I'd like to start tonight by something completely different, asking you to join me by stepping off the land and jumping into the open ocean for a moment. 90 percent of the living space on the planet is in the open ocean, and it's where life -- the title of our seminar tonight -- it's where life began. And it's a lively and a lovely place, but we're rapidly changing the oceans with our -- not only with our overfishing, our irresponsible fishing, our adding of pollutants like fertilizer from our cropland, but also, most recently, with climate change, and Steve Schneider, I'm sure, will be going into greater detail on this. Now, as we continue to tinker with the oceans, more and more reports are predicting that the kinds of seas that we're creating will be conducive to low-energy type of animals, like jellyfish and bacteria. And this might be the kind of seas we're headed for.
ฉันอยากเริ่มคืนนี้ด้วยบางอย่าง ที่แตกต่างออกไป ขอให้คุณมากับฉันโดยก้าวเท้าออกจากแผ่นดิน และโดดลงไปในทะเลกว้างสักแป๊บนึง 90 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตบน ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ในทะเล และ มันคือที่ — ตามชื่อสัมมนาคืนนี้ — ที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น และมันเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่ แต่เราได้เปลี่ยนมหาสมุทรของเราเร็วมาก — ไม่ใช่แค่การประมงเกินขีดจำกัด การประมงที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ การเพิ่มมลพิษ จำพวกปุ๋ยจากสวนไร่นา แต่เรายังมีภาวะโลกร้อนเมื่อเร็ว ๆ มานี้ และ ฉันเชื่อว่า สตีฟ ชไนเดอร์ จะอธิบายเรื่องนี้อย่างเอียดได้ มาต่อ ในเวลาที่เรากำลังบำรุงมหาสมุทรอยู่ รายงานจำนวนมากก็คาดการณ์ไว้ว่า ทะเลที่เรากำลังสร้างอยู่เนี่ย จะเอื้อยประโยชน์ให้กับสัตว์ใช้พลังงานต่ำ แบบแมงกระพรุนและแบคทีเรีย และมันอาจจะเป็นทะเลประเภทที่เรากำลังเผชิญ
Now jellyfish are strangely hypnotic and beautiful, and you'll see lots of gorgeous ones at the aquarium on Friday, but they sting like hell, and jellyfish sushi and sashimi is just not going to fill you up. About 100 grams of jellyfish equals four calories. So it may be good for the waistline, but it probably won't keep you satiated for very long. And a sea that's just filled and teeming with jellyfish isn't very good for all the other creatures that live in the oceans, that is, unless you eat jellyfish. And this is this voracious predator launching a sneak attack on this poor little unsuspecting jellyfish there, a by-the-wind sailor. And that predator is the giant ocean sunfish, the Mola mola, whose primary prey are jellyfish.
แมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่น่าต้องมนต์ และสวยงามอย่างประหลาด และคุณจะได้เห็นไอ้พวกตัวสวย ๆ ที่อควาเรียมในวันศุกร์ แต่มันต่อยโคตรเจ็บ และซูชิแมงกะพรุนและซาชิมิ ก็ไม่ได้ทำให้คุญอิ่มท้อง ประมาณ 100 กรัมของแมงกะพรุนเท่ากับ 4 แคลฯ มันอาจจะดีสำหรับรอบเอวนะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คุณอิ่มได้นานนักหรอก และทะเลเต็มไปด้วยแมงกะพรุน และการแพร่พันธุ์ของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับทุกชีวิตในมหาสมุทร เว้นแต่คุณจะเป็นสัตว์ที่กินแมงกะพรุนละนะ และนี่คือนักล่าจอมตะกละที่แอบมาจู่โจม แมงกะพรุนตัวจ้อยที่น่าสงสารตรงนี้ เจ้ากะลาสีตามสายลม และไอ้นักล่าตัวนี้คือปลาแสงอาทิตย์ยักษ์ หรือ โมลา โมลา ผู้ที่มีอาหารหลักเป็นแมงกะพรุน
This animal is in "The Guinness World Book of Records" for being the world's heaviest bony fish. It reaches up to almost 5,000 pounds -- on a diet of jellyfish, primarily. And I think it's kind of a nice little cosmological convergence here that the Mola mola -- its common name is sunfish -- that its favorite food is the moon jelly. So it's kind of nice, the sun and the moon getting together this way, even if one is eating the other. Now this is typically how you see sunfish, this is where they get their common name. They like to sunbathe, can't blame them. They just lay out on the surface of the sea and most people think they're sick or lazy, but that's a typical behavior, they lie out and bask on the surface.
และนี่คือสัตว์ที่ได้อยู่ใน “กินเนสส์บุ๊ก” สำหรับปลากระดูกแข็งที่หนักที่สุดในโลก น้ำหนักมันสามารถแตะเกือบ ๆ 5,000 ปอนด์ — แค่กินแมงกะพรุนเป็นอาหาร เป็นหลักนะ และ ฉันคิดว่ามันเป็น การรวมตัวของจักรวาลที่ดีนะ ที่โมลา โมลา — หรือที่รู้จักกันในนาม ปลาแสงอาทิตย์ — มันมีอาหารจานโปรดเป็นแมงกะพรุนพระจันทร์ มันดีเนอะ ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ แม้ว่าตัวนึงจะกินอีกตัวก็เถอะ และนี่คือวิธีปกติที่คุณจะเห็นปลาแสงอาทิตย์ นี่คือเหตุผลว่ามันได้ชื่อมันมาได้ยังไง พวกมันชอบอาบแดด ตำหนิมันไม่ได้เนอะ มันจะนอนแอ้งแม้งที่ผิวน้ำทะเล และคนส่วนมากคิดว่ามันป่วยหรือขี้เกียจ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือนิสัยปรกติของมัน มันนอนแผ่อาบแดดอยู่ที่ผิวน้ำ
Their other name, Mola mola, is -- it sounds Hawaiian, but it's actually Latin for millstone, and that's attributable to their roundish, very bizarre, cut-off shape. It's as if, as they were growing, they just forgot the tail part. And that's actually what drew me to the Mola in the first place, was this terribly bizarre shape. You know, you look at sharks, and they're streamlined, and they're sleek, and you look at tuna, and they're like torpedoes -- they just give away their agenda. They're about migration and strength, and then you look at the sunfish.
ชื่อมันอีกชื่อ โมลา โมลา — ฟังดูเป็นฮาวายเนอะ แต่จริง ๆ แล้ว มันเป็นภาษาลาติน แปลว่า หินโม่ และเนื่องมาจากทรงตัดกลม ๆ หน้าตาประหลาด ๆ ของมัน เหมือนว่าตอนมันเจริญเติบโต มันลืมเอาหางมาด้วย และเหตุผลที่ทำให้ฉันสนใจโมลา คือไอ้ทรงประหลาด ๆ ห่วย ๆ นี่แหละ รู้ไหม ตอนคุณดูฉลาม คุณมองความคล่องตัว และความเงางามของมัน และตอนคุณมองปลาทูน่า มันเหมือนตอร์ปิโด — เหมือนมันมอบกำหนดการให้ดู มันอพยพและความแข็งแรงของมัน แล้วคุณลองมองไอ้แสงอาทิตย์
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And this is just so elegantly mysterious, it's just -- it really kind of holds its cards a lot tighter than say, a tuna. So I was just intrigued with what -- you know, what is this animal's story? Well, as with anything in biology, nothing really makes sense except in the light of evolution. The Mola's no exception. They appeared shortly after the dinosaurs disappeared, 65 million years ago, at a time when whales still had legs, and they come from a rebellious little puffer fish faction -- oblige me a little Kipling-esque storytelling here. Of course evolution is somewhat random, and you know, about 55 million years ago there was this rebellious little puffer fish faction that said, oh, the heck with the coral reefs -- we're going to head to the high seas. And lots of generations, lots of tweaking and torquing, and we turn our puffer into the Mola. You know, if you give Mother Nature enough time, that is what she will produce.
มันดู... เป็นความพิศวงที่งดงามเนอะ คือมันดู — เหมือนมันยึดไพ่ทุกใบไว้ในมือ ของทูน่าด้วย ฉันทึ่งกับมัน — แบบ ไอ้เจ้าสัตว์ตัวนี้มันมาได้ยังไง แต่ก็นะ “ในชีววิทยา ไม่มีอะไรสามารถอธิบาย หากไมใช่ทฤษฎีวิวัฒนาการ” (ชื่อหนังสือ) โมลาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน มันเกิดขึ้นมาบนโลกหลังจาก ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ได้ไม่นาน เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ในสมัยที่วาฬยังมีขาอยู่เลย และมันวิวัฒนาการมาจากบางส่วนของ กบฏปลาปักเป้า — ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องสั้น คิปลิงเกสก์ (Kiplingesque) เลย แน่นอนว่า วิวัฒนาการเป็นสิ่งไม่แน่นอน คุณก็รู้เนอะ ประมาณ 55 ล้านปีก่อน มันมีพวกเจ้ากบฏปลาปักเป้าพวกนี้ ที่ว่า ช่างพืดหินปะการังแม่ง — เราไปอยู่ที่ทะเลลึกดีกว่า และจากหลาย ๆ รุ่นที่ทุบและเหลาอยู่หลายรอบ มันก็ได้เปลี่ยนปลาปักเป้า เป็น โมลา คุณรู้ไหม ถ้าเราให้เวลากับธรรมชาติมากพอ นั่นคือสิ่งที่โลกสร้างออกมา
They look -- maybe they look kind of prehistoric and unfinished, abridged perhaps, but in fact, in fact they are the -- they vie for the top position of the most evolutionarily-derived fish in the sea, right up there with flat fish. They're -- every single thing about that fish has been changed. And in terms of fishes -- fishes appeared 500 million years ago, and they're pretty modern, just 50 million years ago, so -- so interestingly, they give away their ancestry as they develop. They start as little eggs, and they're in "The Guinness World Book of Records" again for having the most number of eggs of any vertebrate on the planet. A single four-foot female had 300 million eggs, can carry 300 million eggs in her ovaries -- imagine -- and they get to be over 10 feet long. Imagine what a 10 foot one has. And from that little egg, they pass through this spiky little porcupine fish stage, reminiscent of their ancestry, and develop -- this is their little adolescent stage. They school as adolescents, and become behemoth loners as adults. That's a little diver up there in the corner.
มันดู — มันอาจจะดู ค่อนข้างดึกดำบรรพ์และเหมือนยังไม่สมบูรณ์ ดูย่อยไปมั้ง แต่ว่า อันที่จริงแล้ว — มันชิงที่จะอยู่บนยอดของปลา ที่ได้วิวัฒนาการมามากที่สุดในทะเล อยู่ในระดับเดียวกับพวกปลาลิ้นหมา มัน — ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าปลานี่ ถูกเปลี่ยนหมดเลย และในการเป็นปลา — ปลาเกิดขึ้นบนโลกเมื่อ 500 ล้านปีที่แล้ว และโมล่าก็ค่อนข้างใหม่นะ แค่ประมาณ 50 ล้านปีที่แล้วเอง ซึ่ง — ซึ่งก็น่าสนใจดี มันแสดงให้เห็นถึง บรรพบุรุษของมันในช่วงที่มันพัฒนาตัว มันเริ่มต้นมาจากไข่ใบจิ๋ว มันอยู่ใน “กินเนสส์บุ๊ก” อีกครั้ง สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลัง ที่มีไข่มากที่สุดในโลก ตัวเมียยาว 4 ฟุตมีไข่ได้ถึง 300 ล้านฟอง มันสามารถมีไข่ในรังไข่ได้ถึง 300 ล้านฟอง — ลองนึกดูสิ — แล้วมันโตได้จนยาวเกิน 10 ฟุต คิดว่าไอ้ 10 ฟุตจะมีไข่เยอะแค่ไหน และจากไข่ใบจ้อย มันก็กลายมาเป็นเจ้าปลาเม่นหนามแหลม ๆ ให้เหมือนบรรพบุรุษของมัน แล้วก็พัฒนาเป็น — นี่เป็นช่วงวัยรุ่นของมัน มันรวมเป็นฝูงในช่วงวัยรุ่น และกลายมาเป็น สัตว์สันโดษยักษ์ตอนโตเต็มวัย ตรงมุมตรงนั้นคือนักดำน้ำนะ
They're in "The Guinness World Book of Records" again for being the vertebrate growth champion of the world. From their little hatching size of their egg, into their little larval stage till they reach adulthood, they put on 600 million times an increase in weight. 600 million. Now imagine if you gave birth to a little baby, and you had to feed this thing. That would mean that your child, you would expect it to gain the weight of six Titanics. Now I don't know how you'd feed a child like that but -- we don't know how fast the Molas grow in the wild, but captive growth studies at the Monterey Bay Aquarium -- one of the first places to have them in captivity -- they had one that gained 800 lbs in 14 months. I said, now, that's a true American.
มันอยู่ใน “กินเนสส์บุ๊ก” อีกครั้ง เป็นแชมป์สัตว์มีกระดูกสันหลัง ที่มีการเจริญเติบโตมากที่สุดในโลก จากไข่ใบกระจิ๊ด เป็นตัวอ่อนตัวน้อย ๆ จนมันโตเต็มวัย มันเพิ่มน้ำหนักขึ้นมา เป็น 600 ล้านเท่าตัว 600 ล้านเท่า ลองคิดสิว่า คุณคลอดเด็กตัวจิ๋ว และเราป้อนข้าวป้อนนมลูกคุณ นั่นหมายความว่าลูกของคุณจะเติมโตมา มีน้ำหนักเทียบเท่าเรือไททานิคหกลำ ฉันไม่รู้นะว่า คุณจะเลี้ยงเด็กแบบนี้ยังไง แต่ — เราไม่รู้ว่า โมลาโตเร็วขนาดไหนในธรรมชาติ แต่จากที่เราจับมาศีกษาที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมอนเทอเรย์เบย์ — สถานที่แรก ๆ ที่ได้จับมันมาศึกษา — มันมีตัวนึงเพิ่มน้ำหนัก 800 ปอนด์ ภายใน 14 เดือน ฉันพูดว่า นั่นเป็นพวกอเมริกันจริง ๆ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
So being a loner is a great thing, especially in today's seas, because schooling used to be salvation for fishes, but it's suicide for fishes now. But unfortunately Molas, even though they don't school, they still get caught in nets as by-catch. If we're going to save the world from total jellyfish domination, then we've got to figure out what the jellyfish predators -- how they live their lives, like the Mola. And unfortunately, they make up a large portion of the California by-catch -- up to 26 percent of the drift net. And in the Mediterranean, in the swordfish net fisheries, they make up up to 90 percent. So we've got to figure out how they're living their lives. And how do you do that? How do you do that with an animal -- very few places in the world. This is an open ocean creature. It knows no boundaries -- it doesn't go to land.
เป็นสัตว์สันโดษเป็นเรื่องดีอย่างนึง โดยเฉพาะในทะเลทุกวันนี้ เพราะการอยู่เป็นฝูงเคยเป็นสวรรค์ของปลา แต่ตอนนี้ มันคือการฆ่าตัวตายเลยละ แต่น่าเศร้าที่แม้ว่าโมล่าจะไม่อยู่เป็นฝูง มันยังติดร่างแหเป็นสัตว์พลอยได้ (by-catch) ถ้าเราจะช่วยโลกจากแมงกะพรุนครองโลกนะ เราต้องมาหาว่าอะไรคือนักล่าแมงกะพรุน — มันดำรงชีวิตอยู่ยังไง แบบเจ้าโมลา มันน่าเศร้าตรงที่โมล่าเป็นสัตว์พลอยได้ อันดับต้น ๆ ของแคลิฟอร์เนีย — สูงถึง 26 เปอร์เซ็นต์ของอวนติดตา และในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในการประมงปลาดาบ มันติดอวนสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น เราต้องหาว่ามันอยู่ยังไง แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ เราจะทำยังไง เมื่อสัตว์ตัวนี้ — มีแค่ไม่กี่ที่บนโลก นี่คือสัตว์ที่อยู่ในมหาสมุทรกว้าง ไม่มีขอบเขต — มันไม่อยู่บนดินด้วย
How do you get insight? How do you seduce an open ocean creature like that to spill its secrets? Well, there's some great new technology that has just recently become available, and it's just a boon for getting insight into open ocean animals. And it's pictured right here, that little tag up there. That little tag can record temperature, depth and light intensity, which is correlated with time, and from that we can get locations. And it can record this data for up to two years, and keep it in that tag, release at a pre-programmed time, float to the surface, upload all that data, that whole travelogue, to satellite, which relays it directly to our computers, and we've got that whole dataset. And we didn't even have -- we just had to tag the animal and then we went home and you know, sat at our desks. So the great thing about the Mola is that when we put the tag on them -- if you look up here -- that's streaming off, that's right where we put the tag. And it just so happens that's a parasite hanging off the Mola.
เราจะติดตามมันยังไง เราจะเกลี้ยกล่อมสัตว์ในทะเลกว้างอย่างมัน ยังไงให้คายความลับออกมา ก็นะ เรามีเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่ดีมาก ๆ ที่เพิ่งปล่อยออกมาไม่นานนี้เอง และมันก็มีประโยชน์ในการติดตาม สัตว์ในทะเลกว้างมาก ๆ และภาพของมันก็อยู่ตรงนี้ค่ะ ป้ายเล็ก ๆ ตรงนั้น ไอ้ป้ายเล็ก ๆ นี้นะคะ สามารถบันทึก อุณหภูมิ ความลึก และ สภาพส่องสว่าง ซึ่งเกี่ยวพันกับเวลา และจากตรงนั้น เราก็สามารถระบุสถานที่ได้ และมันสามารถบันทึกข้อมูลพวกนี้ ได้สูงถึงสองปี และเก็บมันไว้ในป้าย ปล่อยตัวตามเวลาที่ตั้งไว้ ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ โหลดข้อมูลทั้งหมดว่าไปไหนมาบ้าง ไปที่ดาวเทียม ซึ่งเชื่อมต่อกับ คอมพิวเตอร์ของเรา แล้วเราก็จะได้ข้อมูลมา เราไม่จำเป็นต้อง — เราแค่ติดมันกับสัตว์แล้วก็กลับบ้าน แล้วก็ นั่นแหละ แค่นั่งรอบ ข้อดีของโมลาคือ ตอนเราเอาป้ายไปติด — ถ้าคุณมองดูดี ๆ — ที่โพล่ ๆ ออกตรงนั้น ที่เราติดแท็กน่ะค่ะ และมันบังเอิญว่า มีปรสิตอยู่บนตัวโมลา
Molas are infamous for carrying tons of parasites. They're just parasite hotels; even their parasites have parasites. I think Donne wrote a poem about that. But they have 40 genera of parasites, and so we figured just one more parasite won't be too much of a problem. And they happen to be a very good vehicle for carrying oceanographic equipment. They don't seem to mind, so far. So what are we trying to find out? We're focusing on the Pacific. We're tagging on the California coast, and we're tagging over in Taiwan and Japan. And we're interested in how these animals are using the currents, using temperature, using the open ocean, to live their lives. We'd love to tag in Monterey. Monterey is one of the few places in the world where Molas come in large numbers. Not this time of year -- it's more around October.
พวกโมล่าขึ้นชื่อเรื่อง การแบกปรสิตจำนวนมาก เหมือนโรงแรมปรสิต ปรสิตของมันก็ยังมีปรสิตเองด้วย ฉันว่า ดอนน์ (Donne) เคยเขียนกลอนเรื่องนี้ แต่ พวกมันมีปรสิต 40 ตัวติดตัวโดยประมาณ และเราก็คิดว่า อีกสักตัวก็คงไม่เป็นไรหรอก แล้วมันก็ดันเป็นยานภาหนะชั้นยอดสำหรับ แบกอุปกรณ์สมุทรศาสตร์ด้วยแหละ โมลาดูจะไม่ถืออะไร เท่าที่ดูนะ เราพยายามจะศึกษาอะไรน่ะเหรอคะ เราโฟกัสไปที่แถบแปซิฟิก เราติดแท็กที่แถบชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย แล้วเราก็ติดแท็กที่ไตหวันและญึ่ปุ่น และเราก็สนใจว่าเจ้าพวกนี้ จะใช้กระแสน้ำยังไง ใช้อุณหภูมิน้ำ ใช้ทะเลเปิดยังไง เพื่อดำรงชีวิต พวกเราชอบไปติดแท็กที่มอนเทอเรย์ มอนเทอเรย์เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่บนโลก ที่พวกโมลาจะมารวมตัวกันเยอะ ๆ และในช่วงเวลานี้ — จริง ๆ ช่วงตุลาคมมากกว่า
And we'd love to tag here -- this is an aerial shot of Monterey -- but unfortunately, the Molas here end up looking like this because another one of our locals really likes Molas but in the wrong way. The California sea lion takes the Molas as soon as they come into the bay, rips off their fins, fashions them into the ultimate Frisbee, Mola style, and then tosses them back and forth. And I'm not exaggerating, it is just -- and sometimes they don't eat them, it's just spiteful. And you know, the locals think it's terrible behavior, it's just horrible watching this happen, day after day. The poor little Molas coming in, getting ripped to shreds, so we head down south, to San Diego. Not so many California sea lions down there. And the Molas there, you can find them with a spotter plane very easily, and they like to hang out under floating rafts of kelp. And under those kelps -- this is why the Molas come there because it's spa time for the Molas there. As soon as they get under those rafts of kelp, the exfoliating cleaner fish come. And they come and give the Molas -- you can see they strike this funny little position that says, "I'm not threatening, but I need a massage."
พวกเราชอบติดแท็กที่นี่ — นี่เป็นภาพถ่ายทางอากาศของมอนเทอเรย์— แต่น่าเศร้าที่ว่า โมลามีสภาพหน้าตาแบบนี้ เพราะ หนึ่งในสัตว์ท้องที่ก็ชอบโมลา แต่ในอีกแบบหนึ่ง สิงโตทะเลแคลิฟอร์เนียจะจับโมลา ทันทีที่มันเข้ามาในอ่าว ฉีกครีบมันทิ้ง เปลี่ยนมันให้เป็น จานร่อนสุดเจ๋งสไตล์โมลา แล้วโยนมันไปโยนมันมา และฉันก็ไม่ได้โม้ด้วยนะคะ คือว่ามัน— และหลาย ๆ ครั้งสิงโตทะเล ก็ไม่กินโมลา มันแค่แค้นแหละ คุณรู้ไหม คนพื้นที่คิดว่า มันเป็นนิสัยที่แย่มาก ๆ มันดูน่ากลัวที่จะดูมันทำแบบนี้ วันแล้ววันเล่า พวกโมล่าที่น่าสงสารเข้ามาในอ่าว โดนฉีกเป็นชิ้น ๆ เราเลยมุ่งใต้ ไปแซนดิเอโก ที่นี่มีสิงโตทะเลแคลิฟอร์เนียไม่ค่อยเยอะ และโมล่าอยู่นี่ คุณจะเจอพวกมันได้ง่ายมาก ๆ และมันชอบอยู่ใต้แพสาหร่ายทะเล และใต้กอสาหร่าย — นี่คือเหตุผลว่า ทำไมโมลามาที่นี่ เพราะมันเหมือนเป็นเวลาสปาของมัน เมื่อพวกโมลามาอยู่ใต้กอสาหร่าย พวกลูกปลาทำความสะอาดก็มา พวกมันมาและให้พวกโมลาได้— คุณจะเห็นว่าโมล่าทำท่าทางแปลก ๆ และพูดว่า “เราไม่ได้จะมาทำร้ายนะ แต่นวดให้เราหน่อยดิ”
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And they'll put their fins out and their eyes go in the back of their head, and the fish come up and they just clean, clean, clean -- because the Molas, you know, there's just a smorgasbord of parasites. And it's also a great place to go down south because the water's warmer, and the Molas are kind of friendly down there. I mean what other kind of fish, if you approach it right, will say, "Okay, scratch me right there." You truly can swim up to a Mola -- they're very gentle -- and if you approach them right, you can give them a scratch and they enjoy it. So we've also tagged one part of the Pacific; we've gone over to another part of the Pacific, and we've tagged in Taiwan, and we tagged in Japan. And over in these places, the Molas are caught in set nets that line these countries. And they're not thrown back as by-catch, they're eaten. We were served a nine-course meal of Mola after we tagged. Well, not the one we tagged! And everything from the kidney, to the testes, to the back bone, to the fin muscle to -- I think that ís pretty much the whole fish -- is eaten.
มันจะยื่นครีบออกมา เหลือกตาไปข้างหลัง และปลาก็จะมาแล้วก็ เวลาโต๊ะจีน — เพราะมันรู้ อย่างที่ทุกคนรู้ บุฟเฟต์ปรสิต และมันก็เป็นสถานที่ที่ดีมากสำหรับลงใต้ เพราะว่าน้ำจะอุ่นกว่า โมลาจะค่อนข้างเป็นมิตรที่นี่ แบบว่า จะมีปลาที่ไหนทำแบบนี้ คุณว่ายน้ำไปหามันได้เลย แล้วมันจะพูดว่า “เค เกาตรงนี้นะ” คุณสามารถว่ายน้ำกับพวกโมลาได้ — มันเป็นสัตว์ที่อ่อนโยนมาก ๆ — แล้ว พอคุณว่ายไปหามัน คุณสามารถเกามันได้ และมันจะแฮปปี้กับการโดนเกามาก ๆ เราติดแท็กมัน บางส่วนในมหาสุทรแปซิฟิก แล้วย้ายไปติดแท็กอีกส่วน ที่อีกด้านของแปซิฟิก และติดแท็กต่อที่ไต้หวันและญี่ปุ่น ที่นี่ โมลาจะติดแหโพงพางที่ทอดยาวตลอดฝั่ง แต่มันไม่ได้ถูกจับแบบผลพลอยได้นะ มันถูกจับไปกินอย่างจริงจัง เราได้กินอาหารเก้าคอร์สที่ทำจากโมลา หลังจากที่เราติดแท็กเสร็จ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่พวกที่เราติดแท็กค่ะ และทุกอย่างของมัน ตั้งแต่ไต ไปอัณฑะ ไปกระดูกสันหลัง ไปกล้ามเนื้อครีบ ไป — ฉันว่านั่นน่าจะทั้งตัวละ — เรากินมันได้
So the hardest part of tagging, now, is after you put that tag on, you have to wait, months. And you're just wondering, oh, I hope the fish is safe, I hope, I hope it's going to be able to actually live its life out during the course that the tag is recording. The tags cost 3500 dollars each, and then satellite time is another 500 dollars, so you're like, oh, I hope the tag is okay. And so the waiting is really the hardest part. I'm going to show you our latest dataset. And it hasn't been published, so it's totally privy information just for TED. And in showing you this, you know, when we're looking at this data, we're thinking, oh do these animals, do they cross the equator? Do they go from one side of the Pacific to the other? And we found that they kind of are homebodies. They're not big migrators. This is their track: we deployed the tag off of Tokyo, and the Mola in one month kind of got into the Kuroshio Current off of Japan and foraged there. And after four months, went up, you know, off of the north part of Japan. And that's kind of their home range. Now that's important, though, because if there's a lot of fishing pressure, that population doesn't get replenished. So that's a very important piece of data.
สิ่งที่ยากที่สุดในการติดแท็ก ตอนนี้ คือ หลังจากที่คุณติดแท็กมัน คุณต้องนั่งรอ เป็นเดือน ๆ แล้วคุณก็นั่งนึก อือ หวังว่าเจ้าปลาจะปลอดภัยนะ ฉันหวังไว้ ฉันหวังไว้ว่า มันจะรอดจนหมดอายุไข ในระยะเวลาที่แท็กมันบันทึกข้อมูล แท็กหนึ่งอันราคา 3500 ดอลลาร์ และเวลาของดาวเทียมก็อีก 500 ดอลลาร์ เพราะฉะนั้น คุณจะแบบ ฉันหวังว่า แท็กจะโอเค การรอเป็นสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว ฉันจะเปิดข้อมูลล่าสุดให้คุณดูนะ มันยังไม่ได้ตีพิมพ์เลย เพราะฉะนั้น มันเป็นข้อมูลลับสำหรับ TED โดยเฉพาะ ในการนำเสนอข้อมูลตรงนี้ แบบว่า ตอนที่เราดูข้อมูลตรงนี้ เราคิดว่า โอ๊ะ พวกสัตว์พวกนี้ พวกมันว่ายข้ามเส้นศูนย์สูตรไหม พวกมันว่ายจากแปซิฟิกฝั่งนึงไปอีกฝั่งไหม และเราก็เจอว่าพวกมัน ค่อนข้างจะเป็นปลาติดบ้านนะ มันไม่ค่อยอพยพไกล ๆ และนี่คือรอยทางของมัน: เราเอาแท็กไปติดที่โตเกียว และในหนึ่งเดือนของโมลา ประมาณว่า มันว่ายเข้าไปในกระแสน้ำคูโรชิโอะ และก็ปล้นสะดมอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วหลังจากนั้นสี่เดือน มันว่ายขึ้นไป อยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น และนั่นก็เป็นอนาเขตบ้านของมัน แต่มันสำคัญมาก เพราะถ้ามีการประมงมากขึ้น ประชากรปลาอาจจะไม่ได้ถูกเพิ่มจำนวน เพราะฉะนั้น นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ
But also what's important is that they're not slacker, lazy fish. They're super industrious. And this is a day in the life of a Mola, and if we -- they're up and down, and up and down, and up and down, and up and up and down, up to 40 times a day. As the sun comes up, you see in the blue, they start their dive. Down -- and as the sun gets brighter they go a little deeper, little deeper. They plumb the depths down to 600 meters, in temperatures to one degree centigrade, and this is why you see them on the surface -- it's so cold down there. They've got to come up, warm, get that solar power, and then plunge back into the depths, and go up and down and up and down. And they're hitting a layer down there; it's called the deep scattering layer -- which a whole variety of food's in that layer. So rather than just being some sunbathing slacker, they're really very industrious fish that dance this wild dance between the surface and the bottom and through temperature.
แต่อีกอย่างที่สำคัญคือ มันไม่ใช่ปลาจอมขี้เกี๊ยจขี้เกียจ มันขยันมาก ๆ เลยค่ะ นี่คือตารางชีวิต ในแต่ละวันของโมลา และถ้าเรา — พวกมันว่ายขึ้นแล้วลง แล้วขึ้นแล้วลง แล้วขึ้นแล้วลง แล้วขึ้น แล้วขึ้นแล้วลง สูงถึง 40 ครั้งต่อวัน พอดวงอาทิตย์ขึ้น คุณเห็นไหมในสีฟ้า ๆ น่ะ พวกมันก็จะเริ่มว่ายขึ้นมา ลง — และเมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้น มันก็จะว่ายลึกลงไปทีละนิด ๆ มันดำน้ำได้ลึกถึง 600 เมตร ในอุณหภูมิหนึ่งองศาเซนติเกรด และนี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึง เจอมันที่ผิวน้ำ — ข้างล่างมันเย็นมาก ๆ มันต้องว่ายขึ้นมา ดูดพลังงานแสงอาทิตย์ แล้วก็ว่ายลงไปข้างล่าง แล้วว่ายขึ้น ๆ ลง ๆ มันจะลงไปที่ระดับชั้น ที่เรียกว่า ชั้น “deep scattering” — ซึ่งเป็นชั้นที่อุดมไปด้วยอาหาร แทนที่จะเป็นปลาอาบแดดจอมขี้เกียจ มันเป็นปลาขยันที่ว่ายท่าประหลาย ๆ นี่ ระหว่างผิวน้ำและก้นทะเล และผ่านอุณหภูมิเปลี่ยน
We see the same pattern -- now with these tags we're seeing a similar pattern for swordfishes, manta rays, tunas, a real three-dimensional play. This is part of a much larger program called the Census of Marine Life, where they're going to be tagging all over the world and the Mola's going to enter into that. And what's exciting -- you all travel, and you know the best thing about traveling is to be able to find the locals, and to find the great places by getting the local knowledge. Well now with the Census of Marine Life, we'll be able to sidle up to all the locals and explore 90 percent of our living space, with local knowledge. It's never -- it's really never been a more exciting, or a vital time, to be a biologist.
เราเห็นแบบการว่ายที่เหมือนกัน — และกับแท็กพวกนี้ เราเห็นแบบที่คล้าย ๆ กันในปลากระโทงดาบ ปลากระเบนแมนตา ปลาทูน่า แบบ สามมิติจริง ๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็ก การสำรวจสำมะโนประชากรของชีวิตทางทะเล ซึ่งพวกเขาจะติดแท็กสัตว์ทะเลทั่วโลก แล้วพวกโมลาก็จะเป็นหนึ่งในนั้น และที่น่าตื่นเต้น — พวกคุณทุกคนเคยเดินทางก็รู้แหละ สิ่งที่ดีที่สุดในการเดินทาง คือการหาของในท้องถิ่น และการเจอสถานที่ดี ๆ จากคนที่มีความรู้ในท้องถิ่น และการสำรวจสำมะโนประชากรนี้ จะทำให้เราเรียนรู้พื้นที่ท้องถิ่น และได้สำรวจ 90% ของพื้นที่อยู่อาศัย ไปกับสัตว์ที่มีความรู้ท้องถิ่น มันไม่เคย — มันไม่เคยน่าตื่นเต้นขนาดนี้ หรือสำคัญขนาดนี้ ที่ได้เป็นนักชีววิทยา
Which brings me to my last point, and what I think is kind of the most fun. I set up a website because I was getting so many questions about Molas and sunfish. And so I just figured I'd have the questions answered, and I'd be able to thank my funders, like National Geographic and Lindbergh. But people would write into the site with all sorts of, all sorts of stories about these animals and wanting to help me get samples for genetic analysis. And what I found most exciting is that everyone had a shared -- a shared love and an interest in the oceans. I was getting reports from Catholic nuns, Jewish Rabbis, Muslims, Christians -- everybody writing in, united by their love of life. And to me that -- I don't think I could say it any better than the immortal Bard himself: "One touch of nature makes the whole world kin." And sure, it may be just one big old silly fish, but it's helping. If it's helping to unite the world, I think it's definitely the fish of the future.
และนี่คือประเด็นสุดท้ายของวันนี้ค่ะ และเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่าสนุกที่สุดด้วย ฉันสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา เพราะโดนถามเรื่อง โมลาและปลาแสงอาทิตย์เยอะมาก ฉันก็เลยคิดว่า ฉันควรจะตอบคำถามพวกนี้ และฉันอยากขอบคุณนายทุนของฉัน แบบ เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก และ ลินด์เบิร์ก แต่คนอื่น ๆ ก็สามารถเขียนพร้อมกับข้อมูล ข้อมูลและเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าปลาพวกนี้ และอยากช่วยให้ฉันได้ตัวอย่างไป ทำการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม และนี่เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ ทุกคนมี — มีความรักและความสนใจในทะเล ฉันได้รายงานจากแม่ชีคาทอลิก รับบีคนยิว ชาวมุสลิม คริสตชน — ทุกคนส่งข้อมูลมา ผูกพันกันจากความรักในชีวิตของพวกเขา และสำหรับฉัน — ฉันไม่คิดว่าฉันไม่สามารถพูด อะไรได้ดีไปกว่านักกวีอมตะ: “สัมผัสแห่งธรรมชาติ ทำให้ทั้งโลกเป็นญาติกัน” (เชกสเปียร์) และแน่นอนว่ามันอาจจะเป็นแค่ เจ้าปลายักษ์ต๊อง ๆ แต่มันก็กำลังช่วยนะคะ ถ้ามันกำลังช่วยรวมโลกเข้าด้วยกัน ฉันว่ามันจะเป็นปลาแห่งอนาคตแน่นอนค่ะ