In the coming years, artificial intelligence is probably going to change your life, and likely the entire world. But people have a hard time agreeing on exactly how. The following are excerpts from a World Economic Forum interview where renowned computer science professor and AI expert Stuart Russell helps separate the sense from the nonsense.
ในอนาคตที่กำลังจะมาถึง ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะเปลี่ยนชีวิตคุณ และโลกใบนี้ แต่ความเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในทิศทางไหน ยังไม่มีใครหาข้อตกลงได้ นี่คือข้อความส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ จาก World Economic Forum สจวร์ต รัสเซลล์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ที่มีชื่อเสียง อธิบายแยกแยะระหว่างเรื่องจริง และเรื่องแต่งเกี่ยวกับ AI
There’s a big difference between asking a human to do something and giving that as the objective to an AI system. When you ask a human to get you a cup of coffee, you don’t mean this should be their life’s mission, and nothing else in the universe matters. Even if they have to kill everybody else in Starbucks to get you the coffee before it closes— they should do that. No, that’s not what you mean. All the other things that we mutually care about, they should factor into your behavior as well.
การบอกมนุษย์ให้ทำอะไรสักอย่าง แตกต่างจากการกำหนดเป้าหมายให้ AI มาก ถ้าคุณขอมนุษย์ให้ไปหากาแฟให้คุณสักแก้ว คุณไม่ได้หมายความว่ากาแฟ เป็นภารกิจทั้งหมดของชีวิต และไม่มีอะไรในจักรวาลสำคัญไปกว่านั้น ถ้าต้องฆ่าทุกคนเพื่อให้ได้กาแฟมาหนึ่งแก้ว ก่อนร้านสตาร์บัคส์ปิด ก็เอาเลย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ สิ่งอื่นที่พวกเราให้ความสำคัญร่วมกัน ก็ต้องมีผลต่อการตัดสินใจเรื่องพฤติกรรมด้วย
And the problem with the way we build AI systems now is we give them a fixed objective. The algorithms require us to specify everything in the objective. And if you say, can we fix the acidification of the oceans? Yeah, you could have a catalytic reaction that does that extremely efficiently, but it consumes a quarter of the oxygen in the atmosphere, which would apparently cause us to die fairly slowly and unpleasantly over the course of several hours.
ปัญหาของวิธีที่ เราใช้สร้างระบบ AI ในปัจจุบันก็คือ เราตั้งเป้าหมายที่ตายตัวให้มัน อัลกอรึทึมของ AI บังคับให้เราระบุทุกอย่าง เข้าไปในเป้าหมาย ถ้าคุณถาม AI ว่าจะแก้ปัญหา ความเป็นกรดของทะเลยังไง จริงอยู่ที่ว่าแค่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา ก็แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มันใช้หนึ่งในสี่ของ ปริมาณออกซิเจนในบรรยากาศ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เราตายอย่างช้าๆ และทรมานในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
So, how do we avoid this problem? You might say, okay, well, just be more careful about specifying the objective— don’t forget the atmospheric oxygen. And then, of course, some side effect of the reaction in the ocean poisons all the fish. Okay, well I meant don’t kill the fish either. And then, well, what about the seaweed? Don’t do anything that’s going to cause all the seaweed to die. And on and on and on.
เราจะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ยังไง คุณคงพูดว่า “โอเค งั้นเราก็ระบุเป้าหมายให้รอบคอบสิ” “อย่าลืมเรื่องออกซิเจนในบรรยากาศ” หลังจากนั้น แน่นอนว่ามีผลข้างเคียง จากปฏิกิริยาในน้ำที่กระทบมหาสมุทร ปลาได้รับสารพิษ “โอเค ห้ามฆ่าปลาด้วย” ได้ ถ้าอย่างนั้น แล้วสาหร่ายล่ะ “อย่าทำอะไรก็ตามที่ทำให้สาหร่ายตาย” ระบุอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
And the reason that we don’t have to do that with humans is that humans often know that they don’t know all the things that we care about. If you ask a human to get you a cup of coffee, and you happen to be in the Hotel George Sand in Paris, where the coffee is 13 euros a cup, it’s entirely reasonable to come back and say, well, it’s 13 euros, are you sure you want it, or I could go next door and get one? And it’s a perfectly normal thing for a person to do. To ask, I’m going to repaint your house— is it okay if I take off the drainpipes and then put them back? We don't think of this as a terribly sophisticated capability, but AI systems don’t have it because the way we build them now, they have to know the full objective. If we build systems that know that they don’t know what the objective is, then they start to exhibit these behaviors, like asking permission before getting rid of all the oxygen in the atmosphere.
สาเหตุที่เราไม่ต้องบอกมนุษย์แบบนี้ ก็เพราะว่า มนุษย์มักเข้าใจว่าตัวเองไม่ได้รู้ทุกอย่าง เกี่ยวกับสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ถ้าคุณขอมนุษย์คนหนึ่งให้ไปหากาแฟมาให้คุณ แล้วบังเอิญว่าคุณอยู่ที่ โรงแรม George V ในปารีส กาแฟที่นั่นแก้วละ 13 ยูโร (480 บาท) เขาก็คงกลับมาบอกคุณว่า “กาแฟแล้วละ 13 ยูโรเลยนะ” “แน่ในนะว่าอยากซื้อ หรือฉันไปซื้อจากร้านข้างนอกใกล้ๆ ให้ก็ได้” มันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมากสำหรับมนุษย์ การถามว่า “ฉันจะทาสีบ้านคุณใหม่” “จะต้องเอารางน้ำฝนออกนะ ผมจะติดเข้าที่เดิมให้ คุณโอเคไหม” พวกเรารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เป็นความสามารถ ที่ซับซ้อนอะไร แต่ AI ทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น เพราะตามวิธีที่เราสร้างมันในปัจจุบัน มันต้องรู้เป้าหมายทุกอย่างครบถ้วน ถ้าเราสร้างระบบที่รู้ตัวเอง ว่าไม่รู้เป้าหมายที่แน่นอน มันก็จะเริ่มแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น ขออนุญาตก่อนที่จะสูบออกซิเจน ทั้งหมดจากชั้นบรรยากาศ
In all these senses, control over the AI system comes from the machine’s uncertainty about what the true objective is. And it’s when you build machines that believe with certainty that they have the objective, that’s when you get this sort of psychopathic behavior. And I think we see the same thing in humans.
เมื่อคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ การควบคุมระบบ AI มาจากการที่ระบบ ไม่มั่นใจว่าอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริง เมื่อคุณสร้างระบบที่มั่นใจแน่นอน ว่าตัวเองเข้าใจเป้าหมาย มันก็จะมีพฤติกรรมไร้สติและศีลธรรม เราเห็นเรื่องพวกนี้ในมนุษย์เหมือนกัน
What happens when general purpose AI hits the real economy? How do things change? Can we adapt? This is a very old point. Amazingly, Aristotle actually has a passage where he says, look, if we had fully automated weaving machines and plectrums that could pluck the lyre and produce music without any humans, then we wouldn’t need any workers.
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ AI อเนกประสงค์ ถูกปล่อยสู่ตลาดเศรษฐกิจ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง เราจะปรับตัวได้ไหม คำถามพวกนี้มีมานานแล้ว อริสโตเติลมีงานเขียนที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่ เขาเขียนว่า ถ้าเรามีเครื่องจักรที่ทอผ้าได้เอง และปิ๊กที่ดีดพิณไลร์เพื่อเล่นดนตรีได้เอง โดยไม่ต้องมีมนุษย์มาเกี่ยวข้อง งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องมีคนงาน
That idea, which I think it was Keynes who called it technological unemployment in 1930, is very obvious to people. They think, yeah, of course, if the machine does the work, then I'm going to be unemployed.
ความคิดนี้ ซึ่งเคนส์เป็นคนตั้งชื่อให้ว่า การตกงานเพราะเทคโนโลยี ในปี 1930 เป็นสิ่งที่คนเห็นได้ชัดเจน คนคิดว่า “ในเมื่อมีเครื่องจักรทำงานแล้ว” “ฉันตกงานแน่ๆ”
You can think about the warehouses that companies are currently operating for e-commerce, they are half automated. The way it works is that an old warehouse— where you’ve got tons of stuff piled up all over the place and humans go and rummage around and then bring it back and send it off— there’s a robot who goes and gets the shelving unit that contains the thing that you need, but the human has to pick the object out of the bin or off the shelf, because that’s still too difficult. But, at the same time, would you make a robot that is accurate enough to be able to pick pretty much any object within a very wide variety of objects that you can buy? That would, at a stroke, eliminate 3 or 4 million jobs?
ลองคิดถึงโกดังสินค้าของบริษัท e-commere ในปัจจุบัน ระบบงานก็อัตโนมัติไปครึ่งหนึ่งแล้ว แทนที่จะทำแบบในโกดังเก่า แบบที่สินต้าต่างๆ อยู่ในที่ของมัน มนุษย์ต้องเดินไปหาของเองตามมุมต่างๆ เอาของออกมา แล้วส่งสินค้าไปตามที่อยู่ โกดังในปัจจุบันมีหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่ หาชั้นวางสินค้าที่เราต้องการ มนุษย์แค่หยิบของชิ้นนั้นออกมาจากชั้น เพราะการแยกแยะของยังยากสำหรับ AI ในขณะเดียวกัน คุณจะอยากสร้างหุ่นยนต์ที่มีความแม่นยำ ถึงขนาดสามารถเลือกหยิบ ของที่ถูกต้องจากสิ่งของอื่นๆ ที่คุณซื้อไหม เพราะมันหมายความว่างานในตลาดแรงงาน จะหายไปถึง 3 หรือ 4 ล้านตำแหน่ง
There's an interesting story that E.M. Forster wrote, where everyone is entirely machine dependent. The story is really about the fact that if you hand over the management of your civilization to machines, you then lose the incentive to understand it yourself or to teach the next generation how to understand it. You can see “WALL-E” actually as a modern version, where everyone is enfeebled and infantilized by the machine, and that hasn’t been possible up to now.
อี.เอ็ม. ฟอร์สเตอร์ เขียนเรื่องเล่า ที่น่าสนใจไว้ ในเรื่อง มนุษย์ทุกคนพึ่งพาหุ่นยนต์ ให้ทำทุกอย่าง ใจความหลักของเรื่องคือ ถ้าคุณยกการบริหารอารยธรรมให้จักรกล คุณก็จะสูญเสียแรงจูงใจ ในการทำความเข้าใจมันด้วยตัวเอง รวมถึงความต้องการสอน ให้คนรุ่นต่อไปเข้าใจด้วย “WALL-E” พูดถึงเรื่องเดียวกันในแบบที่ ทันสมัยขึ้น ในเรื่อง มนุษย์ร่างกายอ่อนแอเพราะไม่ต้อง ทำอะไรเองเมื่อมีหุ่นยนต์ช่วย เรื่องแบบนั้นยังไม่มาถึงในปัจจุบัน พวกเราใส่อารยธรรมของตัวเองเข้าไปในหนังสือ
We put a lot of our civilization into books, but the books can’t run it for us. And so we always have to teach the next generation. If you work it out, it’s about a trillion person years of teaching and learning and an unbroken chain that goes back tens of thousands of generations. What happens if that chain breaks?
แต่หนังสือไม่สามารถควบคุมมันได้ เราจึงต้องสอนคนรุ่นหลังเองเสมอ ถ้าคุณคำนวณ อารยธรรมที่ผ่านมาทั้งหมดใช้ เวลาเป็นล้านล้านอายุคนในการสอนและเรียนรู้ และห่วงโซ่ที่ไม่เคยขาดนี้ก็ย้อนกลับไป กว่าหมื่นรุ่นคน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าห่วงโซ่นั้นขาดลง
I think that’s something we have to understand as AI moves forward. The actual date of arrival of general purpose AI— you’re not going to be able to pinpoint, it isn’t a single day. It’s also not the case that it’s all or nothing. The impact is going to be increasing. So with every advance in AI, it significantly expands the range of tasks.
ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ ในขณะที่ AI ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ วันที่ AI อเนกประสงค์จะเกิดขึ้นจริง คุณไม่มีทางชี้ได้หรอกว่าคือวันไหน มันไม่ใช่แค่วันเดียว AI ไม่ใช่มีแค่ต้องสำเร็จ หรือล้มเหลวเท่านั้น เพราะผลกระทบจาก AI จะเพิ่มขึ้นตลอด ทุกครั้งที่ AI พัฒนา ขอบเขตของสิ่งที่มันทำได้ ก็เพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดด
So in that sense, I think most experts say by the end of the century, we’re very, very likely to have general purpose AI. The median is something around 2045. I'm a little more on the conservative side. I think the problem is harder than we think.
ผมคิดว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนมาก คงพูดว่าเมื่อปลายศตวรรษมาถึง มีความเป็นไปได้สูงมากว่า AI อเนกประสงค์ จะกลายเป็นความจริง ส่วนมากบอกว่าประมาณปี 2045 ผมค่อนไปทางระมัดระวังหน่อย ผมคิดว่าปัญหาเรื่องนี้แก้ยากกว่าที่เราคิด
I like what John McAfee, he was one of the founders of AI, when he was asked this question, he said, somewhere between five and 500 years. And we're going to need, I think, several Einsteins to make it happen.
ผมชอบคำตอบของ จอห์น แมคอาฟี หนึ่งในผู้บุกเบิก AI เมื่อเขาถูกถามคำถามนี้ เขาตอบว่า “ใช้เวลาระหว่าง 5 ถึง 500 ปี” “แล้วผมก็คิดว่าเราคงต้องมี ไอน์สไตน์อีกหลายคนเลยถึงจะทำมันสำเร็จ”