Running: it's basically just right, left, right, left, yeah? I mean, we've been doing it for two million years, so it's kind of arrogant to assume that I've got something to say that hasn't been said and performed better a long time ago. But the cool thing about running, as I've discovered, is that something bizarre happens in this activity all the time. Case in point: A couple months ago, if you saw the New York City Marathon, I guarantee you, you saw something that no one has ever seen before.
การวิ่งเนี่ย มันก็แค่ ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ใช่มั้ยครับ? ผมหมายถึงว่าพวกเราได้ทำมันมามากกว่า 2 ล้านปีมาแล้ว มันก็เลยดูเหมือนอวดดีที่จะบอกว่า ผมมีอะไรที่จะพูดเกี่ยวกับมัน ที่ยังไม่ได้ถูกพูดถึงและถูกแสดงออกมาได้ดีมากกว่านี้เมื่อนานมาแล้ว แต่สิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับการวิ่ง อย่างที่ผมได้พบคือ ว่ามันมักจะมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้น ในกิจกรรมนี้อยู่เสมอๆ ยกตัวอย่างเช่น 2-3 เดือนที่ผ่านมา ถ้าหากคุณได้ดูการวิ่งมาราธอนของเมืองนิวยอร์ค ผมยืนยันได้ว่าคุณจะเห็นอะไรบางอย่าง ที่ไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อน
An Ethiopian woman named Derartu Tulu turns up at the starting line. She's 37 years old. She hasn't won a marathon of any kind in eight years, and a few months previously, she had almost died in childbirth. Derartu Tulu was ready to hang it up and retire from the sport, but she decided she'd go for broke and try for one last big payday in the marquee event, the New York City Marathon. Except -- bad news for Derartu Tulu -- some other people had the same idea, including the Olympic gold medalist, and Paula Radcliffe, who is a monster, the fastest woman marathoner in history by far. Only 10 minutes off the men's world record, Paula Radcliffe is essentially unbeatable. That's her competition.
หญิงชาวเอธิโอเปียที่ชื่อว่า เดอราตู ตูลู (Derartu Tulu) เข้ามาถึงที่เส้นเริ่มต้น เธออายุ 37 ปี ในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยชนะการวิ่งมาราธอนใดๆ อีกทั้งไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เธอเองก็เกือบที่จะเสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตร เดอราตู ตูลู กำลังพร้อมที่จะเลิกเล่นกีฬาชนิดนี้ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อ และลองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเงินก้อนโต ในงานใหญ่ ที่การวิ่งมาราธอนประจำเมืองนิวยอร์ก เสียแต่ว่า ข่าวร้ายสำหรับ เดอราตู ตูลู ที่คนอื่นๆ ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ซึ่งรวมไปถึงนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก และพอลล่า แรดคลิฟท์ (Paula Radcliffe) ซึ่งเหมือนกับอสูรกาย ผู้หญิงที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของการวิ่งมาราธอน ซึ่งทำสถิติห่างจากสถิติของผู้ชายเพียง 10 นาที พอลล่า แรดคลิฟท์ไม่มีทางที่จะถูกโค่นลงได้ นั่นแหละคือคู่แข่งของเธอ
The gun goes off, and -- I mean, she's not even an underdog; she's, like, under the underdogs. But the under-underdog hangs tough, and 22 miles into a 26-mile race, there is Derartu Tulu, up there with the lead pack. Now, this is when something really bizarre happens. Paula Radcliffe, the one person who is sure to snatch the big paycheck from Derartu Tulu's under-underdog hands, suddenly grabs her leg and starts to fall back. So we all know what to do in this situation, right? You give her a quick crack in the teeth with your elbow and blaze for the finish line. Derartu Tulu ruins the script. Instead of taking off, she falls back and she grabs Paula Radcliffe, and says, "Come on. Come with us. You can do it." So Paula Radcliffe, unfortunately, does it. She catches up with the lead pack and is pushing toward the finish line. But then she falls back again. The second time, Derartu Tulu grabs her and tries to pull her. And Paula Radcliffe, at that point, says, "I'm done. Go." So that's a fantastic story, and we all know how it ends. She loses the check, but she goes home with something bigger and more important. Except Derartu Tulu ruins the script again. Instead of losing, she blazes past the lead pack and wins. Wins the New York City Marathon, goes home with a big fat check.
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น เธอไม่ใช่แค่เป็นหมารองบ่อน เธอเป็นยิ่งกว่าหมารองบ่อนซะอีก แต่คนที่ยิ่งกว่าหมารองบ่อนนี้ไม่ยอมลดละ และที่ระยะทาง 22 จากการแข่งขันระยะ 26 ไมล์ ก็มีเดอราตู ตูลู อยู่ด้านหน้ารวมกับกลุ่มผู้นำ ตอนนี้แหละที่มีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้น พอลล่า แรดคลิฟท์ คนๆ เดียวที่น่าจะได้รับรางวัลก้อนโตกลับบ้าน คนที่เป็นรองกว่าหมารองบ่อนอย่างเดอราตู ตูลูไม่สามารถที่จะอาจเอื้อมได้ ก็จับขาของเธอ และเริ่มที่จะวิ่งช้าลง ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเราคงรู้ว่าควรทำอย่างไรใช่มั้ยครับ? คุณควรที่จะเอาศอกกระแทกหน้าเธอซะ และรีบพุ่งเข้าเส้นชัย แต่เดอราตู ตูลูกลับสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด แทนที่จะรีบมุ่งหน้าเข้าเส้นชัย เธอวิ่งช้าลง และจับพอลล่า แรดคลิฟท์เอาไว้ และพูดว่า "เอาน่ะ มากับพวกเรา คุณทำได้" บังเอิญว่าพอลล่า แรดคลิฟท์สามารถทำได้ เธอตามกลุ่มผู้นำได้ทัน และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นชัย แต่แล้วเธอก็เริ่มช้าลงอีกครั้ง และเป็นครั้งที่สอง ที่เดอราตู ตูลูจับเธอเอาไว้ และพยายามที่จะดึงเธอให้ไปด้วยกัน และพอลล่า แรดคลิฟท์ในตอนนั้นพูดว่า "ฉันพอแล้ว ไปเถอะ" และนั่นแหละคือเรื่องราวอันยอดเยี่ยม ที่เรารู้ว่ามันจะจบยังไง เธออดได้เงินรางวัล แต่ก็กลับบ้านไปพร้อมกับบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากกว่า ยกเว้นเสียแต่ว่า เดอราตู ตูลูได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดอีกครั้ง แทนที่จะแพ้ เธอกลับวิ่งแซงกลุ่มผู้นำ และชนะการแข่ง มาราธอนประจำเมืองนิวยอร์ก กลับบ้านไปพร้อมกับเงินรางวัลก้อนโต
It's a heartwarming story, but if you drill a little bit deeper, you've got to sort of wonder about what exactly was going on there. When you have two outliers in one organism, it's not a coincidence. When you have someone who is more competitive and more compassionate than anybody else in the race, again, it's not a coincidence. You show me a creature with webbed feet and gills; somehow water's involved.
มันเป็นเรื่องราวที่น่าตื้นตันใจ แต่ถ้าคุณขุดลึกเข้าไปอีกซักนิด คุณก็คงต้องสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อไหร่ที่มันมีสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เกิดขึ้นถึงสองครั้ง ในคราวเดียว มันไม่ใช่แค่เหตุบังเอิญ เมื่อคุณมีใครบางคนที่มีความปรารถนาที่จะชนะและมีความเห็นอกเห็นใจ มากกว่าใครๆ ในการแข่ง มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ ถ้าคุณให้ผมดูสิ่งมีชีวิตที่มีขาเป็นพังผืดและมีเหงือกเหมือนปลา ด้วยเหตุผลใดก็ตามมันต้องเกี่ยวกับน้ำอย่างแน่นอน
Someone with that kind of heart, there's some kind of connection there. And the answer to it, I think, can be found down in the Copper Canyons of Mexico, where there's a reclusive tribe, called the Tarahumara Indians. Now, the Tarahumara are remarkable for three things. Number one is: they have been living essentially unchanged for the past 400 years. When the conquistadors arrived in North America you had two choices: you either fight back and engage or you could take off. The Mayans and Aztecs engaged, which is why there are very few Mayans and Aztecs. The Tarahumara had a different strategy. They took off and hid in this labyrinthine, networking, spider-webbing system of canyons called the Copper Canyons. And there they've remained since the 1600s, essentially the same way they've always been.
คนที่มีจิตใจแบบนั้น มันต้องมีความเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง และผมว่าคำตอบของมันนั้น สามารถถูกพบได้ที่ Copper Canyons ของแมกซิโก ที่ๆ มีชาวเผ่าอันสันโดษ ที่ถูกเรียกว่า ทาราฮูมารา อินเดียน (Tarahumara Indians) พวกทาราฮูมารานี้ มีความยอดเยี่ยมอยู่ 3 อย่างด้วยกัน หนึ่งเลยก็คือ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง มาเป็นเวลากว่า 400 ปีแล้ว เมื่อเหล่าผู้ล่าอาณานิคมมาถึงที่อเมริกาเหนือ คุณมีอยู่ 2 ทางเลือก คุณสามารถที่จะสู้กลับ หรือคุณสามารถที่จะหนี พวกมายันและแอซเทคเลือกที่จะสู้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเหลือชาวมายันและแอซเทคน้อยเหลือเกิน พวกทาราฮูมาราเลือกที่จะทำต่างออกไป พวกเค้าเลือกที่จะหนีและหลบซ่อนตัว อยู่ในเขาวงกต ที่เป็นเหมือนเครือข่ายใยแมงมุมของหุบเขาลึก ที่ถูกเรียกว่า Copper Canyons และพวกเขาก็อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1600 อยู่เรื่อยๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลงตลอดมา
The second thing remarkable about the Tarahumara is: deep into old age -- 70 to 80 years old -- these guys aren't running marathons; they're running mega-marathons. They're not doing 26 miles, they're doing 100, 150 miles at a time, and apparently without injury, without problems.
อย่างที่ 2 ที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับชาวทาราฮูมารา คือในช่วงชรา ประมาณช่วงอายุ 70 ถึง 80 ปี พวกเขาไม่ได้วิ่งมาราธอน แต่พวกเขาวิ่งมหามาราธอน พวกเขาไม่ได้วิ่งระยะเพียง 26 ไมล์ แต่พวกเขาวิ่งครั้งละ 100 ถึง 150 ไมล์ โดยไม่มีปัญหา ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ
The last thing that's remarkable about the Tarahumara is: all the things we're going to be talking about today, all the things we're trying to use all of our technology and brain power to solve -- things like heart disease and cholesterol and cancer; crime, warfare and violence; clinical depression -- all this stuff -- the Tarahumara don't know what you're talking about. They are free from all of these modern ailments.
อย่างสุดท้ายที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับพวกเค้า ก็คือเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเรากำลังจะพูดถึงในวันนี้ เรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราคิดค้นกันมา ที่ใช้ทั้งเทคโนโลยีและปัญญาในการวิเคราะห์ เรื่องอย่างโรคหัวใจ, คอเลสเตอรอล และมะเร็ง เรื่องของอาชญากรรม, การสู้รบ, ความรุนแรง และความเครียด เรื่องพวกนี้ ชาวทาราฮูมารา ไม่รู้ว่าพวกเรากำลังพูดถึงอะไร พวกเขาเป็นอิสระ จากโรคสมัยใหม่พวกนี้
So what's the connection? Again, we're talking about outliers; there's got to be some kind of cause and effect. Well, there are teams of scientists at Harvard and the University of Utah that are bending their brains and trying to figure out what the Tarahumara have known forever. They're trying to solve those same kinds of mysteries. And once again, a mystery wrapped inside of a mystery -- perhaps the key to Derartu Tulu and the Tarahumara is wrapped in three other mysteries, which go like this: Three things -- if you have the answer, come up and take the microphone, because nobody else knows the answer. If you know it, you're smarter than anybody on planet Earth.
เพราะฉะนั้นแล้วมันเชื่อมต่อกันตรงไหนล่ะ? อีกครั้งที่เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ มันจะต้องมีเหตุมีผลอะไรซักอย่างที่นี่ ทีมนักวิทยาศาตร์ จากทั้งฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยยูทาร์ กำลังพยายามขบคิดเพื่อหาคำตอบ ถึงสิ่งที่ชาวทาราฮูมารารู้มาโดยตลอด พวกเขากำลังพยายามหาคำตอบของเรื่องลี้ลับเดียวกัน และเป็นอีกครั้งที่มันเป็นเรื่องลี้ลับ ภายในเรื่องลึกลับ บางทีกุญแจสำคัญของเดอราตู ตูลูกับชาวทาราฮูมารานั้น ถูกเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องลึกลับ 3 เรื่อง 3 เรื่อง ซึ่งถ้าคุณรู้คำตอบ ก็ขอให้ขึ้นมาและพูดออกไมค์ เพราะไม่มีใครอื่น ที่จะรู้คำตอบ และถ้าคุณรู้มัน คุณก็จะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดกว่าใครในโลกนี้
Mystery number one is this: Two million years ago, the human brain exploded in size. Australopithecus had a tiny little pea brain. Suddenly humans show up, Homo erectus, big old melon head. To have a brain of that size, you need to have a source of condensed caloric energy. In other words, early humans are eating dead animals -- no argument, that's a fact. The only problem is, the first edged weapons only appeared about 200,000 years ago.
เรื่องลึกลับเรื่องที่ 1 คือเรื่องนี้ เมื่อ 2 ล้านปีก่อน สมองมนุษย์ก็ใหญ่ขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ออสทราโลพิเทคัส (Australopithecus) มีสมองขนาดจิ๋ว เท่าเมล็ดถั่ว อยู่ดีๆ มนุษย์โฮโมอิเรคตัส (Homo erectus) ก็โผล่มา พร้อมกับหัวขนาดใหญ่ การที่จะมีสมองขนาดนั้นได้ คุณจำเป็นจะต้องมีแหล่งพลังงานแคลอรี่ที่เข้มข้น พูดอีกอย่างนึงก็คือ มนุษย์ในยุคเริ่มแรกนั้นกินสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่ต้องถกเถียงกัน เพราะนั่นมันเป็นความจริง ปัญหาอย่างเดียวก็คือ อาวุธปลายแหลมเพิ่งจะถูกค้นพบเมื่อประมาณ 200,000 ปีที่แล้ว
So somehow, for nearly two million years, we are killing animals without any weapons. Now, we're not using our strength, because we are the biggest sissies in the jungle. Every other animal is stronger than we are, they have fangs, they have claws, they have nimbleness, they have speed. We think Usain Bolt is fast. Usain Bolt can get his ass kicked by a squirrel. We're not fast. That would be an Olympic event: turn a squirrel loose, whoever catches it gets a gold medal.
เพราะฉะนั้นด้วยเวลาเกือบประมาณ 2 ล้านปี เราล่าสัตว์ได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธใดๆ เอาล่ะ เราคงไม่ได้ใช้กำลังของเราอย่างแน่นอน เพราะว่าเรามันจอมห่วยที่สุดในป่า สัตว์ชนิดอื่นๆ ต่างก็แข็งแรงกว่าเราทั้งนั้น พวกมันมีทั้งเขี้ยว ทั้งเล็บ มีความว่องไว รวดเร็ว เราต่างก็คิดว่า ยูเซียน โบลต์ (นักวิ่งสถิติโลก) น่ะเร็วแล้ว แต่ยูเซียน โบลต์ก็ยังถูกกระรอกแซงได้อย่างง่ายๆ เราน่ะไม่ได้เร็วหรอก ลองปล่อยกระรอกให้เป็นอิสระซักตัว ในงานกีฬาโอลิมปิก ใครก็ตามที่จับได้ จะได้เหรียญทองไปครอง เพราะฉะนั้น ไม่มีอาวุธ ไม่มีความเร็ว ไม่มีกำลัง ไม่มีเขี้ยว และเล็บ
(Laughter)
So no weapons, no speed, no strength, no fangs, no claws. How were we killing these animals? Mystery number one.
แล้วเราฆ่าสัตว์พวกนี้ได้อย่างไรกันล่ะ? นี่แหละคือเรื่องลึกลับเรื่องที่ 1 เรื่องที่ 2
Mystery number two: Women have been in the Olympics for quite some time now, but one thing that's remarkable about all women sprinters: they all suck; they're terrible. There's not a fast woman on the planet and there never has been. The fastest woman to ever run a mile did it in 4:15. I could throw a rock and hit a high-school boy who can run faster than 4:15. For some reason, you guys are just really slow. But --
ผู้หญิงได้เข้าร่วมแข่งขันในงานกีฬาโอลิมปิกมาได้ซักพักแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับนักกีฬาวิ่งระยะสั้นที่เป็นผู้หญิงก็คือ พวกเขาต่างห่วย ไม่เคยมีผู้หญิงที่วิ่งได้เร็ว ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือตอนไหน สถิติที่เร็วที่สุดของผู้หญิงในการวิ่ง 1 ไมล์ ทำได้ใน 4.15 นาที ผมสามารถโยนก้อนหินใส่เด็กผู้ชายมัธยมซักคน ที่สามารถจะวิ่งได้เร็วกว่าสถิติ 4.15 ได้ ด้วยเหตุผลบางประการพวกคุณก็แค่ช้ามากๆ (เสียงหัวเราะ)
(Laughter)
แต่คุณก็เข้าร่วมในมาราธอนที่เราได้พูดถึงไป
But, you get to the marathon we were just talking about -- you've only been allowed to run the marathon for 20 years, because prior to the 1980s, medical science said if a woman tried to run 26 miles -- does anyone know what would happen if you tried to run 26 miles? Why you were banned from the marathon before the 1980s?
ความจริงพวกคุณเพิ่งจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมแข่งขันมาราธอนได้ แค่เมื่อ 20 ปีมาแล้วเท่านั้น เพราะว่าก่อนหน้าปี ค.ศ. 1980 วิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่าหากผู้หญิงคนใดก็ตามพยายามที่จะวิ่งระยะทาง 26 ไมล์ คุณรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณวิ่งระยะทาง 26 ไมล์? ว่าทำไมคุณถึงถูกห้ามไม่ให้แข่งมาราธอนก่อนปี ค.ศ. 1980? (เสียงจากผู้ชม: "มดลูกของเธอจะฉีกขาด") มดลูกของเธอจะฉีกขาด
Audience Member: Her uterus would be torn.
Christopher McDougall: Her uterus would be torn, yes. Torn reproductive organs. The uterus would literally fall out of the body.
ใช่ครับ คุณจะทำอวัยวะสืบพันธุ์ฉีกขาด มดลูกจะร่วงลงมา เหมือนมันจะหลุดออกจากร่าง เอาล่ะ ผมก็แข่งมาราธอนมาแล้วหลายครั้ง
(Laughter)
Now, I've been to a lot of marathons, and I've yet to see any ...
และผมเองก็ยังไม่เคยเห็นกับตาซักหน (เสียงหัวเราะ)
(Laughter)
เพราะฉะนั้นผู้หญิงก็เลยเพิ่งได้เข้าร่วมแข่งมาราธอนมาแค่ 20 ปี
So it's only been 20 years that women have been allowed to run the marathon. In that very short learning curve, you've gone from broken organs up to the fact that you're only 10 minutes off the male world record.
ในเวลาสั้นๆ นั้น พวกคุณได้ก้าวข้ามจากอวัยวะฉีกขาด มาอยู่ในความจริงที่ว่าคุณห่างออกไปแค่ 10 นาที จากสถิติของผู้ชาย
Then you go beyond 26 miles, into the distance that medical science also told us would be fatal to humans -- remember Pheidippides died when he ran 26 miles -- you get to 50 and 100 miles, and suddenly, it's a different game. You take a runner like Ann Trason or Nikki Kimball or Jenn Shelton, put them in a race of 50 or 100 miles against anybody in the world, and it's a coin toss who's going to win. I'll give you an example. A couple years ago, Emily Baer signed up for a race called the Hardrock 100, which tells you all you need to know about the race. They give you 48 hours to finish this race. Well, Emily Baer -- 500 runners -- she finishes in eighth place, in the top 10, even though she stopped at all the aid stations to breastfeed her baby during the race.
จากนั้นคุณก็ก้าวข้ามจาก 26 ไมล์ ไปสู่ระยะที่วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์บอกเราว่าอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต จำได้ไหมว่า ฟิดิปปิดีส (Pheidippides) ตายเมื่อเขาวิ่งระยะ 26 ไมล์ และถ้าคุณไปถึง 50 และ 100 ไมล์ มันก็จะเป็นคนละเรื่องกันเลย คุณสามารถเอานักวิ่งอย่าง แอน เทรสัน (Ann Trason) หรือ นิกกิ คิมบอล (Nikki Kimball) หรือ เจน เชลตัน (Jenn Shelton) จากนั้นให้พวกเขาวิ่งแข่งระยะ 50 หรือ 100 ไมล์ กับใครก็ได้บนโลกนี้ มันก็จะเป็นเรื่องของโชคเท่านั้น ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ปี สองปีที่แล้ว เอมิลี่ เบเออร์ (Emily Baer) ลงสมัครการแข่งขันงานหนึ่ง ชื่อว่า ฮาร์ดร๊อค 100 (Hardrock 100) ซึ่งน่าจะบอกคุณทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการแข่งนี้ พวกเขาจะให้เวลาคุณ 48 ชั่วโมงเพื่อเข้าเส้นชัย เอมิลี่ เบเออร์ จากนักวิ่งอีก 500 คน เธอเข้าเส้นชัยเป็นคนที่ 8 เข้าเส้นชัยเป็น 10 คนแรก ถึงแม้ว่าเธอจะหยุดที่ทุกๆ สถานีช่วยเหลือ เพื่อให้นมลูกด้วยตัวเองตลอดระยะเวลาการแข่ง
(Laughter)
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังเอาชนะผู้ร่วมแข่งขันได้ 492 คน
And yet, she beat 492 other people. The last mystery: Why is it that women get stronger as distances get longer? The third mystery is this: At the University of Utah, they started tracking finishing times for people running the marathon. What they found is that if you start running the marathon at age 19, you'll get progressively faster, year by year, until you reach your peak at age 27. And then after that, you succumb to the rigors of time. And you'll get slower and slower, until eventually you're back to running the same speed you were at age 19. So about seven, eight years to reach your peak, and then gradually you fall off your peak, until you go back to the starting point. You'd think it might take eight years to go back to the same speed, maybe 10 years -- no, it's 45 years. 64-year-old men and women are running as fast as they were at age 19. Now, I defy you to come up with any other physical activity -- and please don't say golf -- something that's actually hard --
เรื่องลึกลับสุดท้าย แล้วทำไมผู้หญิงถึงได้แข็งแกร่งขึ้น เมื่อระยะทางนั้นยิ่งไกลขึ้น เรื่องลึกลับเรื่องที่ 3 คือเรื่องนี้ ที่มหาวิทยาลัยยูทาร์ พวกเขาเริ่มจับเวลาในการเข้าเส้นชัย สำหรับคนที่เข้าแข่งขันมาราธอน และสิ่งที่พวกเขาค้นพบ ก็คือว่าถ้าคุณเริ่มวิ่งมาราธอนตั้งแต่อายุ 19 เมื่อผ่านไปแต่ละปี คุณจะทำเวลาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดสูงสุดที่อายุ 27 และหลังจากนั้น มันก็จะถึงขาลง เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะช้าลงเรื่อยๆ จนผลสุดท้ายคุณจะกลับมาวิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิมตอนคุณอายุ 19 เพราะฉะนั้นมันใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี เพื่อขึ้นถึงจุดสูงสุด และจากนั้นมันก็จะเป็นขาลง กลับไปจนถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้ง คุณอาจจะคิดว่ามันใช้เวลา 8 ปีเพื่อกลับไปวิ่งเร็วเท่าเดิมอีกครั้ง หรืออาจจะ 10 ปี แต่เปล่าที่ถูกต้องคือ 45 ปี ผู้ชายและผู้หญิงที่อายุ 60 ปี จะวิ่งได้เร็วเท่ากับที่พวกเค้าเคยวิ่งได้เมื่อตอน 19 เอาล่ะ ผมจะท้าให้คุณคิดกิจกรรมทางกายขึ้นมาซักอย่างหนึ่ง และก็ได้โปรดอย่าพูดว่ากอล์ฟ ให้คิดถึงอะไรที่มันยากจริงๆ
(Laughter)
ที่ผู้ชราจะทำได้
where geriatrics are performing as well as they did as teenagers.
ดีเท่ากับตอนที่พวกเค้ายังวัยรุ่น
So you have these three mysteries. Is there one piece in the puzzle which might wrap all these things up? You've got to be careful anytime someone looks back in prehistory and tries to give you a global answer because, it being prehistory, you can say whatever the hell you want and get away with it. But I'll submit this to you: If you put one piece in the middle of this jigsaw puzzle, suddenly it all starts to form a coherent picture. If you're wondering why the Tarahumara don't fight and don't die of heart disease, why a poor Ethiopian woman named Derartu Tulu can be the most compassionate and yet the most competitive, and why we somehow were able to find food without weapons, perhaps it's because humans, as much as we like to think of ourselves as masters of the universe, actually evolved as nothing more than a pack of hunting dogs.
เอาล่ะ คุณมีเรื่องลึกลับ 3 เรื่อง มันจะมีชิ้นส่วนปริศนาซักชิ้น ที่จะประกอบเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันมั้ยนะ? แต่คุณคงต้องระวังเอาไว้ซักหน่อย เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมองย้อนกลับไปในอดีต และพยายามหาคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด เพราะมันเป็นเรื่องราวในอดีต คุณจะพูดอะไรก็ได้ และรอดตัวไปทุกครั้ง แต่ผมจะบอกเรื่องนี้กับคุณ ว่าถ้าคุณใส่ชิ้นส่วนซักชิ้นลงไปกลางภาพต่อปริศนา อยู่ดีๆ ทุกๆ อย่างมันก็จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และถ้าคุณสงสัย ว่าทำไมชาวทาราฮูมาราไม่สู้ และไม่ตายด้วยโรคหัวใจ ว่าทำไมผู้หญิงยากจนชาวเอธิโอเปียที่ชื่อว่า เดอราตู ตูลู สามารถเป็นคนที่เอื้อเฟื้อที่สุด แต่ก็ยังเป็นคนที่รักการแข่งขันมากที่สุดคนหนึ่งด้วย และว่าทำไมพวกเราถึงสามารถ หาอาหารได้โดยไม่มีอาวุธใดๆ บางที มันอาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์อย่างเรา ถึงแม้ว่าจะชอบคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางของจักรวาลมากซักเพียงใด แต่ก็วิวัฒนาการมาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า ฝูงหมาป่าล่าเนื้อดีๆ นี่เอง
Maybe we evolved as a hunting pack animal. Because the one advantage we have in the wilderness -- again, it's not our fangs, our claws or our speed -- the only thing we do really well is sweat. We're really good at being sweaty and smelly. Better than any other mammal on Earth, we can sweat really well. But the advantage of that little bit of social discomfort is the fact that, when it comes to running under hot heat for long distances, we're superb -- the best on the planet. You take a horse on a hot day, and after about five or six miles, that horse has a choice: it's either going to breathe or it's going to cool off. But it ain't doing both. We can. So what if we evolved as hunting pack animals? What if the only natural advantage we had in the world was the fact that we could get together as a group, go out there on that African savanna, pick out an antelope, go out as a pack, and run that thing to death? That's all we could do. We could run really far on a hot day.
บางทีเราอาจจะวิวัฒนาการ มาเป็นสัตว์ที่ล่าเหยื่อเป็นฝูง เพราะว่าจุดแข็งอย่างเดียวที่เรามีในธรรมชาติ ซึ่งอีกครั้ง มันไม่ใช่ทั้งเขี้ยว เล็บ หรือความเร็วของเรา สิ่งเดียวที่เรามี และทำได้ดีที่สุด คือการออกเหงื่อ พวกเรานั้นเก่งกันจริงๆ เรื่องการออกเหงื่อเหม็นๆ เนี่ย เก่งกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใดๆ บนโลก แต่ข้อดี ของการมีข้อน่ารังเกียจเล็กๆทางสังคมนี้ ก็คือความจริงที่ว่า เมื่อเป็นเรื่องของการวิ่ง ภายใต้อากาศร้อนสูง เป็นระยะทางไกลๆ พวกเรานั้นสุดยอด เรียกได้ว่าเก่งที่สุดในพื้นพิภพ ถ้าคุณเอาม้าไปวิ่งในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว และหลังจากระยะ 5 หรือ 6 ไมล์ เจ้าม้าตัวนั้นก็มีทางเลือก ว่ามันจะหายใจ หรือมันจะทำให้ร่างกายเย็นลง แต่มันจะทำไม่ได้ทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กันแน่ๆ แต่พวกเราทำได้ ถ้าเกิดว่าพวกเราวิวัฒนาการมาเป็นฝูงล่าสัตว์ล่ะ? ถ้าเกิดว่าจุดแข็งข้อเดียวที่ธรรมชาติได้ให้เรามาในโลกนี้ ก็คือความจริงที่ว่าเราสามารถที่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ภายในทุ่งแอฟริกัน สะวันนา เลือกละมั่งที่จะล่าซักตัว จากนั้นก็วิ่งล่ามันไปเป็นฝูง จนมันเหนื่อยตายล่ะ? เพราะนั่นแหละคือทั้งหมดที่พวกเราทำได้ พวกเราสามารถวิ่งได้เป็นระยะทางไกลๆ ในวันที่ร้อนอบอ้าว
Well, if that's true, a couple other things had to be true as well. The key to being part of a hunting pack is the word "pack." If you go out by yourself and try to chase an antelope, I guarantee there will be two cadavers out in the savanna. You need a pack to pull together. You need to have those 64- and 65-year-olds who have been doing this for a long time to understand which antelope you're trying to catch. The herd explodes and it gathers back again. Those expert trackers have to be part of the pack. They can't be 10 miles behind. You need the women and the adolescents there, because the two times in your life you most benefit from animal protein is when you're a nursing mother and a developing adolescent. It makes no sense to have the antelope over there, dead, and the people who want to eat it 50 miles away. They need to be part of the pack. You need those 27-year-old studs at the peak of their powers ready to drop the kill, and you need those teenagers who are learning the whole thing involved. The pack stays together.
และถ้าเกิดว่านั่นมันเป็นเรื่องจริง เรื่องอื่นๆ ก็น่าจะเป็นความจริงด้วยเช่นกัน กุญแจสำคัญของฝูงสัตว์นักล่า ก็คือคำว่า "ฝูง" ถ้าเกิดคุณออกไปล่าละมั่งตามลำพัง ผมยืนยันได้เลยว่ามันจะต้องมีซากศพ 2 ซากอยู่ในทุ่งสะวันนาแน่นอน คุณจะต้องอาศัยฝูงในการล่าด้วยกัน คุณจำเป็นตั้งมีคนอายุ 64-65 ปี คนที่ทำอย่างนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ที่จะเข้าใจได้ว่าละมั่งตัวไหนที่คุณกำลังล่าอยู่จริงๆ และเมื่อฝูงสัตว์ที่ถูกล่ากระจายกันออกไป และกลับมารวมกันอีกครั้ง พวกผู้เชี่ยวชาญในการติดตามพวกนี้จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของฝูง พวกเขาไม่สามารถถูกทิ้งอยู่ 10 ไมล์ข้างหลังได้ คุณจะต้องมีผู้หญิง และวัยรุ่นอยู่ที่นั่น เพราะว่าช่วงเวลาสำคัญที่สุด 2 ครั้งที่คุณจะได้รับประโยชน์จากโปรตีนจากสัตว์ได้เต็มที่ก็คือ ตอนที่คุณกำลังอุ้มครรภ์ กับตอนที่คุณกำลังเติบโต มันดูไร้สาระถ้าเกิดว่าละมั่งมาตาย ห่างจากคนที่ต้องการจะกิน 50 ไมล์ พวกเขาทั้งหมดจำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของฝูง คุณจำเป็นต้องมีพวกอายุ 27 ที่ยังหนุ่มยังแน่น เตรียมพร้อมที่จะลงมือฆ่า และคุณก็จำเป็นที่จะต้องมีพวกวัยรุ่นอยู่ที่นั่น เพื่อเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นฝูงอยู่ร่วมกัน
Another thing that has to be true: this pack cannot be materialistic. You can't be hauling all your crap around, trying to chase the antelope. You can't be a pissed-off pack. You can't be bearing grudges, like, "I'm not chasing that guy's antelope. He pissed me off. Let him go chase his own antelope." The pack has got to be able to swallow its ego, be cooperative, and pull together. What you end up with, in other words, is a culture remarkably similar to the Tarahumara, a tribe that has remained unchanged since the Stone Age. It's a really compelling argument that maybe the Tarahumara are doing exactly what all of us had done for two million years, that it's us in modern times who have sort of gone off the path.
อีกอย่างหนึ่งที่น่าจะจริงเกี่ยวกับการอยู่แบบฝูงก็คือ พวกเค้าจะต้องไม่ยึดติดกับข้าวของ เพราะคุณไม่สามารถที่จะหิ้วสัมภาระไปมา ระหว่างที่ล่าละมั่งไปด้วยได้ คุณต้องไม่เป็นกลุ่มเจ้าอารมณ์ คุณต้องไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น อย่างเช่น "ชั้นจะไม่ล่าละมั่งของเจ้านั่น มันทำให้ชั้นโกรธ ให้มันล่าละมั่งของตัวเองไปเถอะ" ฝูงจะต้องไม่เห็นแก่ตัว ต้องร่วมมือและช่วยเหลือกัน สิ่งที่คุณจะได้ พูดอีกอย่างก็คือ จะได้วัฒนธรรมที่คล้ายคลึง กับของชาวทารูมาฮารา ชาวเผ่าที่คงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง มาตั้งแต่ยุคหิน มันเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่ง ที่ว่าบางทีชาวทารูมาฮารากำลัง ทำสิ่งเดียวกันกับที่พวกเราได้ทำมาเมื่อ 2 ล้านปีก่อน ว่ามันเป็นพวกเราในสมัยใหม่นี้เองที่ออกนอกลู่นอกทาง
You know, we look at running as this kind of alien, foreign thing, this punishment you've got to do because you ate pizza the night before. But maybe it's something different. Maybe we're the ones who have taken this natural advantage we had and we spoiled it. How do we spoil it? Well, how do we spoil anything? We try to cash in on it. Right? We try to can it and package it and make it "better" and then sell it to people. And then what happened was, we started creating these fancy cushioned things which can make running "better," called running shoes.
ก็อย่างที่พวกเรามองว่าการวิ่งนั้นเป็นสิ่งที่แปลก ที่พิสดารบางอย่าง เป็นการลงโทษสำหรับพิซซ่าที่กินไปในคืนวันก่อน แต่บางทีมันอาจเป็นอะไรที่ต่างออกไป บางทีอาจเป็นพวกเราเองที่นำเอาข้อได้เปรียบของธรรมชาติที่เรามีนี้ และทำให้มันเสียไป เราทำอย่างไรน่ะรึ? แล้วคุณทำให้อย่างอื่นเสียยังไงล่ะ? เราพยายามที่จะซื้อมันด้วยเงิน เราพยายามที่จะเอามันใส่กระป๋อง ใส่กล่องอย่างดี ทำให้มันดีขึ้นกว่าเก่า และก็ขายให้คนอื่น และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพวกเราเริ่มสร้าง เจ้าสิ่งกันกระแทกที่สวยงามพวกนี้ ที่จะทำให้วิ่งได้ดีขึ้น เราเรียกมันว่า รองเท้าวิ่ง
The reason I get personally pissed-off about running shoes is because I bought a million of them and I kept getting hurt. And I think if anybody in here runs -- I just had a conversation with Carol. We talked for two minutes backstage, and she talked about plantar fasciitis. You talk to a runner, I guarantee within 30 seconds, the conversation turns to injury. So if humans evolved as runners, if that's our one natural advantage, then why are we so bad at it? Why do we keep getting hurt?
เหตุผมเดียวที่เจ้าพวกรองเท้าวิ่งพวกนี้ทำให้ผมโกรธก็คือ ผมซื้อมันมาเป็นล้านคู่ แต่ก็ยังกลับมาเจ็บอีกทุกที และผมก็คิดว่า ถ้ามีใครในที่นี้ที่วิ่ง และผมเองก็เพิ่งได้คุยมากับแครอล เราได้คุยกัน 2 นาที และเธอก็พูดถึงอาการเอ็นข้อเท้าอักเสบ ถ้าคุณพูดกับนักวิ่ง ผมยืนยันได้เลยว่าภายใน 30 วินาที เค้าจะต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์วิวัฒนาการมาเป็นนักวิ่ง และนั่นมันก็เป็นข้อได้เปรียบทางธรรมชาติอย่างเดียวของพวกเรา แล้วทำไมเราถึงทำมันได้แย่นัก? ทำไมพวกเราถึงบาดเจ็บอยู่เรื่อยๆ? สิ่งที่น่าฉงนเกี่ยวกับการวิ่ง และอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง
A curious thing about running and running injuries is that the running injury is new to our time. If you read folklore and mythology, any kind of myths, any kind of tall tales, running is always associated with freedom and vitality and youthfulness and eternal vigor. It's only in our lifetime that running has become associated with fear and pain. Geronimo used to say, "My only friends are my legs. I only trust my legs." That's because an Apache triathlon used to be you'd run 50 miles across the desert, engage in hand-to-hand combat, steal a bunch of horses, and slap leather for home. Geronimo was never saying, "You know something, my Achilles -- I'm tapering. I've got to take this week off." Or, "I need to cross-train. I didn't do yoga. I'm not ready."
ก็คือการบาดเจ็บนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นมาในยุคของเรา ถ้าเกิดคุณเคยได้อ่านนิทานพื้นบ้าน หรือตำนานต่างๆ เรื่องลึกลับ หรือเรื่องเล่าใดก็ได้ การวิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับ ความเป็นอิสระ ความมีชีวิตชีวา ความเยาว์วัย และความกระฉับกระเฉง มันมีแค่ในช่วงชีวิตของเราเนี่ยแหละ ที่การวิ่งมาเกี่ยวข้องกับความกลัว และความเจ็บปวด เจอโรนิโม (Geronimo) เคยกล่าวเอาไว้ว่า "เพื่อนคนเดียวที่ผมมีคือขาของผม ผมเชื่อในขาของผมเท่านั้น" นั่นก็เพราะการแข่งขันไตรกีฬาของชาวเผ่าอาปาเช่ นั้นเคยเป็นการวิ่งข้ามทะเลทรายระยะ 50 ไมล์ เข้าต่อสู้ตัวต่อตัว ขโมยม้าซัก 2-3 ฝูง แล้วก็แบกหนังกลับบ้าน เจอโรนิโมไม่เคยพูดว่า "อาา คุณรู้อะไรมั้ย เอ็นร้อยหวายของผมอักเสบ อาทิตย์นี้ผมคงต้องหยุดพัก" หรือ "ผมต้องออกกำลังกายแบบผสมผสาน
(Laughter)
ผมไม่ได้เล่นโยคะมา ผมไม่พร้อม"
Humans ran and ran all the time. We are here today. We have our digital technology. All of our science comes from the fact that our ancestors were able to do something extraordinary every day, which was just rely on their naked feet and legs to run long distances.
มนุษย์นั้นวิ่งอยู่ตลอดเวลา ที่เรามาถึงที่นี่ในทุกวันนี้ เรามีเทคโนโลยีมากมาย วิทยาศาสตร์ทั้งหมดของเรามาจากความจริงที่ว่า บรรพบุรุษของเราสามารถที่จะ ทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อในทุกๆ วัน โดยพึ่งพาเพียงขาเปล่า เท้าเปล่าของพวกเขา ในการวิ่งระยะทางไกลๆ
So how do we get back to that again? Well, I would submit to you the first thing is: get rid of all packaging, all the sales, all the marketing. Get rid of all the stinking running shoes. Stop focusing on urban marathons, which, if you do four hours, you suck, and if you do 3:59:59, you're awesome, because you qualified for another race. We need to get back to that sense of playfulness and joyfulness and, I would say, nakedness, that has made the Tarahumara one of the healthiest and serene cultures in our time. So what's the benefit? So what? So you burn off the Häagen-Dazs from the night before.
แล้วเราจะกลับไปอยู่จุดนั้นได้อย่างไรน่ะรึ? เอาล่ะ อย่างแรกที่ผมจะบอกคุณก็คือ จงทิ้งพวกหีบห่อทั้งหมด ทิ้งการลดราคา ทิ้งยุทธศาสตร์การตลาดต่างๆ จงทิ้งเจ้ารองเท้าวิ่งเหม็นโฉ่ว หยุดสนใจในการแข่งขันมาราธอนในเมือง ที่ถ้าคุณทำได้ภายใน 4 ชั่วโมง คุณห่วย แต่ถ้าคุณทำได้ 3.59.59 ชั่วโมง คุณเจ๋ง เพราะคุณจะเข้ารอบสำหรับการแข่งครั้งต่อไป เราจำเป็นต้องกลับไปสู่ความขี้เล่น และความสนุกสนาน และสุดท้ายความเปลือยเปล่า ที่ทำให้ชาวทาราฮูมารา เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่แข็งแรงและปลอดโปร่งที่สุดในยุคของเรา และคุณจะได้ประโยชน์อะไรน่ะรึ? เพื่อคุณจะได้เผาผลาญไอศครีมฮาเกนดาสจากคืนวันก่อนงั้นรึ?
But maybe there's another benefit there as well. Without getting too extreme about this, imagine a world where everybody could go out the door and engage in the kind of exercise that's going to make them more relaxed, more serene, more healthy, burn off stress -- where you don't come back into your office a raging maniac anymore, or go home with a lot of stress on top of you again. Maybe there's something between what we are today and what the Tarahumara have always been. I don't say let's go back to the Copper Canyons and live on corn and maize, which is the Tarahumara's preferred diet, but maybe there's somewhere in between. And if we find that thing, maybe there is a big fat Nobel Prize out there. Because if somebody could find a way to restore that natural ability that we all enjoyed for most of our existence up until the 1970s or so, the benefits -- social and physical and political and mental -- could be astounding.
แต่บางทีมันอาจจะมีประโยชน์อย่างอื่นด้วยเหมือนกัน โดยผมจะไม่พยายามคิดให้มันสุดขั้วมากเกินไป ลองนึกถึงภาพของโลกที่ ทุกคนสามารถออกไปนอกประตู และเข้าร่วมในกิจกรรม ที่จะทำให้พวกเขาผ่อนคลาย และปลอดโปร่งมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น กำจัดความเครียด แบบที่คุณไม่ต้องกลับมาที่สำนักงานและโกรธเป็นบ้าเป็นหลังอีกแล้ว แบบที่คุณไม่ต้องแบบเอาความเครียดกลับบ้านอีกแล้ว บางทีมันอาจจะมีอะไรซักอย่างอยู่ระหว่างพวกเราในวันนี้ กับสิ่งที่ชาวทาราฮูมาราเป็นมาอยู่ตลอด ผมไม่ได้บอกให้พวกเรากลับไปที่ Copper Canyons และใช้ชีวิตอยู่กับข้าวโพดกับแป้งข้าวโพด แบบที่ชาวทาราฮูมารากิน แต่บางที มันอาจจะมีบางอย่างอยู่ระหว่างกลาง และถ้าเราพบสิ่งนั้น บางทีอาจจะมีรางวัลโนเบลอยู่ที่ไหนซักแห่งที่นั่น เพราะถ้ามีใครซักคนสามารถหาวิธี ที่จะเอาความสามารถทางธรรมชาตินั้นกลับคืนมา ที่เราจะเพลิดเพลินได้มากที่สุดตลอดช่วงชีวิตของเรา ที่เราเพลิดเพลินมาจนถึงช่วง ปี ค.ศ. 1970 ข้อดีพวกนั้น ทั้งทางสังคม และกายภาพ ทั้งเรื่องการเมือง และจิตใจ อาจทำให้คุณประหลาดใจได้
What I've been seeing today is there is a growing subculture of barefoot runners, people who've gotten rid of their shoes. And what they have found uniformly is, you get rid of the shoes, you get rid of the stress, you get rid of the injuries and the ailments. And what you find is something the Tarahumara have known for a very long time: that this can be a whole lot of fun. I've experienced it personally myself. I was injured all my life; then in my early 40s, I got rid of my shoes and my running ailments have gone away, too.
เพราะฉะนั้นที่ผมเห็นในวันนี้ก็คือ การเติบโตของวัฒนธรรมย่อยๆ วัฒนธรรมหนึ่ง ของการวิ่งเท้าเปล่า ผู้คนที่กำจัดรองเท้าวิ่งของเค้าทิ้ง และสิ่งที่พวกเค้าค้นพบกันก็คือ ถ้าคุณกำจัดรองเท้าวิ่ง คุณก็กำจัดความเครียด คุณก็จะกำจัดความเจ็บปวด และอาการป่วยต่างๆ และสิ่งที่คุณจะพบก็คือบางอย่าง ที่ชาวทาราฮูมารารู้มาเป็นเวลานานมาแล้ว ว่านี่แหละคือความสนุกสุดยอด ที่ผมได้ประสบมากับตัวผมเอง ผมบาดเจ็บมาตลอดชีวิต และหลังจากนั้นในช่วงต้นอายุ 40 ผมก็ทิ้งรองเท้าวิ่งของผม และอาการบาดเจ็บจากการวิ่งก็หายไปด้วยเหมือนกัน
So hopefully it's something we can all benefit from. I appreciate your listening to this story.
เพราะฉะนั้นหวังว่ามันเป็นบางอย่างที่เราจะสามารถได้ประโยชน์จากมันได้ และผมก็รู้สึกซาบซึ้งที่พวกคุณมาฟังเรื่องราวของผม ขอบพระคุณมากครับ
Thanks very much.
(เสียงปรบมือ)
(Applause)