Embracing otherness. When I first heard this theme, I thought, well, embracing otherness is embracing myself. And the journey to that place of understanding and acceptance has been an interesting one for me, and it's given me an insight into the whole notion of self, which I think is worth sharing with you today.
การสวมกอดความแตกต่าง ตอนที่ฉันได้ยินหัวข้อนี้ครั้งแรก ฉันคิดว่า การกอดความแตกต่าง ก็คือการสวมกอดตัวเองนั่นแหละ และการก้าวไปสู่ ความเข้าใจและการยอมรับนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจสิ่งหนึ่งสำหรับฉัน และเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันหยั่งลึก ถึงทุกอย่างของตัวฉันด้วย ซึ่งฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าควรต่อการแบ่งปันให้พวกคุณฟัง
We each have a self, but I don't think that we're born with one. You know how newborn babies believe they're part of everything; they're not separate? Well that fundamental sense of oneness is lost on us very quickly. It's like that initial stage is over -- oneness: infancy, unformed, primitive. It's no longer valid or real. What is real is separateness, and at some point in early babyhood, the idea of self starts to form. Our little portion of oneness is given a name, is told all kinds of things about itself, and these details, opinions and ideas become facts, which go towards building ourselves, our identity. And that self becomes the vehicle for navigating our social world. But the self is a projection based on other people's projections. Is it who we really are? Or who we really want to be, or should be?
พวกเราต่างมีความเป็นตัวเองทั้งนั้น แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเราเกิดมาพร้อมกับสิ่งนั้น เราต่างรู้ว่าเด็กแรกเกิดเชื่อว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทุกอย่างในโลก ไม่ได้แตกต่างแปลกแยก เป็นความรู้ึสึกพื้นฐานเอกภาพ (ความเป็นหนึ่งเดียว) ที่หายไปจากเราอย่างรวดเร็ว มันเหมือนกับสิ่งเหล่านั้นมันจบไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเป็นหนึ่งเดียว วัยทารก ยังไม่เป็นรูปร่าง แบบดั้งเดิมนั้น ไม่มีตัวตนหรือไม่จริงอีกต่อไป สิ่งที่จริงคือความแตกต่างแปลกแยก และในช่วงของวัยเยาว์นั้นเอง ที่ความคิดเรื่องความเป็นตัวเอง เริ่มจะก่อตัวขึ้น ความเป็นหนึ่งเดียวส่วนหนึ่งเกิดจากการตั้งชื่อ ที่บอกอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับตัวมัน จากรายละเอียดเหล่านี้ ความคิดเห็นและไอเดียต่างๆ เปลี่ยนเป็นข้อเท็จจริง ที่สร้างความเป็นเรา เอกลักษณ์ของเรา และด้วยเอกลัษณ์นั้นกลายเป็นวงจร สำหรับเสาะหาสังคมในโลกของเราต่อไป แต่ความเป็นตัวเองนั้นคือการสร้างภาพพจน์ โดยยึดหลักการประมาณจากคนอื่น แล้วนั่นเป็นเราจริงๆหรือเปล่า? หรือเป็นคนที่เราอยากเป็น หรือควรเป็นกันแน่?
So this whole interaction with self and identity was a very difficult one for me growing up. The self that I attempted to take out into the world was rejected over and over again. And my panic at not having a self that fit, and the confusion that came from my self being rejected, created anxiety, shame and hopelessness, which kind of defined me for a long time. But in retrospect, the destruction of my self was so repetitive that I started to see a pattern. The self changed, got affected, broken, destroyed, but another one would evolve -- sometimes stronger, sometimes hateful, sometimes not wanting to be there at all. The self was not constant. And how many times would my self have to die before I realized that it was never alive in the first place?
จากปฎิกริยาต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นตัวเองและเอกลัษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันโตมาอย่างยากลำบาก ความเป็นตัวเองที่ฉันพยายามแสดงออกสู่โลกนั้น ถูกปฎิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า และด้วยความตื่นตระหนก ที่ตัวฉันนั้นไม่เข้าพวก และความสับสนนั้นมาจาก การที่โดนปฎิเสธความเป็นตัวฉัน สร้างความวิตก ความอับอาย และความสิ้นหวัง ซึ่งมีส่วนอธิบายตัวฉันอยู่นานพอควร แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ความล้มเหลวในตัวฉันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนฉันเริ่มเห็นแบบแผน จากการเปลี่ยนแปลตัวเอง เจอผลกระทบ โดนทำลาย แต่อีกสิ่งจะเข้ามาเกี่ยว บางครั้งทำให้แกร่งขึ้น บางครั้งน่าชังสิ้นดี บางครั้งรู้สึกไม่อยากอยู่ตรงนั้นเลย การเป็นตัวเองนั้นไม่ถาวร และกี่ครั้งกัน ที่ความเป็นตัวฉันต้องตายจาก ไปก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ว่ามันไม่ได้มีตัวตนตั้งแต่แรกเริ่ม?
I grew up on the coast of England in the '70s. My dad is white from Cornwall, and my mom is black from Zimbabwe. Even the idea of us as a family was challenging to most people. But nature had its wicked way, and brown babies were born. But from about the age of five, I was aware that I didn't fit. I was the black atheist kid in the all-white Catholic school run by nuns. I was an anomaly, and my self was rooting around for definition and trying to plug in. Because the self likes to fit, to see itself replicated, to belong. That confirms its existence and its importance. And it is important. It has an extremely important function. Without it, we literally can't interface with others. We can't hatch plans and climb that stairway of popularity, of success. But my skin color wasn't right. My hair wasn't right. My history wasn't right. My self became defined by otherness, which meant that, in that social world, I didn't really exist. And I was "other" before being anything else -- even before being a girl. I was a noticeable nobody.
ฉันโตในชายฝั่งของเกาะอังกฤษ ช่วงปี'70 คุณพ่อของฉันเป็นคนขาวจาก คอร์นวอร์ และแม่ของฉันเป็นคนผิวดำจาก ซิมบักเวย์ แม้แต่ไอเดียเรื่องครอบครัวเรา ก็เป็นเรื่องท้าทาายสำหรับคนทั่วไปแล้ว แต่ธรรมชาติก็ช่างน่าประหลาดนัก และเด็กผิวน้ำตาลก็เกิดขึ้นมา แต่ด้วยเพียงอายุแค่ห้าขวบ ฉันรู้สึกตัวว่าฉันไม่เข้าพวก ฉันเป็นเด็กผิวดำที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ท่ามกลางเด็กผิวขาวที่วิ่งเล่นในโรงเรียนแม่ชี ฉันเป็นตัวประหลาด ฉันพยายามหาความหมายการเป็นตัวของตัวเอง และพยายามเข้าสังคมให้ได้ เพราะการเป็นตัวเองต้องการเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อเห็นว่าเรานั้นเหมือนกับคนอื่น ที่อยู่ในสังคมรอบตัว เพื่อเป็นการยืนยันการมีตัวตนอยู่ และความสำคัญของเรา มันเป็นเรื่องสำคัญ และมันก็เป็นระบบที่สำคัญมากๆด้วย ถ้าไม่มีสิ่งนี้ พวกเราแทบจะไม่สามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้เลย เราไม่สามารถแตกแผน และปีนบันไดของการเป็นที่นิยมชมชอบ ของความสำเร็จเองได้ แต่สีผิวฉันมันผิด สีผมฉันก็ไม่ถูก ประวัติของฉันก็ไม่ใช่ เอกลัษณ์ของฉันถูกกำหนด โดยความแตกต่าง ซึ่งก็หมายความว่า ในสังคมโลกใบนี้ ฉันไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง และฉันเป็นส่วนเกิน ก่อนที่จะเข้าสังคม หรือก่อนจะเป็นเด็กผู้หญิงเสียอีก ฉันเป็นคนไม่มีตัวตน
Another world was opening up around this time: performance and dancing. That nagging dread of self-hood didn't exist when I was dancing. I'd literally lose myself. And I was a really good dancer. I would put all my emotional expression into my dancing. I could be in the movement in a way that I wasn't able to be in my real life, in myself.
แล้วโลกอีกใบก็เปิด รับในช่วงเวลานั้น: คือการแสดงและการเต้นรำ ความกลัวต่างต่างนานาเรื่องการเป็นตัวของตัวเอง นั้นไม่อยู่ในหัวฉันเลยตอนที่ฉันเต้นรำ ฉันเหมือนได้ปลดปล่อยตัวเอง และฉันก็เป็นนักเต้นที่เก่งด้วย เวลาที่ฉันเต้น ฉันจะใส่อารมณ์ความรู้สึก ทั้งหมดลงไปด้วย ฉันสามารถเคลื่อนไหว ในแบบที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน ในชีวิต ในตัวเอง
And at 16, I stumbled across another opportunity, and I earned my first acting role in a film. I can hardly find the words to describe the peace I felt when I was acting. My dysfunctional self could actually plug in to another self, not my own, and it felt so good. It was the first time that I existed inside a fully-functioning self -- one that I controlled, that I steered, that I gave life to. But the shooting day would end, and I'd return to my gnarly, awkward self.
และในวัย16ปี ฉันได้มีโอกาศอีกอย่าง นั่นคือการได้รับบทแสดงหนังเรื่องแรก ฉันไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย ความสงบที่ฉันรู้สึก เวลาที่ฉันแสดง สิ่งที่ผิดปกติของตัวฉัน กลับเข้ากันได้กับ ตัวตนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเลย และมันรู้สึกดีมากๆ มันเป็นครั้งแรกที่ฉันมีตัวตน จากข้างใน เป็นตัวของตัวเอง เป็นสิ่งที่ฉันควบคุมได้ เหมือนคุมหางเสือเรือ และให้กำเนิดชีวิตกับตัวละคร แต่การถ่ายทำก็ต้องมีวันจบ และฉันก็ต้องกลับ ไปอยู่กับความรู้สึกแย่ๆนั่นเหมือนเดิม
By 19, I was a fully-fledged movie actor, but still searching for definition. I applied to read anthropology at university. Dr. Phyllis Lee gave me my interview, and she asked me, "How would you define race?" Well, I thought I had the answer to that one, and I said, "Skin color." "So biology, genetics?" she said. "Because, Thandie, that's not accurate. Because there's actually more genetic difference between a black Kenyan and a black Ugandan than there is between a black Kenyan and, say, a white Norwegian. Because we all stem from Africa. So in Africa, there's been more time to create genetic diversity." In other words, race has no basis in biological or scientific fact. On the one hand, result. Right? On the other hand, my definition of self just lost a huge chunk of its credibility. But what was credible, what is biological and scientific fact, is that we all stem from Africa -- in fact, from a woman called Mitochondrial Eve who lived 160,000 years ago. And race is an illegitimate concept which our selves have created based on fear and ignorance.
พออายุได้19ปี ฉันก็เป็นดาราหนังเต็มตัว แต่ยังคงเสาะหาความหมายตัวเองอยู่ ฉันลงทะเบียนเรียนมานุษยวิทยา ที่มหาวิทยาลัย ดร.ฟิลลิซ ลี เป็นคนสัมภาษณ์ฉัน เธอถามฉันว่า "คุณจะให้ความหมายเชื้อชาติยังไง" อืม ฉันคิดว่าฉันมีคำตอบสำหรับคำถามนี้นะ เลยตอบว่า "สีผิวคะ" "หมายถึงตัดสินจากพันธุกรรมงั้นหรอ" เธอตอบฉัน "แทนดี่ นั้นมันไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าพันธุกรรมนั้นมันหลายหลายมาก มีความแตกต่าง ระหว่าง คนผิวดำเคนย่า กับคนอูกานดา มากว่า ในกลุ่มคนเคนยากันเอง และก็คนขาวนอร์วีเจียน เพราะพวกเราต่างแตกสาขามากจากแอฟริกา ดังนั้นในแอฟริกา จึงมีเวลามากกว่าที่จะ สร้างความแตกต่างทางพันธุกรรม" กล่าวคือ เชื้อชาตินั้นไม่มีรากฐาน ในทางชีววิทยาหรือข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ในด้านหนึ่ง ของผล ใช่ไหมคะ ในอีกด้านหนึ่ง ความหมายของฉันของการเป็นตัวเอง เป็นอย่างนั้นเพียงเพราะการสูญเสียความน่าเชื่อถือไป แต่อะไรคือความน่าเชื่อถือ แล้วอะไรคือข้อเท็จจริงทางชีววิทยาหรือวิทยศาสตร์ละ รึว่าเราจะแตกมาจากแอฟริกา จริงๆแล้ว จากต้นกำเนิดผู้หญิงที่เรียกว่า ไมโตรคอนเดรีย อีฟ ผู้มีชีวิตเมื่อประมาณ160,000 กว่าปีที่แล้ว และเชื้อชาติคือแนวคิดผิดทำนองคลองธรรม ที่พวกเราสร้างมันขึ้นมา จากความกลัวและความเพิกเฉย
Strangely, these revelations didn't cure my low self-esteem, that feeling of otherness. My desire to disappear was still very powerful. I had a degree from Cambridge; I had a thriving career, but my self was a car crash, and I wound up with bulimia and on a therapist's couch. And of course I did. I still believed my self was all I was. I still valued self-worth above all other worth, and what was there to suggest otherwise? We've created entire value systems and a physical reality to support the worth of self. Look at the industry for self-image and the jobs it creates, the revenue it turns over. We'd be right in assuming that the self is an actual living thing. But it's not. It's a projection which our clever brains create in order to cheat ourselves from the reality of death.
น่าแปลกที่การได้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้ทำให้อาการความเชื่อมั่นในตัวเองฉันดีขึ้นเลย กับความรู้สึกแตกต่างแปลกแยก ความต้องการที่จะหายไปจากโลกนั้น ยังคงอยู่มากเลยทีเดียว ฉันได้รับปริญญาจากแคมบริดจ์ ฉันประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างมาก แต่ความเป็นตัวฉันนั้นพังยับเหมือนรถชน แล้วพันแผลด้วยบูลีเมีย และการบำบัด และแน่นอนว่า ฉันยังคงเชื่อว่า ความเป็นตัวฉันคือทุกสิ่งที่ฉันเป็น ฉันยังคงเห็นคุณค่าตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใด และอะไรที่ควรแนะนำกันแน่เล่า พวกเราสร้างระบบค่านิยมต่างๆนานา และสภาพร่างกาย ที่ส่งเสริมกับค่าของตัวเรา ลองมองดูที่อุตสาหกรรมการสร้างภาพซิ ว่ามันสร้างงานขึ้นมาแค่ไหน ยิ่งภาพพจน์ดีเงินก็ยิ่งดี พวกเราคงคิดถูกถ้าเราคาดเดา การเป็นตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง แต่มันผิด มันแค่การประมาณการ ที่สมองอันชานฉลาดของเราสร้างขึ้น เพื่อหลอกเรา จากความจริงเกี่ยวกับความตาย
But there is something that can give the self ultimate and infinite connection -- and that thing is oneness, our essence. The self's struggle for authenticity and definition will never end unless it's connected to its creator -- to you and to me. And that can happen with awareness -- awareness of the reality of oneness and the projection of self-hood. For a start, we can think about all the times when we do lose ourselves. It happens when I dance, when I'm acting. I'm earthed in my essence, and my self is suspended. In those moments, I'm connected to everything -- the ground, the air, the sounds, the energy from the audience. All my senses are alert and alive in much the same way as an infant might feel -- that feeling of oneness.
แต่มีบางสิ่งที่ สามารถให้ความเป็นตัวเรา เชื่อโยงกันได้มากที่สุดอย่างไม่มีขอบเขต สิ่งนั้นก็คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสำคัญของเรา ความพยายามค้นหา ที่น่าเชื่อถือและความหมาย จะไม่มีวันจบ ถ้ามันไม่เชื่อมเข้ากับผู้สร้าง ซึ่งคือคุณและฉัน และนั้นจะสามารถเกิดขึ้นด้วยการรู้สึกตัว รู้สึกของความเป็นจริงเรื่องความเป็นหนึ่งเดียว และการวาดภาพไปเองของความเป็นตัวเอง จากการเริ่มต้น พวกเราอาจลองคิด ถึงช่วงเวลาที่เราได้ปลดปล่อย มันเกิดขึ้นกับฉันเวลาเต้น เวลาแสดง ฉันได้สร้างสาระสำคัญของฉัน และตัวตนของฉันถูกระงับ ในช่วงเวลาเหล่านั้น ฉันได้เชื่อมโยงกับทุกอย่าง พื้นดิน อากาศ เสียง พลังจากผู้ชม ทุกโสตสัมผัสฉันตื่นตัวและมีชีวิตชีวา ในแบบที่อาจคล้ายๆกับเด็กแบเบาะ ที่รู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว
And when I'm acting a role, I inhabit another self, and I give it life for awhile, because when the self is suspended so is divisiveness and judgment. And I've played everything from a vengeful ghost in the time of slavery to Secretary of State in 2004. And no matter how other these selves might be, they're all related in me. And I honestly believe the key to my success as an actor and my progress as a person has been the very lack of self that used to make me feel so anxious and insecure. I always wondered why I could feel others' pain so deeply, why I could recognize the somebody in the nobody. It's because I didn't have a self to get in the way. I thought I lacked substance, and the fact that I could feel others' meant that I had nothing of myself to feel. The thing that was a source of shame was actually a source of enlightenment.
เวลาที่ฉันแสดงบทบาท ฉันอยู่ในอีกตัวตนนึง และได้ให้ชีวิตกับมันระยะหนึ่ง เพราะเมื่อเวลาที่ตัวตนนึงได้ถูกระงับ เหมือนกับการแตกแยก และการตัดสิน ฉันได้เล่นทุกบทแล้ว จากผีผูกพยาบาทในช่วงค้าทาส จนถึงเลขาธิการชาติในปี 2004 และไม่ว่าความเป็นตัวตน เหล่านี้เป็นอย่างไร พวกเขาสัมพันธ์กับฉันทั้งนั้น และฉันเชื่อจริงๆว่า กุญแจสู่ความสำเร็จของฉันในการเป็นนักแสดง และพัฒนาการด้านบุคลิกภาพ มาจากการที่รู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง ที่ทำให้ฉันรู้สึก ตื่นตระหนกและไม่ปลอดภัย ฉันสงสัยมาตลอดว่า ทำไมฉันถึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดของพูดอื่นได้มากขนาดนี้ ทำไมฉันรับรู้ถึง บางคนในคนไร้ตัวตนนี้ มันเพราะว่าฉันไม่มีตัวตนที่จะขวางกั้นสิ่งใด ฉันคิดว่าฉันขาดความเป็นตัวตน และความจริงที่ฉันรู้สึกถึงผู้อื่น หมายถึงฉันไม่มีอะไรในตัวฉันที่จะรู้สึกเลย สิ่งที่เป็นเรื่องน่าอาย จริงๆกลับเป็นแหล่งที่ทำให้เห็นแจ้ง
And when I realized and really understood that my self is a projection and that it has a function, a funny thing happened. I stopped giving it so much authority. I give it its due. I take it to therapy. I've become very familiar with its dysfunctional behavior. But I'm not ashamed of my self. In fact, I respect my self and its function. And over time and with practice, I've tried to live more and more from my essence. And if you can do that, incredible things happen.
และเมื่อฉันได้รับรู้ และได้เข้าใจ ว่าตัวตนของฉันนั้นแค่การประมาณการและการสร้างระบบ เรื่องขำๆก็เกิดขึ้น ฉันหยุดจ่ายให้รัฐ แค่จ่ายตามกำหนดเท่านั้น ฉันเข้ารับการบำบัด เริ่มรู้สึกคุ้นชิน กับพฤติกรรมผิดปกติ แต่ฉันไม่รู้สึกอายกับตัวฉัน ความจริงแล้ว ฉันเคารพตัวเอง และความเป็นตัวมัน และด้วยการฝึกฝนที่ผ่านไป ฉันพยายามใช้ชีวิต กับความสำคัญตัวเองมากขึ้น และถ้าคุณทำแบบนั้นได้ สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้น
I was in Congo in February, dancing and celebrating with women who've survived the destruction of their selves in literally unthinkable ways -- destroyed because other brutalized, psychopathic selves all over that beautiful land are fueling our selves' addiction to iPods, Pads, and bling, which further disconnect ourselves from ever feeling their pain, their suffering, their death. Because, hey, if we're all living in ourselves and mistaking it for life, then we're devaluing and desensitizing life. And in that disconnected state, yeah, we can build factory farms with no windows, destroy marine life and use rape as a weapon of war. So here's a note to self: The cracks have started to show in our constructed world, and oceans will continue to surge through the cracks, and oil and blood, rivers of it.
ฉันอยู่ที่คองโก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เต้นรำและฉลอง กับเหล่าผู้หญิงที่รอดพ้น จากการทำร้ายตัวตนของพวกเขา โดยที่ไม่ทันยั้งคิด ถูกทำร้ายเพราะคนอื่นทำร้าย หรือเป็นโรคจิต ทั่วทั้งดินแดนสวยงาม ขับเคลื่อนพวกเราด้วยการเสพติด ทั้ง iPods, Pads, และbling ซึ่งต่อมาตัดขาดเราจาก การรับรู้ความรู้สึกเจ็บพวกของเขา การทนทุกข์ ความตาย เพราะว่า นี่ ถ้าเราทุกคนใช้ชีวิตกับตัวเราเอง และเข้าใจผิดกับมันตลอดชีวิต ก็จะทำให้เราลดค่า ลดความรู้สึกในชีวิตลง และในประเทศที่ไร้การเชื่อมโยง ใช่ พวกเราสามารถสร้างฟาร์มที่ไม่มีหน้าต่างสักบาน ทำลายโลกใต้น้ำ และใช้การข่มขืนเป็นอาวุธสงคราม ดังนั้นนี่เป็นข้อความถึงตัวเรา รอยแตกเริ่มจะมีมากขึ้น ในโลกของพวกเรา และทะเลสาปจะ ซอกซอนตามรอบแตกเหล่านั้น รวมถึงน้ำมัน และเลือด หลั่งเป็นสายน้ำด้วย
Crucially, we haven't been figuring out how to live in oneness with the Earth and every other living thing. We've just been insanely trying to figure out how to live with each other -- billions of each other. Only we're not living with each other; our crazy selves are living with each other and perpetuating an epidemic of disconnection.
สิ่งสำคัญคือเราไม่พยายามหาทางว่า จะอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันยังไง กับโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พวกเราแค่พยายามคิดอย่างบ้าคลั่ง ว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร มาเป็นพันๆปี พวกเราไม่ได้อยู่ร่วมกัน แต่เป็นความบ้าในตัวตนต่างหากที่อยู่ด้วยกัน และยังแพร่ระบาด การตัดขาดจากกันอีก
Let's live with each other and take it a breath at a time. If we can get under that heavy self, light a torch of awareness, and find our essence, our connection to the infinite and every other living thing. We knew it from the day we were born. Let's not be freaked out by our bountiful nothingness. It's more a reality than the ones our selves have created. Imagine what kind of existence we can have if we honor inevitable death of self, appreciate the privilege of life and marvel at what comes next. Simple awareness is where it begins.
มาอยู่ร่วมกันเถิด และหายใจทีละครั้ง ถ้าเราสามารถเข้าถึงตัวตน จุดคบเพลิงแห่งการรู้ตัว และหาความสำคัญ เชื่อมโยงต่อกัน และกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พวกเรารู้ตั้งแต่วันแรกเกิดแล้ว จงอย่าตื่นตระหนกไป กับการผูกมัดกับสิ่งไร้ค่า มันมีความเป็นจริง มากยิ่งกว่าการเป็นหนึ่งเดียว ที่สร้างขึ้นอีก ถ้าเราให้เกียรติความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชื่นชมกับสิทธิสภาพของชีวิต และยินดีกับสิ่งที่จะเกิดในอนาคต ง่ายๆแค่รู้ตัวคือที่ที่เราควรเริ่มต้น
Thank you for listening.
ขอบคุณที่รับฟังคะ
(Applause)
(ปรบมือ)