So, a few years ago I heard an interesting rumor. Apparently, the head of a large pet food company would go into the annual shareholder's meeting with can of dog food. And he would eat the can of dog food. And this was his way of convincing them that if it was good enough for him, it was good enough for their pets. This strategy is now known as "dogfooding," and it's a common strategy in the business world. It doesn't mean everyone goes in and eats dog food, but businesspeople will use their own products to demonstrate that they feel -- that they're confident in them. Now, this is a widespread practice, but I think what's really interesting is when you find exceptions to this rule, when you find cases of businesses or people in businesses who don't use their own products. Turns out there's one industry where this happens in a common way, in a pretty regular way, and that is the screen-based tech industry.
เมื่อหลายปีก่อนผมได้ฟัง เรื่องตลกที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง มีหัวหน้าบริษัทอาหารสัตว์แห่งหนึ่ง เขาเข้าที่ประชุมประจำปีของผู้ถือหุ้น พร้อมกับกระป๋องอาหารสุนัข แล้วเขาก็กินอาหารสุนัขนั้นจนหมดกระป๋อง นี่เป็นการโน้มน้าวใจให้เห็นว่า ถ้าสินค้านี้ดีพอสำหรับเขาเอง มันก็ดีพอสำหรับสัตว์เลี้ยง ของพวกเขา กลยุทธ์นี้รู้จักกันในชื่อ "กินอาหารสุนัขตัวเอง" และมันก็เป็นกลยุทธ์ธุรกิจที่เจอได้ทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าทุกคน ต้องไปกินอาหารสุนัขนะครับ แต่นักธุรกิจจะใช้ผลิตภัณฑ์ตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขารู้สึก มั่นใจในสินค้าของตัวเอง ตอนนี้มันก็เป็นหลักปฏิบัติอย่างกว้างขวาง แต่ผมคิดว่าที่น่าสนจริง ๆ คือ เมื่อคุณเจอข้อยกเว้น ต่อกฎนี้ เมื่อคุณเจอกรณีที่ธุรกิจหรือคนในวงธุรกิจ ที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ปรากฏว่ามีอุตสาหกรรมหนึ่ง ที่เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ปกติธรรมดามากจริง ๆ และนั่นก็คืออุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ทำงานด้วยหน้าจอ
So, in 2010, Steve Jobs, when he was releasing the iPad, described the iPad as a device that was "extraordinary." "The best browsing experience you've ever had; way better than a laptop, way better than a smartphone. It's an incredible experience." A couple of months later, he was approached by a journalist from the New York Times, and they had a long phone call. At the end of the call, the journalist threw in a question that seemed like a sort of softball. He said to him, "Your kids must love the iPad." There's an obvious answer to this, but what Jobs said really staggered the journalist. He was very surprised, because he said, "They haven't used it. We limit how much technology our kids use at home."
ในปี 2010 สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPad เขาอธิบายว่ามันเป็นอุปกรณ์ ที่ "พิเศษเหนือธรรมดา" "ประสบการณ์ดีที่สุดใน การท่องอินเตอร์เน็ตที่คุณเคยมี ทางเลือกที่ดีกว่าแล็ปท็อป ทางเลือกที่ดีกว่าสมาร์ทโฟน มันเป็นประสบการณ์อันเหลือเชื่อ" ไม่กี่เดือนต่อมา เขาก็ถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าว จากนิวยอร์กไทมส์ พวกเขาคุยโทรศัพท์กันอย่างยืดยาว ในช่วงท้ายของการสนทนา นักข่าวตั้งคำถามที่ดูเบา แต่หนักหน่วง เขาถามว่า "ลูก ๆ ของคุณจะต้องรัก iPad แน่ ๆ เลย" คำตอบมันน่าจะชัดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จ็อบส์ตอบมาทำให้ นักข่าวคนนั้นซวนเซไปเลย เขาประหลาดใจมาก ๆ เพราะจ็อบส์ตอบว่า "พวกเขาไม่ได้ใช้มันเลย เราจำกัดว่าเด็ก ๆ จะใช้เทคโนโลยี ได้มากแค่ไหนเมื่ออยู่บ้าน"
This is a very common thing in the tech world. In fact, there's a school quite near Silicon Valley called the Waldorf School of the Peninsula, and they don't introduce screens until the eighth grade. What's really interesting about the school is that 75 percent of the kids who go there have parents who are high-level Silicon Valley tech execs. So when I heard about this, I thought it was interesting and surprising, and it pushed me to consider what screens were doing to me and to my family and the people I loved, and to people at large.
นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ในโลกเทคโนโลยี ในความเป็นจริงคือมีโรงเรียน ใกล้ ๆ ซิลิคอนวัลเลย์ ชื่อว่า โรงเรียนวอลดอร์ฟ แห่งเพนินซูลา พวกเขาไม่ให้เด็ก ๆ ใช้ อุปกรณ์ที่มีหน้าจอจนกว่าจะเกรดแปด เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับโรงเรียนนั้นก็คือ กว่า 75% ของเด็กที่เรียนที่นั่น มีพ่อแม่เป็นผู้บริหารระดับสูง ของซิลิคอน วัลเลย์ เมื่อผมได้ฟังเรื่องนี้ ผมก็คิดว่ามันทั้งน่าสนและน่าประหลาดใจ และก็ทำให้ผมคิดทบทวนว่า หน้าจอสี่เหลี่ยมนี่กำลังทำอะไรกับผม กับครอบครัวและคนที่ผมรัก และต่อคนอื่นทั่วไป
So for the last five years, as a professor of business and psychology, I've been studying the effect of screens on our lives. And I want to start by just focusing on how much time they take from us, and then we can talk about what that time looks like. What I'm showing you here is the average 24-hour workday at three different points in history: 2007 -- 10 years ago -- 2015 and then data that I collected, actually, only last week. And a lot of things haven't changed all that much. We sleep roughly seven-and-a-half to eight hours a day; some people say that's declined slightly, but it hasn't changed much. We work eight-and-a-half to nine hours a day. We engage in survival activities -- these are things like eating and bathing and looking after kids -- about three hours a day.
ดังนั้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ในฐานะอาจารย์ด้านธุรกิจและจิตวิทยา ผมจึงศึกษาถึงผลกระทบของ หน้าจอที่มีต่อชีวิตเรา ผมจะเริ่มที่ว่ามันพรากเวลาจากเราไปเท่าไร และเราค่อยมาคุยกันว่า ช่วงเวลานั้นมันเป็นอะไรยังไง ที่ผมให้ทุกคนดูอยู่คือ 24 ชั่วโมงของวันธรรมดาโดยเฉลี่ย ในสามช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ปี 2007 เมื่อสิบปีที่แล้ว ปี 2015 และข้อมูลที่จริง ๆ แล้วผมเพิ่งเก็บ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง หลาย ๆ อย่างไม่ได้เปลี่ยนไป มากเท่าไรนัก เราหลับประมาณเจ็ดชั่วโมงครึ่งถึง แปดชั่วโมงต่อวัน บางคนบอกว่ามันลดลงนิดหน่อย แต่ก็นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก เราทำงานแปดชั่วโมงครึ่งถึง เก้าชั่วโมงต่อวัน เราทำกิจการเพื่อการดำรงชีพ อย่างเช่น กินข้าว อาบน้ำ เลี้ยงลูก ประมาณสามชั่วโมงต่อวัน
That leaves this white space. That's our personal time. That space is incredibly important to us. That's the space where we do things that make us individuals. That's where hobbies happen, where we have close relationships, where we really think about our lives, where we get creative, where we zoom back and try to work out whether our lives have been meaningful. We get some of that from work as well, but when people look back on their lives and wonder what their lives have been like at the end of their lives, you look at the last things they say -- they are talking about those moments that happen in that white personal space. So it's sacred; it's important to us.
มีพื้นที่สีขาวเหลืออยู่ตรงนี้ นั่นคือเวลาส่วนตัว พื้นที่ตรงนั้นสำคัญกับเราอย่างยิ่ง พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ที่ทำให้เรา เป็นตัวของตัวเอง เป็นเวลาของงานอดิเรก การสานสัมพันธ์ ไว้ใช้ขบคิดเกี่ยวชีวิต หรือไว้ใช้คิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ที่ใช้ย้อนกลับมามองตัวเอง ว่าชีวิตนี้มีความหมายแล้วหรือยัง เราได้บางสิ่งนี้จากการทำงานได้เช่นกัน แต่เมื่อคนเรามองย้อนกลับไปดูชีวิต และสงสัยขึ้นมาว่าชีวิตของเรานั้น จะเป็นยังไงในตอนสุดท้าย ลองดูสิ่งสุดท้ายที่พวกเขากล่าว พวกเขากำลังคุยถึงช่วงเวลาตรงนั้น ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัวสีขาวนั่น มันจึงศักดิ์สิทธิ์ มีความสำคัญต่อเรา
Now, what I'm going to do is show you how much of that space is taken up by screens across time. In 2007, this much. That was the year that Apple introduced the first iPhone. Eight years later, this much. Now, this much. That's how much time we spend of that free time in front of our screens. This yellow area, this thin sliver, is where the magic happens. That's where your humanity lives. And right now, it's in a very small box.
คราวนี้สิ่งที่ผมจะให้ทุกคนดู คือ เราหมดเวลาตรงนั้นไปกับ หน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ไปเท่าไร ปี 2007 หมดไปเท่านี้ครับ นั่นคือปีที่ Apple เปิดตัว iPhone เครื่องแรก แปดปีต่อมา เป็นเท่านี้ครับ และมากเท่านี้ในปัจจุบัน ที่เห็นกันคือระยะเวลาที่ เวลาว่างของเราหมดไปกับหน้าจอ พื้นที่สีเหลืองนี้ ตรงเส้นบางๆ นี้ คือจุดที่สิ่งพิเศษเกิดขึ้นครับ นั่นคือที่ของความเป็นมนุษย์ของคุณ และตอนนี้มันเหลือน้อยแค่นี้เอง
So what do we do about this? Well, the first question is: What does that red space look like? Now, of course, screens are miraculous in a lot of ways. I live in New York, a lot of my family lives in Australia, and I have a one-year-old son. The way I've been able to introduce them to him is with screens. I couldn't have done that 15 or 20 years ago in quite the same way. So there's a lot of good that comes from them.
แล้วเราจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง คำถามแรกเลยก็คือ พื้นที่สีแดงนั้นเป็นยังไง แน่นนอนว่าตอนนี้หน้าจอเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สำหรับหลาย ๆ อย่าง ผมอยู่ที่นิวยอร์ก แต่ครอบครัวผมอยู่ที่ออสเตรเลีย และผมมีลูกชายวัยหนึ่งขวบคนนึง ผมคุยกับเขาได้ผ่านจอ ผมทำแบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ 15 หรือ 20 ปีก่อน ด้วยวิธีการแบบนี้ นั่นคือเรื่องดีมาก ๆ ที่มากับมัน
One thing you can do is ask yourself: What goes on during that time? How enriching are the apps that we're using? And some are enriching. If you stop people while they're using them and say, "Tell us how you feel right now," they say they feel pretty good about these apps -- those that focus on relaxation, exercise, weather, reading, education and health. They spend an average of nine minutes a day on each of these. These apps make them much less happy. About half the people, when you interrupt them and say, "How do you feel?" say they don't feel good about using them. What's interesting about these -- dating, social networking, gaming, entertainment, news, web browsing -- people spend 27 minutes a day on each of these. We're spending three times longer on the apps that don't make us happy. That doesn't seem very wise.
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณทำได้คือถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลานั้น แล้วแอพฯ ที่เราใช้ล่ะให้ประโยชน์ มากน้อยแค่ไหน บางอย่างใช้แล้วดีจริง ๆ ถ้าคุณลองไปขัดจังหวะคนกำลังเล่นแอพฯ แล้วถามว่า บอกเราหน่อยสิ ตอนนี้รู้สึกยังไง เขาก็จะตอบว่าก็รู้สึกดีกับแอพฯ พวกนี้ นี่คือกลุ่มที่เน้นการผ่อนคลาย การออกกำลัง อากาศ การอ่านหนังสือ การศึกษา และสุขภาพ พวกเขาใช้แอพฯ กลุ่มนี้เฉลี่ย 9 นาที ต่อวัน แอพฯ พวกนี้ทำให้เรามีความสุขน้อยลง เกือบครึ่งของทุกคน เมื่อคุณไปขัดจังหวะ และถามว่า คุณรู้สึกไงบ้าง เขาจะบอกว่าแอพฯ นี้ เล่นแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ที่น่าสนใจของแอพฯ กลุ่มนี้ก็คือ แอพฯ นัดเดท โซเชียลเน็ตเวิร์ค เกม ความบันเทิง ข่าว ส่องเว็บ ผู้คนใช้เวลากับแอพพวกนี้ถึง 27 นาทีต่อวัน เราใช้เวลามากกว่าถึง 3 เท่า กับแอพที่ทำให้เราไม่มีความสุข นั่นดูไม่ฉลาดเท่าไรเลย
One of the reasons we spend so much time on these apps that make us unhappy is they rob us of stopping cues. Stopping cues were everywhere in the 20th century. They were baked into everything we did. A stopping cue is basically a signal that it's time to move on, to do something new, to do something different. And -- think about newspapers; eventually you get to the end, you fold the newspaper away, you put it aside. The same with magazines, books -- you get to the end of a chapter, prompts you to consider whether you want to continue. You watched a show on TV, eventually the show would end, and then you'd have a week until the next one came. There were stopping cues everywhere. But the way we consume media today is such that there are no stopping cues. The news feed just rolls on, and everything's bottomless: Twitter, Facebook, Instagram, email, text messaging, the news. And when you do check all sorts of other sources, you can just keep going on and on and on.
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราหมดเวลาไปเยอะ กับแอพฯ พวกนั้น ที่ทำให้เราไม่มีความสุข ก็คือมันขโมยจุดเตือนให้หยุดไป จุดเตือนให้หยุดมีอยู่ทุกหนแห่ง ในศตวรรษที่ 20 มันซ่อนอยู่ในทุกเรื่องที่เราทำ จุดเตือนให้หยุดเป็นสัญญาณเตือนกับเรา ว่าได้เวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว ไปทำอะไรใหม่ ๆ ทำอะไรที่ต่างจากที่ทำอยู่ ลองนึกถึงหนังสือพิมพ์ ที่สุดท้ายแล้วเราก็จะอ่านถึงหน้าสุดท้าย และเราก็จะพับ และโยนมันไปไว้ข้าง ๆ เหมือนกันกับนิตยสาร หนังสือ ที่คุณก็จะอ่านไปถึงตอนจบของบท ทำให้คุณได้หยุดคิดว่าจะทำอะไรต่อไป หรือถ้าดูรายการทีวี เดี๋ยวรายการมันก็จบ และคุณต้องรอไปอีกหนึ่งสัปดาห์ จนกว่าตอนใหม่จะมา มีจุดเตือนให้หยุดทุกที่เลย แต่วิธีการเสพสื่อทุกวันนี้เป็นแบบที่ ไม่มีจุดเตือนให้หยุด ฝีดข่าวมันเลื่อนไปได้เรื่อย ๆ และทุกสิ่งไม่มีตอนจบ ทั้ง twitter Facebook instagram อีเมล์ ข้อความสั้น หรือข่าว พอคุณเช็คจากทุกแหล่งข่าวแล้ว คุณก็ยังไปต่อได้อีกเรื่อย ๆ
So, we can get a cue about what to do from Western Europe, where they seem to have a number of pretty good ideas in the workplace. Here's one example. This is a Dutch design firm. And what they've done is rigged the desks to the ceiling. And at 6pm every day, it doesn't matter who you're emailing or what you're doing, the desks rise to the ceiling.
เราอาจจะไปขอยืมจุดหยุดแบบที่ ทำกันในยุโรปตะวันตก ที่นั่นดูเหมือนจะมีไอเดียดี ๆ พวกนี้เยอะ ในที่ทำงาน นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง บริษัทออกแบบจากเนเธอแลนด์ ที่พวกเขาทำคือโยงโต๊ะทำงานเข้ากับเพดาน และทุกวันตอน 6 โมงเย็น ไม่ว่าคุณกำลังตอบอีเมล์หรือทำอะไรก็ตาม โต๊ะทำงานจะถูกยกขึ้นไปติดเพดาน
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Four days a week, the space turns into a yoga studio, one day a week, into a dance club. It's really up to you which ones you stick around for. But this is a great stopping rule, because it means at the end of the day, everything stops, there's no way to work. At Daimler, the German car company, they've got another great strategy. When you go on vacation, instead of saying, "This person's on vacation, they'll get back to you eventually," they say, "This person's on vacation, so we've deleted your email. This person will never see the email you just sent."
4 วันในสัปดาห์ พื้นที่ตรงนี้จะเปลี่ยนเป็น สตูดิโอโยคะ 1 วันจะเปลี่ยนเป็นคลับเต้นรำ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นคุณกำลังชอบอะไรกัน นี่เป็นกฎการหยุดที่เยี่ยมไปเลย เพราะหมายความว่า เมื่อหมดวัน ทุกอย่างต้องหยุด ห้ามทำงานอีกต่อไป บริษัท Diamler ผู้ผลิตรถยนต์ที่เยอรมนี พวกเขามีกลยุทธ์ที่เยี่ยมพอ ๆ กัน เมื่อคุณพักผ่อนวันหยุด แทนที่จะบอกว่า "คนนี้อยู่ระหว่างลาพักผ่อน พวกเขาจะกลับมาพบคุณในภายหลัง" พวกเขากลับพูดว่า "บุคคลนี้กำลังลาพัก ดังนั้นเราจะลบอีเมล์ของคุณทิ้ง" "เขาจะไม่เห็นอีเมล์ที่คุณส่งมา"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
"You can email back in a couple of weeks, or you can email someone else."
"คุณจะตอบอีเมล์กลับในอีกสองสามสัปดาห์ หรือจะเมล์ไปหาคนอื่นแทนก็ได้"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And so --
ดังนั้นแล้ว
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
You can imagine what that's like. You go on vacation, and you're actually on vacation. The people who work at this company feel that they actually get a break from work.
คุณนึกออกเลยล่ะสิว่ามันเป็นยังไง ได้หยุดพักผ่อนที่เป็นการหยุดจริงๆ คนทำงานที่บริษัทนี้รู้สึกว่า พวกเขาได้พักจากงานอย่างแท้จริง
But of course, that doesn't tell us much about what we should do at home in our own lives, so I want to make some suggestions. It's easy to say, between 5 and 6pm, I'm going to not use my phone. The problem is, 5 and 6pm looks different on different days. I think a far better strategy is to say, I do certain things every day, there are certain occasions that happen every day, like eating dinner. Sometimes I'll be alone, sometimes with other people, sometimes in a restaurant, sometimes at home, but the rule that I've adopted is: I will never use my phone at the table. It's far away, as far away as possible. Because we're really bad at resisting temptation. But when you have a stopping cue that, every time dinner begins, my phone goes far away, you avoid temptation all together.
แน่นอนว่า นี่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เรื่องที่ว่าเราจะทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่บ้าน ดังนั้นผมจะให้คำแนะนำคร่าว ๆ การพูดว่าช่วง 5 ถึง 6 โมงเย็น ผมจะไม่ใช้โทรศัพท์ เป็นเรื่องง่าย ปัญหาคือ 5-6โมงเย็น แต่ละวันไม่เหมือนกัน ผมว่าทางที่ดีกว่าควรจะเป็นว่า ทุก ๆ วันผมทำหลายอย่างเลยครับ มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้น เช่น ทานอาหารเย็น บางครั้งก็อยู่คนเดียว บางครั้งก็กับคนอื่น บางทีก็ที่ร้านอาหาร บ้างก็ที่บ้าน แต่กฎที่ผมตั้งขึ้นมาคือ ผมจะไม่ใช้มือถือบนโต๊ะอาหาร เอาไปไว้ให้ไกล ไกลเท่าที่จะไกลได้ เพราะเราต้านทานความอยากได้ไม่ดีเท่าไร แต่เมื่อมีจุดเตือนให้หยุด เช่นตอนเริ่มมื้อเย็น มือถือผมจะไปอยู่ไกลตัว ทำให้ลดความปรารถนาไว้ได้
At first, it hurts. I had massive FOMO.
แรก ๆ ก็ทำใจลำบากหน่อย ผมนี่กังวลสุด ๆ ไปเลย
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
I struggled.
ถึงขั้นต้องดิ้นรน
But what happens is, you get used to it. You overcome the withdrawal the same way you would from a drug, and what happens is, life becomes more colorful, richer, more interesting -- you have better conversations. You really connect with the people who are there with you. I think it's a fantastic strategy, and we know it works, because when people do this -- and I've tracked a lot of people who have tried this -- it expands. They feel so good about it, they start doing it for the first hour of the day in the morning. They start putting their phones on airplane mode on the weekend. That way, your phone remains a camera, but it's no longer a phone. It's a really powerful idea, and we know people feel much better about their lives when they do this.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณจะชินไปเอง เราเอาชนะอาการลงแดงได้ แบบเดียวกับการหยุดใช้ยา และสิ่งที่เกิดขึ้นอีกคือ ชีวิตมีสีสัน รุ่มรวย และน่าสนใจมากขึ้น คุณมีบทสนทนาที่ดีกว่าเดิม คุณเชื่อมต่อกับผู้คนที่อยู่รอบตัวคุณ ผมว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่น่าอัศจรรย์ และเรารู้ว่ามันได้ผล เพราะคนที่ทำเช่นนี้ ผมตามเก็บข้อมูลคนที่ทดลองจำนวนมาก มันขยายไปสู่เวลาอื่น พวกเขารู้สึกดีต่อเรื่องนี้ พวกเขาเริ่มมันตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน พวกเขาเริ่มเปิดโหมดเครื่องบิน ในช่วงสุดสัปดาห์ ทำแบบนี้ทำให้มือถือคุณยังใช้เป็นกล้องได้ แต่มันจะโทรเข้าโทรออกไม่ได้ นี่เป็นความคิดที่มีพลังมาก และรู้ว่าผู้คนรู้สึกดีขึ้นกับชีวิต เมื่อทำแบบนี้
So what's the take home here? Screens are miraculous; I've already said that, and I feel that it's true. But the way we use them is a lot like driving down a really fast, long road, and you're in a car where the accelerator is mashed to the floor, it's kind of hard to reach the brake pedal. You've got a choice. You can either glide by, past, say, the beautiful ocean scenes and take snaps out the window -- that's the easy thing to do -- or you can go out of your way to move the car to the side of the road, to push that brake pedal, to get out, take off your shoes and socks, take a couple of steps onto the sand, feel what the sand feels like under your feet, walk to the ocean, and let the ocean lap at your ankles. Your life will be richer and more meaningful because you breathe in that experience, and because you've left your phone in the car.
งั้นสิ่งที่จะได้ไปวันนี้คืออะไร หน้าจอมันมหัศจรรย์ ผมบอกเรื่องนี้ไปแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่วิธีที่เราใช้มันนั้นเหมือนกับ ขับรถไปอย่างรวดเร็วบนถนนที่ยาวไกล และคุณอยู่บนรถที่คันเร่งเหยียบมิดติดพื้น มันก็เลยยากที่จะไปแตะเบรก คุณมีทางเลือก คุณทำได้ทั้งร่อนถลาผ่านวิวทะเลอันสวยงาม แล้วถ่ายรูปผ่านหน้าต่าง มันง่ายจะตายไป หรือคุณจะไปบนทางของตัวเอง เพื่อจะ แตะเบรก เพื่อออกไปข้างนอก ถอดรองเท้า ถุงเท้า ลองเดินไปบนเม็ดทราย สัมผัสความรู้สึกของทรายใต้ฝ่าเท้า เดินไปสู่น้ำทะเล ให้น้ำทะเลได้สาดซัดมาโดนคุณ ชีวิตจะรุ่มรวยและมีคุณค่ายิ่งขึ้น เพราะคุณมีประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง และเพราะคุณทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถด้วย
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)