calculation looks like, which was done recently -- well I say recently, over the last 10 years -- by a group called TRUCOST. And they calculated for the top 3,000 corporations, what are the externalities? In other words, what are the costs of doing business as usual? This is not illegal stuff, this is basically business as usual, which causes climate-changing emissions, which have an economic cost. It causes pollutants being issued, which have an economic cost, health cost and so on. Use of freshwater. If you drill water to make coke near a village farm, that's not illegal, but yes, it costs the community.
นี่เป็นแค่เรื่องของประเทศไทยภาคใต้หรือเปล่า? ขอโทษครับ มันเป็นเรื่องราวของโลก และนี่คือการคำนวณแบบเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ -- คือในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา -- โดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ทรูคอสต์ พวกเขาคำนวณสำหรับบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 3,000 บริษัท ผลกระทบภายนอกคืออะไร? พูดอีกอย่างคือ ต้นทุนของการทำธุรกิจแบบเดิมคืออะไร? นี่ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายครับ แค่การทำธุรกิจแบบเดิมๆ ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีต้นทุนทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดสารพิษ ซึ่งมีต้นทุนทางเศรษฐกิจ ต้นทุนด้านสุขภาพและอื่นๆ การใช้น้ำจืด ถ้าคุณขุดดิน สูบน้ำขึ้นมาผลิตโค้กใกล้กับที่นาในหมู่บ้าน ใช่ มันไม่ผิดกฎหมาย แต่มันสร้างต้นทุนให้กับหมู่บ้าน
Can we stop this, and how? I think the first point to make is that we need to recognize natural capital. Basically the stuff of life is natural capital, and we need to recognize and build that into our systems. When we measure GDP as a measure of economic performance at the national level, we don't include our biggest asset at the country level. When we measure corporate performances, we don't include our impacts on nature and what our business costs society. That has to stop. In fact, this was what really inspired my interest in this phase. I began a project way back called the Green Accounting Project. That was in the early 2000s when India was going gung-ho about GDP growth as the means forward -- looking at China with its stellar growths of eight, nine, 10 percent and wondering, why can we do the same? And a few friends of mine and I decided this doesn't make sense. This is going to create more cost to society and more losses. So we decided to do a massive set of calculations and started producing green accounts for India and its states. That's how my interests began and went to the TEEB project. Calculating this at the national level is one thing, and it has begun. And the World Bank has acknowledged this and they've started a project called WAVES -- Wealth Accounting and Valuation of Ecosystem Services.
เราจะหยุดพฤติกรรมนี้ได้ไหม และอย่างไร? ผมคิดว่าก้าวแรกที่ต้องทำคือ ต้องตระหนักในทุนธรรมชาติ สิ่งต่างๆ ที่เกื้อกูลชีวิตคือทุนธรรมชาติ เราต้องตระหนักในข้อนี้ และคำนึงถึงมันในระบบ เวลาที่เราวัดจีดีพี ในฐานะตัวชี้วัดผลงานทางเศรษฐกิจระดับชาติ เราไม่รวมสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเราในระดับชาติ เวลาที่เราวัดผลงานของบริษัทต่างๆ เราไม่รวมผลกระทบต่อธรรมชาติ และต้นทุนที่ธุรกิจก่อให้กับสังคม ต้องหยุดทำครับ ที่จริง นี่คือสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมสนใจเรื่องนี้ นานมาแล้วผมเริ่มโครงการหนึ่งชื่อ โครงการบัญชีสีเขียว นั่นคือต้นทศวรรษ 2000 ตอนที่อินเดียตื่นเต้นกับการเติบโตของจีดีพี ในฐานะเครื่องมือขับเคลื่อนความก้าวหน้า -- มองดูจีนซึ่งตอนนั้นเติบโต 8, 9, 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี สงสัยว่าทำไมเราจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้? ผมกับเพื่อนๆ บางคน ตัดสินใจว่ามันไร้สาระ มันจะสร้างต้นทุนและผลขาดทุนมากกว่าเดิมให้กับสังคม เราเลยตัดสินใจคิดคำนวณอย่างมโหฬาร เริ่มทำบัญชีสีเขียวของอินเดียและแคว้นต่างๆ ในอินเดีย นั่นคือจุดที่ความสนใจของผมเริ่มต้น และต่อมาก็ไปทำโครงการ TEEB การคำนวณเรื่องทำนองนี้ในระดับชาติก็เป็นประเด็นหนึ่ง และมันก็เริ่มแล้ว ธนาคารโลกก็ตระหนักเรื่องนี้แล้ว พวกเขาเริ่มโครงการหนึ่ง ชื่อ WAVES -- Wealth Accounting and Valuation of Ecosystem Services
But calculating this at the next level, that means at the business sector level, is important. And actually we've done this with the TEEB project. We've done this for a very difficult case, which was for deforestation in China. This is important, because in China in 1997, the Yellow River actually went dry for nine months causing severe loss of agriculture output and pain and loss to society. Just a year later the Yangtze flooded, causing something like 5,500 deaths. So clearly there was a problem with deforestation. It was associated largely with the construction industry.
แต่ถ้าเราจะยกระดับการคำนวณ นั่นแปลว่าระดับต่อมา คือภาคธุรกิจ มีความสำคัญมาก เราทำอย่างนั้นในโครงการ TEEB คำนวณกรณีหนึ่งซึ่งยากมากๆ นั่นคือ การตัดไม้ทำลายป่าในจีน ประเด็นนี้สำคัญ เพราะในปี 1997 ในจีน แม่น้ำเหลืองแห้งผากติดกันเก้าเดือน ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงมหาศาล สังคมเดือดร้อนและเจ็บปวด แค่ปีต่อมา แม่น้ำแยงซีก็ท่วม ทำให้คนกว่า 5,500 ชีวิตล้มตาย ดังนั้นก็ชัดเจนว่าการตัดไม้ทำลายป่ามีปัญหา ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง
And the Chinese government responded sensibly and placed a ban on felling. A retrospective on 40 years shows that if we had accounted for these costs -- the cost of loss of topsoil, the cost of loss of waterways, the lost productivity, the loss to local communities as a result of all these factors, desertification and so on -- those costs are almost twice as much as the market price of timber. So in fact, the price of timber in the Beijing marketplace ought to have been three-times what it was had it reflected the true pain and the costs to the society within China. Of course, after the event one can be wise.
ปฏิกิริยาของรัฐบาลจีนก็มีเหตุมีผล คือสั่งห้ามตัดต้นไม้ เราคำนวณย้อนหลังไป 40 ปี พบว่าถ้าหากเราคิดบัญชีต้นทุนเหล่านี้ -- ต้นทุนของการสูญเสียหน้าดิน ต้นทุนของการสูญเสียทางไหลของน้ำ ผลิตภาพที่หายไป ความสูญเสียของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยทั้งหมดนี้ การกลายเป็นทะเลทราย ฯลฯ -- ต้นทุนเหล่านี้สูงเกือบสองเท่า ของราคาไม้ซุงในตลาด ฉะนั้นในความเป็นจริง ราคาไม้ซุงในตลาดปักกิ่ง ควรจะแพงกว่าที่มันเเป็นสามเท่า เพื่อสะท้อนความเดือดร้อนและต้นทุน ที่สังคมจีนแบกรับ แน่นอนครับ เราฉลาดขึ้นได้หลังเกิดเหตุร้าย
The way to do this is to do it on a company basis, to take leadership forward, and to do it for as many important sectors which have a cost, and to disclose these answers. Someone once asked me, "Who is better or worse, is it Unilever or is it P&G when it comes to their impact on rainforests in Indonesia?" And I couldn't answer because neither of these companies, good though they are and professional though they are, do not calculate or disclose their externalities.
วิธีที่ทำได้คือทำในระดับบริษัท แสดงความเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ทำให้มากที่สุดในสาขาสำคัญๆ ที่สร้างต้นทุน และเปิดเผยคำตอบ ใครบางคนเคยถามผมว่า "ใครแย่หรือดีกว่ากัน ยูนิลีเวอร์ หรือ พีแอนด์จี เมื่อดูผลกระทบของพวกเขาต่อป่าฝนในอินโดนีเซีย?" ผมตอบไม่ได้เพราะทั้งสองบริษัทนี้ ยังดีไม่พอ และถึงแม้ว่าจะเป็นมืออาชีพ พวกเขาก็ยังไม่ได้คำนวณหรือเปิดเผยผลกระทบภายนอก
But if we look at companies like PUMA -- Jochen Zeitz, their CEO and chairman, once challenged me at a function, saying that he's going to implement my project before I finish it. Well I think we kind of did it at the same time, but he's done it. He's basically worked the cost to PUMA. PUMA has 2.7 billion dollars of turnover, 300 million dollars of profits, 200 million dollars after tax, 94 million dollars of externalities, cost to business. Now that's not a happy situation for them, but they have the confidence and the courage to come forward and say, "Here's what we are measuring. We are measuring it because we know that you cannot manage what you do not measure."
แต่ถ้าเราดูบริษัทอย่าง พูม่า -- โจเชน ไซซ์ ซีอีโอและประธานกรรมการบริษัท ครั้งหนึ่งเคยท้าทายผมในงานเลี้ยง บอกว่าเขาจะลงมือทำโครงการของผมก่อนที่ผมจะทำเสร็จ ผมคิดว่าเราทำเสร็จพร้อมกัน แต่ประเด็นคือเขาทำจริง เขาคำนวณต้นทุนของพูม่าออกมา พูม่ามียอดขายปีละ 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรปีละ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ คือกำไรหลังหักภาษี และต้นทุนภายนอก 94 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีนี้ นั่นเป็นสถานการณ์ที่ดีมากสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาก็มีความเชื่อมั่นและความกล้าหาญ ที่จะออกมาบอกว่า "นี่คือสิ่งที่เรากำลังวัด เรากำลังวัดเพราะเรารู้ ว่าคุณจัดการสิ่งที่คุณไม่วัดไม่ได้"
That's an example, I think, for us to look at and for us to draw comfort from. If more companies did this, and if more sectors engaged this as sectors, you could have analysts, business analysts, and you could have people like us and consumers and NGOs actually look and compare the social performance of companies. Today we can't yet do that, but I think the path is laid out. This can be done. And I'm delighted that the Institute of Chartered Accountants in the U.K. has already set up a coalition to do this, an international coalition.
ผมคิดว่านี่เป็นตัวอย่างให้เราศึกษา และรู้สึกมีกำลังใจ ถ้าบริษัททำแบบนี้มากขึ้น และถ้าอุตสาหกรรมต่างๆ ทำในระดับอุตสาหกรรม คุณก็สามารถให้นักวิเคราะห์ นักวิเคราะห์ธุรกิจ และคนอย่างพวกเรา ผู้บริโภค และเอ็นจีโอ มองดูและเปรียบเทียบผลประกอบการด้านสังคมของบริษัทต่างๆ วันนี้เรายังทำไม่ได้ แต่ผมคิดว่าเส้นทางถูกปูไว้แล้ว มันทำได้จริง และผมก็ดีใจมากที่สถาบันนักบัญชีรับใบอนุญาตของอังกฤษ ได้จัดตั้งแนวร่วมเพื่อทำเรื่องนี้แล้ว แนวร่วมระหว่างประเทศ
The other favorite, if you like, solution for me is the creation of green carbon markets. And by the way, these are my favorites -- externalities calculation and green carbon markets. TEEB has more than a dozen separate groups of solutions including protected area evaluation and payments for ecosystem services and eco-certification and you name it, but these are the favorites. What's green carbon? Today what we have is basically a brown carbon marketplace. It's about energy emissions. The European Union ETS is the main marketplace. It's not doing too well. We've over-issued. A bit like inflation: you over-issue currency, you get what you see, declining prices. But that's all about energy and industry.
ทางแก้อีกวิธีหนึ่งที่ผมชอบ คือการสร้างตลาดคาร์บอนสีเขียว อ้อ นี่คือวิธีโปรดของผมนะครับ -- การคำนวณผลกระทบภายนอก และตลาดคาร์บอนสีเขียว TEEB เสนอวิธีแก้หลายสิบชุด ตั้งแต่การประเมินมูลค่าของพื้นที่อนุรักษ์ การจ่ายค่าชดเชยนิเวศบริการ การออกมาตรฐานสีเขียวและอื่นๆ แต่วิธีโปรดของผมคือสองวิธีนี้ คาร์บอนสีเขียวคืออะไร? วันนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่า ตลาดคาร์บอนสีน้ำตาล มันเป็นเรื่องของการปล่อยพลังงาน ตลาด ETS ของสหภาพยุโรปเป็นตัวอย่าง มันกำลังไปไม่สวย มีใบอนุญาตปล่อยคาร์บอนเยอะเกินไป คล้ายกับเงินเฟ้อนิดหน่อย -- คุณพิมพ์ธนบัตรมามากเกินไป คุณก็จะเจอว่าราคาตกลง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องพลังงานและอุตสาหกรรม
But what we're missing is also some other emissions like black carbon, that is soot. What we're also missing is blue carbon, which, by the way, is the largest store of carbon -- more than 55 percent. Thankfully, the flux, in other words, the flow of emissions from the ocean to the atmosphere and vice versa, is more or less balanced. In fact, what's being absorbed is something like 25 percent of our emissions, which then leads to acidification or lower alkalinity in oceans. More of that in a minute.
สิ่งที่เรายังไม่มีคือการปล่อยอื่นๆ อย่างเช่นคาร์บอนสีดำ นั่นคือ เขม่าควัน และไม่มีคาร์บอนสีฟ้า ซึ่งอันที่จริงเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุด -- คือมากกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ โชคดีที่ดุลไหลเวียน นั่นคือการไหลของคาร์บอน จากท้องทะเลสู่ชั้นบรรยากาศและในทางกลับกัน ยังค่อนข้างสมดุล ที่จริงสิ่งที่ถูกดูดซับ คือก๊าซเรือนกระจกของเราประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนำไปสู่ปรากฏการณ์น้ำทะเลเป็นกรด และมีสารอัลคาไลน์น้อยลง อีกสักพักจะพูดถึงครับ
And finally, there's deforestation, and there's emission of methane from agriculture. Green carbon, which is the deforestation and agricultural emissions, and blue carbon together comprise 25 percent of our emissions. We have the means already in our hands, through a structure, through a mechanism, called REDD Plus -- a scheme for the reduced emissions from deforestation and forest degradation. And already Norway has contributed a billion dollars each towards Indonesia and Brazil to implement this Red Plus scheme. So we actually have some movement forward. But the thing is to do a lot more of that.
ทีนี้ ก็มีปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า และการปล่อยก๊าซมีเทน จากภาคการเกษตร คาร์บอนสีเขียว ซึ่งหมายถึงคาร์บอนจากการตัดไม้และภาคเกษตรกรรม และคาร์บอนสีฟ้า รวมกันคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เรามีวิธีการแล้ว ผ่านโครงสร้างหรือกลไกชื่อ เรดพลัส (REDD Plus) -- กลไกลดก๊าซเรือนกระจก จากการตัดไม้ทำลายป่าและป่าเสื่อมโทรม นอร์เวย์ได้มอบเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่ากัน ให้กับอินโดนีเซียกับบราซิล เพื่อลงมือทำโครงการเรดพลัสที่ว่านี้ ดังนั้นเราก็เห็นความคืบหน้าอยู่บ้าง แต่เรายังต้องทำอีกมาก
Will this solve the problem? Will economics solve everything? Well I'm afraid not. There is an area that is the oceans, coral reefs. As you can see, they cut across the entire globe all the way from Micronesia across Indonesia, Malaysia, India, Madagascar and to the West of the Caribbean. These red dots, these red areas, basically provide the food and livelihood for more than half a billion people. So that's almost an eighth of society. And the sad thing is that, as these coral reefs are lost -- and scientists tell us that any level of carbon dioxide in the atmosphere above 350 parts per million is too dangerous for the survival of these reefs -- we are not only risking the extinction of the entire coral species, the warm water corals, we're not only risking a fourth of all fish species which are in the oceans, but we are risking the very lives and livelihoods of more than 500 million people who live in the developing world in poor countries.
ทั้งหมดนี้จะแก้ปัญหาหรือเปล่า? เศรษฐศาสตร์จะกอบกู้ได้ทุกอย่างไหม? ผมเกรงว่าไม่ นี่คือท้องทะเล แนวปะการัง ดังที่คุณเห็น มันกินพื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่หมู่เกาะไมโครนีเซีย ข้ามน้ำไปยังอินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย มาดากัสการ์ และตะวันตกของคาริบเบียน จุดสีแดงๆ พวกนี้ ส่งมอบอาหารและชีวิตความเป็นอยู่ ให้กับคนมากกว่าห้าร้อยล้านคน ประมาณหนึ่งในแปดของสังคมโลก ข่าวร้ายคือแนวปะการังเหล่านี้หมดไปแล้ว -- นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่า ระดับคาร์บอนไดอ็อกไซด์เกิน 350 ส่วนในล้านส่วนในชั้นบรรยากาศ เป็นอันตรายเกินไป แนวปะการังอยู่ไม่ได้ -- เราไม่เพียงแต่เสี่ยงที่จะสูญเสีย ปะการังไปทั้งสายพันธุ์ คือที่อยู่ในน้ำอุ่น ไม่เพียงแต่เสี่ยงที่ปลาหนึ่งในสี่ในทะเลทั้งหมดจะสูญพันธุ์ แต่เรากำลังเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตและวิถี ของคนมากกว่า 500 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศยากจน ในโลกกำลังพัฒนา
So in selecting targets of 450 parts per million and selecting two degrees at the climate negotiations, what we have done is we've made an ethical choice. We've actually kind of made an ethical choice in society to not have coral reefs. Well what I will say to you in parting is that we may have done that. Let's think about it and what it means, but please, let's not do more of that. Because mother nature only has that much in ecological infrastructure and that much natural capital. I don't think we can afford too much of such ethical choices.
ดังนั้นการตั้งเป้า 450 ส่วนในล้านส่วน และเลือก 2 องศาเป็นเป้าการเจรจา ก็เท่ากับว่าเราได้ตัดสินใจทางศีลธรรมไปแล้ว ตัดสินใจทางศีลธรรมไปแล้วว่า ในสังคมของเรา จะไม่มีปะการัง สิ่งที่ผมจะบอกกับคุณ คือเราอาจทำอย่างนั้นไปแล้ว ลองนึกดูครับว่ามันแปลว่าอะไร แต่ขอร้อง อย่าทำอย่างนั้นอีกเลย เพราะแม่พระธรณีมีโครงสร้างพื้นฐาน ทางระบบนิเวศจำกัด และทุนธรรมชาติจำกัด ผมไม่คิดว่าเราตัดสินใจทางศีลธรรมได้มากนัก
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(ปรบมือ)