(Singing) I am an endangered species
(ร้องเพลง) ฉันคือสัตว์อันใกล้สาบสูญ
(Applause and cheers)
(เสียงปรบมือและโห่ร้อง)
But I sing no victim song.
แต่ฉันขับขานเพลงอันไร้ซึ่งเหยื่อ
I am a woman.
ฉันคือลูกผู้หญิง
I am an artist.
ฉันคือศิลปิน
And I know where my voice ... belongs.
และฉันรู้ ว่าเสียงของฉัน อยู่หนใด
(Applause and cheers)
(เสียงปรบมือและโห่ร้อง)
Now, you might have heard me sing that song. It was September 12th, 2022, right after Amy Poehler and Seth Meyers said, "And the winner is, Sheryl Lee Ralph!" What!? I had just won the Emmy Award for Best Supporting Actress in a comedy for my role as Mrs. Barbara Howard on your favorite TV show, "Abbott Elementary."
มาถึงตอนนี้ คุณคงเคยได้ยินฉันร้องเพลงนั้นมาก่อน มันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2022 หลังจากที่ เอมี่ โพห์เลอร์ และ เซท เมเยอร์ส ประกาศ “และผู้ชนะคือ เชอริล ลี ราล์ฟ!” อะไรนะ!? ฉันได้รางวัลเอมมี่ อวอร์ด สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ตลก ซึ่งฉันรับบทเป็น บาร์บาร่า ฮาวเวิร์ด ในรายการทีวีที่คุณชื่นชอบ “แอ๊บบอตประถม”
(Cheers)
(เสียงโห่ร้อง)
Oh, yes. And I was shocked. As the children would say, shooketh into disbelief. Oh, my goodness, it was my first time at the Emmys and I won. Yes! And I got to tell you, in that moment, I was so stunned into disbelief that I don't know how I got up on the stage. There I was, just listening to that roar of applause. Mm mm mm. And my whole career flashed right there in front of me. Starting with 19-year-old Sheryl Lee in her first movie being directed by the great Sidney Poitier. Oh, yeah, you can clap that.
จริงซิ และฉันช็อกไปเลย เหมือนที่เด็ก ๆ พูดกัน ช็อกแทบตาย โอ้พระเจ้า เป็นครั้งแรก ที่ฉันเข้าชิงเอมมี่ แล้วฉันก็ชนะ ใช่! และฉันต้องเล่าให้ฟัง ในชั่วขณะนั้น ฉันตะลึงนิ่งงันแทบตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขึ้นไปบนเวทีได้อย่างไร ฉันยืนฟังเสียงปรบมือกึกก้อง อื้อ อื้อ อื้อ และภาพการทำงานทั้งชีวิต ก็ฉายอยู่ตรงหน้า เริ่มตั้งแต่ เชอริล ลี วัย 19 ปี ในหนังเรื่องแรก กำกับโดย ซิดนีย์ พอยเทียร์ ผู้ยิ่งใหญ่ โอ้ ได้ คุณตบมือได้
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Followed by ten years of “no” after “no” after “no.” Before the next film role came about. But I filled in that time with TV and more "nos" and more rejection until I made it big on Broadway in what has become the iconic musical of the '80s, because I say so,
ตามมาด้วย 10 ปี ของคำว่า “ไม่” และ “ไม่” และ “ไม่” ก่อนที่บทหนังเรื่องถัดไปจะมาถึง แต่ฉันเติมเต็มช่วงเวลานั้นด้วยทีวี และ “ไม่ ๆ ๆ” และการปฏิเสธอีกมากมาย จนกระทั่งฉันประสบความสำเร็จกับละครบรอดเวย์ ซึ่งกลายเป็นละครเพลง อันโด่งดังแห่งยุค 80 เพราะฉันว่าอย่างงั้น
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
"Dreamgirls."
“ดรีมเกิร์ลส”
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
And boy, did I learn a lot of life lessons there. And I mean, after so many moments of doubt, disbelief, there I was, on that Emmy stage, with this huge sign in front of me flashing "Stop now," "Stop now," "Stop now." And I started to think, “My God, what if I had stopped after all of those ‘nos?’ What if I had stopped after all of those moments of feeling defeated? What if I had stopped?" I wouldn't be standing there for that golden moment.
และจะบอกให้ ฉันได้รู้ บทเรียนชีวิตจากนั้นเยอะมาก ฉันหมายถึง หลังจากช่วงเวลา แห่งความสงสัย ความไม่เชื่อ ถึงอย่างนั้น ฉันก็ได้ยืนบนเวทีเอมมี่ พร้อมกับสัญญาณอันโตตรงหน้า กระพริบเตือน “หยุดเดี๋ยวนี้” “หยุดเดี๋ยวนี้” “หยุดเดี๋ยวนี้” ฉันเริ่มคิด “พระเจ้า จะเป็นยังไง ถ้าฉันหยุด หลังถูกบอกว่า ‘ไม่ ๆ ๆ’ จะเป็นยังไง ถ้าฉันเลิกไป หลังจากรู้สึกถึงช่วงเวลาแห่งความพ่ายแพ้ จะเป็นยังไง ถ้าฉันล้มเลิก” ฉันคงไม่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วได้มีช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์
But right now, many of us, we are feeling ... deeply challenged trying to hold on and believe in ourselves, and I do not mean in a toxic way. I am talking about a way that comes from confidence, the kind of confidence that can keep us moving forward when we are feeling like we are carrying the weight of the pandemic, trying to figure out all of this political division, fighting all of the mental, physical, social violence in our homes, in our communities, to climate change, social media. It's a lot. Making it hard to believe in the goodness in the world. And harder still to believe in the goodness of ourselves. This is a rough time, people, and our mental health is suffering. We all need a checkup from the neck up.
แต่ตอนนี้ พวกเราหลายคนกำลังรู้สึกว่า ชีวิตมันท้าทายเหลือเกิน พยายามหาที่ยึดเหนี่ยว และเชื่อในตัวเราเอง ฉันไม่ได้หมายความในทางไม่ดี ฉันกำลังพูดถึงวิธี ที่มาจากความมั่นใจ ความมั่นใจประเภทที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า เมื่อเรารู้สึก เหมือนกำลังแบกภาระอันหนักอึ้ง จากโรคระบาดครั้งใหญ่ เหมือนเราพยายามหาทางออก ให้การแบ่งแยกทางการเมือง เหมือนเราต่อสู้กับความรุนแรงทางใจ กาย และสังคมในบ้านของเราเอง ในชุมชนของเราเอง ทั้งเรื่องภาวะโลกรวน เรื่องในโซเชีลมีเดีย มันมากมาย ทำให้ยากเกินจะเชื่อ ในความดีงามของโลกใบนี้ และยากกว่า ที่จะเชื่อในคุณค่าของตัวเราเอง เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผู้คนและสุขภาพใจของเราก็ทุกข์ทน เราทุกคนต้องตรวจสุขภาพตั้งแต่คอขึ้นไปละ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And I don't mean -- yeah, it's OK. You feel me, thank you.
และฉันไม่ได้หมายถึง -- โอเค คุณเข้าใจความรู้สึกฉัน ขอบคุณมาก
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
And I don't mean just medicine. I actually mean reframing our thinking of our ability to believe in ourselves.
และฉันไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องหมอ อันที่จริง ฉันหมายถึงหัวเราต้องปรับความคิด เกี่ยวกับความสามารถของเรา ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง
Now I know, you see me on TV, in magazines, on movie screens, and you might be thinking to yourself, "What does she know about struggling to believe in herself?" Well, let me tell you something. I do not look like my journey.
ตอนนี้ฉันรู้แล้ว คุณเห็นฉันในทีวี ในนิตยสาร บนจอหนัง คุณอาจคิดกับตัวเองว่า “เธอจะไปรู้อะไรเรื่องการดิ้นรน เพื่อที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง” เอางี้ ให้ฉันเล่าอะไรให้คุณฟัง ฉันดูไม่เหมือนเส้นทางชีวิตของตัวเองหรอกนะ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Oh, I've been through a few things. And the struggle is real. But I have learned something in my life. That there are three things that we all must do in order to believe in ourselves.
โอ้ ฉันผ่านมาหลายอย่างเลย และการดิ้นรนของฉันก็เป็นเรื่องจริง แต่ฉันได้เรียนรู้บางอย่างในชีวิต นั่นคือมี 3 สิ่งที่เราต้องทำ เพื่อเชื่อมั่นในตัวเอง
Number one. First, we need to see ourselves. I mean, really, truly, deeply see ourselves for who and what we are in order to believe in ourselves. I’m a child of the ’60s, and that was hard. Oh. In the third grade, I tested out of public school into a fancy private school where the only Black person I saw every day was the one who looked back at me in the mirror. I was by myself, and I was all alone. And the things that were said to me, and I'm not talking about just the kids, but the adults, too. And when I would come home from school crying the ugly cry, my immigrant Jamaican mother would sit me down in front of the mirror and ask me, "Do you see an N-word? Do you see a liar? Do you see a big-lip monkey? No! So dry your eyes. And when you go back to school, remember, you are rubber, they are glue. And every ignorant thing they say about you bounces off of you and sticks to them."
ข้อหนึ่ง อย่างแรก เราต้องมองตัวเราเอง ฉันหมายถึงมองจริง ๆ อย่างแท้จริง มองตัวเราอย่างลึกซึ้งว่า เราเป็นใครและอะไรคือสิ่งที่เราเป็น เพื่อที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง ฉันเป็นเด็กยุค 60 และมันยากมาก โอ้ ตอนฉันอยู่ ป.3 ฉันลองออกจากโรงเรียนรัฐบาล ไปเข้าโรงเรียนเอกชนอันหรูหรา ที่ที่มีคนดำคนเดียวที่ฉันเห็นทุกวัน คือคนที่มองกลับมาที่ฉันเวลาส่องกระจก ฉันอยู่ด้วยตัวเอง และฉันอยู่คนเดียว และเสียงต่าง ๆ ที่พูดถึงฉัน และฉันไม่ได้หมายถึง เสียงจากเพื่อน ๆ เท่านั้นนะ แต่เสียงจากพวกผู้ใหญ่ด้วย เมื่อฉันกลับมาจากโรงเรียน ถึงบ้านฉันก็ปล่อยโฮร้องไห้ แม่ผู้อพยพมาจากจาเมกาของฉัน ก็พาฉันมานั่งหน้ากระจก และถามฉันว่า “เธอเห็นคำเหยียดสีผิวไหม เธอเห็นคนขี้โกหกไหม เธอเห็นลิงปากเบ้อเริ่มในนั้นหรือเปล่า ไม่! ถ้าอย่างนั้นก็เช็ดน้ำตาซะ และเมื่อเธอกลับไปโรงเรียน จงจำไว้ว่า เธอคือยางยืด พวกเขาเป็นกาว ทุกสิ่งโง่เขลา ที่พวกเขาพูดถึงเธอ จะเด้งออกจากเธอไปติดที่พวกเขาแทน
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
And I believed her. And it didn't hurt. So much. Because I believed.
และฉันเชื่อแม่ แล้วมันไม่เจ็บปวด มากมาย เพราะฉันเชื่อ
Number two. We've got to think. Think about ourselves in order to believe in ourselves. Growing up, my dad had a sign on his desk. And it said, "Think." "Think." Oh, I did not know how valuable and powerful the simple act of thinking was until I came back to Hollywood from my triumphant run on Broadway, and I had this meeting with a big studio Hollywood casting director. Oh, I was so excited. I walked in and he looked at me and he said, "Hm. Everybody knows you're a beautiful, talented Black girl. But what do I do with a beautiful, talented Black girl? Do I put you in a movie with Tom Cruise? Does he kiss you? Ugh. Who goes to see that movie?"
ข้อสอง เราต้องคิด คิดเกี่ยวกับตัวเรา เพื่อที่จะเชื่อในตัวเอง เติบโตขึ้นมา ฉันเห็นพ่อของฉันมีป้ายอยู่บนโต๊ะ มันเขียนว่า “คิด” “คิด” โอ้ย ฉันไม่เคยรู้ว่ามันมีค่าและพลังแค่ไหน การกระทำง่าย ๆ อย่างการคิด จนกระทั่งฉันกลับมาที่ฮอลลีวูด จากชัยชนะที่คว้ามาจากบรอดเวย์ ฉันได้ประชุมกับผู้เฟ้นหานักแสดง จากสตูดิโอใหญ่ในฮอลลีวูด โอ้ย ฉันตื่นเต้นมาก ฉันเดินเข้าไป เขาก็มองมาที่ฉัน และพูดว่า “ฮืม ทุกคนรู้ดีว่าคุณเป็นสาวผิวดำที่สวย และมีความสามารถ แต่ผมจะให้สาวสวยผิวสี ที่มีความสามารถมาทำอะไรดีล่ะ ให้ผมแคสต์คุณไปเล่นหนังกับทอม ครูซ เหรอ เขาจะจูบคุณมั้ย อี๊ แล้วใครจะไปดูหนังแบบนั้น”
(Laughs)
(เสียงหัวเราะ)
I could not believe that that man had just said that to me, to my face. And he hurt me. He hurt me so deeply, I was actually thinking about quitting. Until ... I started to think. And I thought about what he said. He said that everybody knew that I was a beautiful, talented Black girl.
ฉันไม่อยากจะเชื่อ ชายคนนั้นพูดอย่างนั้นกับฉัน ต่อหน้าฉัน และเขาก็ทำให้ฉันเจ็บปวด เขาทำให้ฉันเจ็บลึกไปถึงก้นบึ้ง ฉันคิดจริง ๆ ว่าจะยกธงขาว จนกระทั่ง ... ฉันเริ่มคิด ฉันคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูด เขาพูดว่าทุกคนรู้ ว่าฉันเป็นสาวผิวดำที่สวย และมีความสามารถ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
(Cheers and applause)
(เสียงโห่ร้องและปรบมือ)
And that I deserve to be cast in movies with the likes of Tom Cruise, and he should kiss me.
และฉันเหมาะสมที่จะแสดงหนังที่มีทอม ครูซ และเขาควรจูบฉัน
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
(Laughs)
(เสียงหัวเราะ)
So what was meant to break me did not break me, it built me up. I believed that man, I believed what he said. And I walked out of there giving myself permission to take up space in Hollywood, knowing that I belonged there no matter what anybody thought about me.
ดังนั้น สิ่งที่ตั้งใจทำให้ฉันแตกสลาย ทำฉันล้มไม่ได้ มันกลับทำให้ฉันลุก ฉันเชื่อชายคนนั้น ฉันเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ฉันเดินออกไป แล้วอนุญาตให้ตัวเองเฉิดฉายในฮอลลีวูด ฉันรู้ว่าฉันคู่ควร ไม่ว่าใครจะคิดกับฉันยังไง
(Cheers and applause)
(เสียงโห่ร้องและปรบมือ)
Thirdly. We've got to act like we believe in ourselves. Oh, yeah. Because when we believe in ourselves and act on it, we create possibilities that never would have been possible had we not just believed. OK, so I will tell you another story. I will never forget walking into one of those crowded Hollywood rooms, and I see Harry Thomason, producer Harry Thomason, who is married to Linda Bloodworth-Thomason, writer, creator of the series "Designing Women." I walk right up to Harry and I say, "How can it be, that after all of these years Anthony has not had a relationship with a Black woman? After all, the show takes place in Atlanta, Georgia."
ข้อสาม เราต้องทำเหมือนเราเชื่อในตัวเอง โอ้ ใช่ เพราะเมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเอง และแสดงมันออกมา เราจะสร้างความเป็นไปได้ ที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ ถ้าเราไม่เชื่อ โอเค ฉันจะเล่าอีกเรื่องให้ฟัง ฉันจะไม่มีวันลืมตอนที่เดินเข้าไป ในห้องในฮอลลีวูดที่มีผู้คนหนาแน่น ฉันเห็น แฮร์รี โธมัสสัน โปรดิวเซอร์ที่ชื่อ แฮร์รี โธมัสสัน คนที่แต่งงานกับ ลินดา บลัดเวิร์ธ-โธมัสสัน นักเขียน ผู้สร้างซีรีส์ “ดีไซนิ่งวีเมน” ฉันตรงดิ่งไปหาแฮร์รีและพูดว่า “มันเป็นไปได้ยังไง หลังจากผ่านมาหลายปี ทำไมแอนโทนี ยังไม่มีความสัมพันธ์กับสาวผิวสีอีก ทั้ง ๆ ที่นี่คือซีรีส์ที่ดำเนินเรื่อง ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย”
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
He looked at me, took a step back and said, "Who are you?" I said, "I'm Sheryl Lee Ralph." And he said, "OK. Have your people call my people and we will see what we can do."
เขามองฉัน ถอยหลังหนึ่งก้าว และพูดว่า “เธอเป็นใคร” ฉันบอกว่า “ฉันคือเชอริล ลี ราล์ฟ” แล้วเขาก็บอกว่า “โอเค ให้คนของคุณโทรหาคนของผม แล้วเราจะมาดูกันว่าทำอะไรได้บ้าง”
And guess what happened?
เดาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
I got cast as Etienne Toussaint Bouvier, Las Vegas showgirl turned Anthony's wife for the final season of "Designing Women."
ฉันได้บท เอเตียน ตุสแซงต์ บูวิเยร์ นักเต้นสาวแห่งเวกัส ที่กลายมาเป็นภรรยาของแอนโทนี ในภาคจบของเรื่อง “ดีไซนิ่งวีเมน”
(Cheers and applause)
(เสียงโห่ร้องและปรบมือ)
Oh, yeah.
ใช่เลย
Against all odds, once again, I gave myself permission to take up space, believing that I belonged. I believed that if Sheryl Lee did the work of honing her craft, building solid relationships and stayed ready so she didn't have to get ready, anything was possible. Heck, winning an Emmy. A Grammy. An Oscar. A Tony. EGOT it, baby.
ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้ อีกครั้ง ที่ฉันอนุญาตให้ตัวเองได้เฉิดฉาย เชื่อว่ามีที่ทางของตัวเอง ฉันเชื่อว่าถ้าเชอริล ลี ได้ทำงานที่ขัดเกลาฝีมือ สร้างสัมพันธ์อันมั่นคง และพร้อมอยู่เสมอ เธอจะได้ไม่ต้องเตรียมพร้อม อะไรก็เกิดขึ้นได้ ให้ตาย ชนะรางวัลเอมมี่ ชนะแกรมมี่ ชนะรางวัลออสการ์ ชนะรางวัลโทนี เป็นสี่จตุรเทพ ชนะทุกรางวัลระดับโลก
(Cheering)
(เสียงโห่ร้อง)
So ... When you leave this room today, I challenge all of you to start a meaningful practice of looking in the mirror and loving what you see. Believe in what you see.
ดังนั้น ... วันนี้ เมื่อคุณออกจากห้องนี้ไป ฉันท้าให้คุณทุกคนเริ่มฝึก สิ่งที่มีความหมาย อย่างการมองเข้าไปในกระจก และรักสิ่งที่คุณเห็น เชื่อในสิ่งที่คุณเห็น
If you can't love it, then respect it. And if you can't respect it, then encourage it. If you can't encourage it, empower it. And if you can't empower it, please be kind to it.
ถ้ารักไม่ลง ก็จงเคารพมัน ถ้าคุณเคารพมันไม่ลง ก็จงให้กำลังใจมัน ถ้าคุณให้กำลังใจมันไม่ลง จงมอบพลังให้กับมัน ถ้าคุณมอบพลังให้มันไม่ได้ ได้โปรดใจดีกับมัน
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
The greatest relationship, the greatest one you will ever have is with yourself. Believe me. Have faith in yourself. Believing that faith can make broken wings fly. And we deserve to soar. Remember, maybe one of these days when you pass the mirror and you catch a glimpse of yourself, remember, I told you this. That is what believing looks like. And don't you ever, ever, ever give up on you.
ความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความสัมพันธ์ที่คุณมี กับตัวคุณเอง เชื่อฉัน ศรัทธาในตัวคุณเอง เชื่อว่าศรัทธานั้นทำให้ปีกที่หัก กลับมาบินได้อีกครั้ง เราคู่ควรที่จะทะยานขึ้นไป จงจำไว้ว่า บางทีวันใดวันหนึ่งเมื่อคุณเดินผ่านกระจก แล้วคุณเหลือบมองตัวเอง จำไว้ว่า ฉันบอกคุณเรื่องนี้ ว่าความเชื่อหน้าตาเป็นเช่นไร แล้วจงอย่าและอย่า และอย่ายอมแพ้ในตัวเอง
I am Sheryl Lee Ralph, and I love you just the way you are.
ฉันคือเชอริล ลี ราล์ฟ และฉันรักคุณในสิ่งที่คุณเป็น
(Singing) Believe in yourself
(ร้องเพลง) เชื่อมั่นในตัวคุณเอง
As I believe in you
อย่างที่ฉันเองก็เชื่อในตัวคุณ
Thank you.
ขอบคุณค่ะ
(Cheers and applause)
(เสียงโห่ร้องและปรบมือ)