What I'd like to do today is talk about one of my favorite subjects, and that is the neuroscience of sleep.
ที่ผมอยากจะพูดในวันนี้ เป็นหนึ่งในวิชาที่ผมชอบที่สุด และมันก็คือประสาทวิทยาเกี่ยวกับการนอนหลับ
Now, there is a sound --
เอาล่ะครับ มันมีเสียง --
(Alarm clock)
(เสียงนาฬิกาปลุก) --
Ah, it worked! A sound that is desperately familiar to most of us, and of course it's the sound of the alarm clock. And what that truly ghastly, awful sound does is stop the single most important behavioral experience that we have, and that's sleep. If you're an average sort of person, 36 percent of your life will be spent asleep, which means that if you live to 90, then 32 years will have been spent entirely asleep.
อ่า ได้ผล-- เสียงที่พวกเราส่วนใหญ่ คุ้นเคยกับมันอย่างที่สุด และแน่นอน มันคือเสียงของนาฬิกาปลุก และสิ่งที่เจ้าเสียงเขย่าประสาทแสนน่ารังเกียจ ทำก็คือ หยุดพฤติกรรมหนึ่งที่สำคัญที่สุด ที่เรามี และมันก็คือ การนอน ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาทั่วๆไป 36 เปอร์เซ็นต์ของชีวิตคุณนั้น หมดไปกับการนอนหลับ ซึ่งหมายความว่า ถ้าคุณอยู่จนมีอายุได้ 90 ปีแล้ว คุณจะใช้เวลาไปกับการนอนหลับเต็มๆเป็นเวลา 32 ปี
Now what that 32 years is telling us is that sleep at some level is important. And yet, for most of us, we don't give sleep a second thought. We throw it away. We really just don't think about sleep. And so what I'd like to do today is change your views, change your ideas and your thoughts about sleep. And the journey that I want to take you on, we need to start by going back in time.
ทีนี้ สิ่งที่ 32 ปีนั้นบอกเรา ก็คือ การนอนนั้นสำคัญในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ เราไม่ได้เฉลียวคิดถึงมัน เราลืมมันไปเลย เราไม่ได้คิดถึงเรื่องการนอนซะเลยจริงๆ และที่ผมอยากจะทำในวันนี้ คือเปลี่ยนทัศนะของคุณ เปลี่ยนความคิดและแนวคิดของคุณที่มีต่อการนอนหลับ และการเดินทางที่ผมอยากจะนำคุณไปนั้น เราจะต้องเริ่มจากการย้อนเวลากลับไป
"Enjoy the honey-heavy dew of slumber." Any ideas who said that? Shakespeare's Julius Caesar. Yes, let me give you a few more quotes. "O sleep, O gentle sleep, nature's soft nurse, how have I frighted thee?" Shakespeare again, from -- I won't say it -- the Scottish play.
"โสมนัสสา มนต์มธุรสแห่งนิทรา" คิดว่าใครพูดครับ จากเรื่อง จูเลียต ซีซาร์ (Julius Caesar) ของเชคสเปียร์ (Shakespeare) ครับ อนุญาตให้ผมกล่าวอ้างอีกสักอันสองอัน "โอ้ ไสยาสน์ เปรมนิทรารมณ์ เจ้าผู้ปกปักพิทักษ์รักษา ข้ากระทำสิ่งใดฤา ที่พรั่นพรึงเจ้า" เชคสเปียร์อีกแล้วครับ จากเรื่อง -- ผมจะไม่พูดถึงนะครับ -- เรื่องเกี่ยวกับสกอต (แฮมเลต) นั่นล่ะครับ [แก้ไข: ข้อความนี้มาจากเรื่อง เฮนรี่ที่ 4 องค์ที่ 2]
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
From the same time: "Sleep is the golden chain that ties health and our bodies together." Extremely prophetic, by Thomas Dekker, another Elizabethan dramatist.
ในเวลาเดียวกัน "การนอนหลับเป็นดั่งโซ่ทองคำ ที่ผูกคล้องสุขภาพและร่างกายของเราเอาไว้ด้วยกัน" สละสลวยทีเดียว โดย โทมัส เดคเคอร์ (Thomas Dekker) นักเขียนบทละครสมัยเอลิซาเบธอีกท่านหนึ่ง
But if we jump forward 400 years, the tone about sleep changes somewhat. This is from Thomas Edison, from the beginning of the 20th century: "Sleep is a criminal waste of time and a heritage from our cave days." Bang!
แต่ถ้าเรากระโดดข้ามไป 400 ปี แนวความรู้สึกต่อการนอนหลับนั้นค่อนข้างจะเปลี่ยนไป นี่เป็นคำพูดจาก โทมัส เอดิสัน จากช่วงต้นยุค ศตวรรษที่ 20 "การนอนหลับเป็นอาชญากรผู้ผลาญเวลา และเป็นมรดกที่เราได้มาแต่ยุคถ้ำ" เปรี้ยง
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And if we also jump into the 1980s, some of you may remember that Margaret Thatcher was reported to have said, "Sleep is for wimps." And of course the infamous -- what was his name? -- the infamous Gordon Gekko from "Wall Street" said, "Money never sleeps."
และถ้าเรากระโดดไปในยุค 1980 พวกคุณบางคน อาจจะจดจำได้ว่า มาร์กาเรต แทตเชอร์ (Margaret Thatcher) ถูกอ้างว่าเธอได้กล่าวไว้ว่า "การนอนเป็นเรื่องงี่เง่า" และแน่นอน จอมฉาวโฉ่ -- เอ ชื่ออะไรแล้วนะตานี่ -- จอมฉาว กอร์ดอน เก็คโค่ (Gordon Gekko) จาก "วอร์ สตรีท" (Wall Street) บอกว่า "เงินไม่เคยหลับ"
What do we do in the 20th century about sleep? Well, of course, we use Thomas Edison's light bulb to invade the night, and we occupied the dark, and in the process of this occupation, we've treated sleep as an illness, almost. We've treated it as an enemy. At most now, I suppose, we tolerate the need for sleep, and at worst perhaps many of us think of sleep as an illness that needs some sort of a cure. And our ignorance about sleep is really quite profound. Why is it? Why do we abandon sleep in our thoughts? Well, it's because you don't do anything much while you're asleep, it seems. You don't eat. You don't drink. And you don't have sex. Well, most of us anyway. And so, therefore it's -- Sorry. It's a complete waste of time, right? Wrong. Actually, sleep is an incredibly important part of our biology, and neuroscientists are beginning to explain why it's so very important. So let's move to the brain.
พวกเราทำอะไรกันในยุคศตวรรษที่ 20 ในเรื่องการนอน เอาล่ะครับ แน่นอน พวกเราใช้หลอดไฟของเอดิสัน เพื่อรุกรานค่ำคืน และ พวกเราก็ยึดครองความมืดมิดนั้น และในกระบวนการยึดครองที่ว่านี้ พวกเราปฏิบัติต่อการนอนหลับราวกับเป็นโรคภัย พวกเราทำราวกับว่ามันเป็นศัตรู ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ผมคาดว่า พวกเราอดทนต่อความต้องการนอน และบางที ที่แย่ที่สุดคือพวกเราหลายคนคิดว่าการนอน เป็นดั่งโรค ที่ต้องการการรักษาอะไรสักอย่าง และความเขลาในเรื่องการนอนของเรานั้น ค่อนข้างจะฝังรากลึกทีเดียว ทำไมเป็นเช่นนั้น ทำไมเราจึงละเลยเรื่องการนอนไปจากสมองเรา มันเป็นเพราะว่าคุณไม่ได้ทำอะไรมากนัก ในระหว่างที่คุณกำลังหลับ มันราวว่าเป็นเช่นนั้น คุณไม่ได้กิน คุณไม่ได้ดื่ม และคุณก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ เอ่อ พวกเราส่วนใหญ่อะนะครับ และ ดังนั้น มันก็ -- ขอโทษทีครับ มันเปลืองเวลาไร้สาระใช่ไหมครับ ผิดครับ ที่จริงแล้ว การนอนมีความสำคัญอย่างน่าอัศจรรย์ ต่อชีววิทยาของร่างกายเรา และนักประสาทวิทยากำลังเริ่มที่จะอธิบายได้ว่าทำไม มันสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เอาล่ะ ไปดูกันที่สมอง
Now, here we have a brain. This is donated by a social scientist, and they said they didn't know what it was or indeed, how to use it, so --
ทีนี้ เรามีสมอง อันนี้บริจาคให้โดยนักสังคมศาสตร์ และพวกเขาบอกว่า พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
(Laughter)
หรือแน่ละ ไม่รู้ว่าใช้มันอย่างไร ฉะนั้น -- (เสียงหัวเราะ)
Sorry. So I borrowed it. I don't think they noticed. OK.
ขออภัยนะครับ ฉะนั้นผมก็เลยยืมมา ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะทันเห็น เอาล่ะ (เสียงหัวเราะ)
(Laughter)
The point I'm trying to make is that when you're asleep, this thing doesn't shut down. In fact, some areas of the brain are actually more active during the sleep state than during the wake state. The other thing that's really important about sleep is that it doesn't arise from a single structure within the brain, but is to some extent a network property. If we flip the brain on its back -- I love this little bit of spinal cord here -- this bit here is the hypothalamus, and right under there is a whole raft of interesting structures, not least the biological clock. The biological clock tells us when it's good to be up, when it's good to be asleep, and what that structure does is interact with a whole raft of other areas within the hypothalamus, the lateral hypothalamus, the ventrolateral preoptic nuclei. All of those combine, and they send projections down to the brain stem here. The brain stem then projects forward and bathes the cortex, this wonderfully wrinkly bit over here, with neurotransmitters that keep us awake and essentially provide us with our consciousness. So sleep arises from a whole raft of different interactions within the brain, and essentially, sleep is turned on and off as a result of a range of interactions in here.
ประเด็นที่ผมจะสื่อก็คือว่า เมื่อคุณนอนหลับ เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ปิดตัวลง อันที่จริง บางส่วนของสมองนั้นมีการทำงานมาก ในช่วงการนอนหลับ ยิ่งกว่าตอนช่วงที่ตื่นซะอีก อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญจริงๆต่อการนอนหลับ ก็คือว่า มันไมได้เกิดขึ้น จากโครงสร้างใดเพียงหนึ่งเดียวในสมอง แต่มันเกิดจากระบบเครือข่ายที่กินบริเวณกว้าง และถ้าเราพลิกสมองขึ้นดู -- ผมชอบไขสันหลังเล็กๆนี้ครับ -- ส่วนเล็กๆตรงนี้คือ ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) และใต้ลงไป มีผืนบริเวณที่มีโครงสร้างที่น่าสนใจ ที่สำคัญที่สุด นาฬิกาชีวภาพ (biological clock) นาฬิกาชีวภาพบอกเราว่าเมื่อไหร่ที่เราควรตื่น เมื่อไหร่ที่ควรนอน และที่โครงสร้างนั้นทำก็คือทำงานร่วมกับ ส่วนบริเวณอื่นๆภายในไฮโปทาลามัส (hypothalamus) ไฮโปทาลามัสทางด้านข้าง ด้านล่างและด้านข้างของพรีออปติกนิวคลีไอน์ (preoptic nuclei) และด้วยการประสานงานกัน พวกมันส่งสัญญาณ ลงไปยังก้านสมองตรงนี้ ก้านสมองนั้นก็ส่งสัญญาณต่อไป และแพร่มันไปยังส่วนนอกของสมอง (cortex) ส่วนที่ดูเหี่ยวยับแต่น่าอัศจรรย์นี้ สัญญาส่งประสาทเหล่านี้แหละทำให้เราตื่น และมีความสำคัญในการทำให้เรามีสติสัมปชัญญะ ดังนั้นการนอนหลับเกิดขึ้นจากแบบแผน ของการปฏิกิริยาที่แตกต่างไปในสมอง และที่สำคัญ การนอนหลับนั้นถูกเปิดและปิด อันเป็นผลจากปฏิกิริยาต่างๆในสมองนั้น
OK. So where have we got to? We've said that sleep is complicated and it takes 32 years of our life. But what I haven't explained is what sleep is about. So why do we sleep? And it won't surprise any of you that, of course, as scientists, we don't have a consensus. There are dozens of different ideas about why we sleep, and I'm going to outline three of those.
เอาล่ะ เราไปกันถึงไหนแล้ว เราบอกว่า การนอนหลับนั้นซับซ้อน และมันกินเวลา 32 ปีของชีวิตเรา แต่ที่ผมยังไม่ได้อธิบายก็คือการนอนหลับนี่มันเกี่ยวกับอะไร ทำไมเราจะต้องนอนด้วย และแน่นอน มันคงจะไม่ทำให้คุณแปลกใจหรอกว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีความเห็นพ้องต้องกันเลย มันมีแนวคิดที่แตกต่างกันเป็นโหลๆ ว่าทำไมเราต้องนอน และผมกำลังที่จะยกสามตัวอย่างหลักๆ
The first is sort of the restoration idea, and it's somewhat intuitive. Essentially, all the stuff we've burned up during the day, we restore, we replace, we rebuild during the night. And indeed, as an explanation, it goes back to Aristotle, so that's what -- 2,300 years ago. It's gone in and out of fashion. It's fashionable at the moment because what's been shown is that within the brain, a whole raft of genes have been shown to be turned on only during sleep, and those genes are associated with restoration and metabolic pathways. So there's good evidence for the whole restoration hypothesis.
ประการแรกเป็นความคิดเกี่ยวกับสภาวะการฟื้นฟู และมันออกจะเป็นแนวสัญชาตญาณ หลักๆแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาให้เราพบเจอระหว่างวัน เราจะจัดเก็บมัน แทนที่มัน สร้างมันขึ้นมาใหม่ในตอนกลางคืน และแน่ล่ะ เพื่อเป็นการอธิบาย มันต้องย้อนกลับถึงอริสโตเติล ซึ่งก็ เท่าไรนะ 2,300 ปีก่อน มันทันสมัยและล้าสมัย ในขณะนี้มันนำสมัยเพราะว่ามันแสดงว่า ภายในสมอง มียีนมากมายหลายชนิด ที่ได้แสดงให้เห็นว่าพวกมันทำงานระหว่างการนอนหลับ และยีนเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับสภาวะการฟื้นฟู และระบบเมแทบอลิซึม ดังนั้นมันมีหลักฐานที่ดีสำหรับสมมติฐานเรื่องสภาวะการฟื้นฟู
What about energy conservation? Again, perhaps intuitive. You essentially sleep to save calories. Now, when you do the sums, though, it doesn't really pan out. If you compare an individual who has slept at night, or stayed awake and hasn't moved very much, the energy saving of sleeping is about 110 calories a night. Now, that's the equivalent of a hot dog bun. Now, I would say that a hot dog bun is kind of a meager return for such a complicated and demanding behavior as sleep. So I'm less convinced by the energy conservation idea.
แล้วเรื่องการสงวนพลังงานล่ะ อีกครั้งหนึ่ง บางทีมันเป็นสัญชาตญาณ หลักๆแล้วคุณนอนหลับเพื่อที่จะประหยัดแคลอรี่ แต่เมื่อคุณลองทำการคำนวณ มันไม่ได้ให้ผลสรุปที่สมบูรณ์ ถ้าคุณลองเปรียบเทียบ คนที่หลับตอนกลางคืน หรือตื่นตลอดคืนและไม่ได้ขยับเขยื้อนมากนัก พลังงานที่ประหยัดได้จากการนอนนั้น มีค่าประมาณ 110 แคลอรี่ต่อคืน ทีนี้ มันมีค่าเท่ากับขนมปังฮอทดอกหนึ่งอัน เอาล่ะ ผมอยากจะบอกว่าขนมปังไส้กรอกอันเดียว มันออกจะเป็นผลตอบแทนที่ไม่คุ้มสำหรับพฤติกรรม ที่ซับซ้อนและเรียกร้องอะไรมากเกินควร อย่างการนอนหลับ ดังนั้นผมไม่ค่อยจะเชื่อแนวคิดการสงวนพลังงานนัก
But the third idea I'm quite attracted to, which is brain processing and memory consolidation. What we know is that, if after you've tried to learn a task, and you sleep-deprive individuals, the ability to learn that task is smashed. It's really hugely attenuated. So sleep and memory consolidation is also very important. However, it's not just the laying down of memory and recalling it. What's turned out to be really exciting is that our ability to come up with novel solutions to complex problems is hugely enhanced by a night of sleep. In fact, it's been estimated to give us a threefold advantage. Sleeping at night enhances our creativity. And what seems to be going on is that, in the brain, those neural connections that are important, those synaptic connections that are important, are linked and strengthened, while those that are less important tend to fade away and be less important.
แต่แนวความคิดที่สามนั้น ผมค่อนข้างจะติดใจ ซึ่งก็คือ การทำงานของสมองและการรวบรวมความทรงจำ ที่เรารู้ก็คือว่า ถ้าหลังจากที่คุณพยายามเรียนรู้งานสักชิ้น และไม่ให้คน ๆ นั้นนอน ความสามารถที่จะเรียนรู้งานนั้นจะแหลกไม่เป็นท่า มันถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงอย่างมากจริงๆ ดังนั้น การนอนและการรวบรวมความทรงจำนั้นสำคัญมาก อย่างไรก็ดี มันไม่ใช่แค่วางเรียงความทรงจำ และระลึกถึงมัน กลายเป็นว่าที่มันน่าตื่นเต้นจริงๆก็คือ ความสามารถของเรา ที่จะได้มาซึ่งวิธีใหม่ในการแก้ปัญหา ต่อปัญหาที่ซับซ้อนนั้น ถูกเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก โดยการนอนตอนกลางคืน ที่จริงแล้ว มีการคาดการว่า มันทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นถึงสามเท่า การนอนหลับตอนกลางคืน เพิ่มประสิทธิภาพความคิดสร้างสรรค์ และสิ่งที่เหมือนจะเกิดขึ้นก็คือว่า ในสมองของเรา การเชื่อมโยงของเส้นประสาทเหล่านั้นที่มันสำคัญ ไซเนปส์ที่เชื่อมต่อเหล่านั้นที่มันสำคัญ ได้ถูกเชื่อมโยงถึงกันและทำให้เข้มแข็งขึ้น ระหว่างที่พวกที่ไม่ค่อยสำคัญ มีแนวโน้มที่จะค่อยๆหายไปและมีความสำคัญน้อยลง
OK. So we've had three explanations for why we might sleep, and I think the important thing to realize is that the details will vary, and it's probable we sleep for multiple different reasons. But sleep is not an indulgence. It's not some sort of thing that we can take on board rather casually. I think that sleep was once likened to an upgrade from economy to business class, you know, the equivalent of. It's not even an upgrade from economy to first class. The critical thing to realize is that if you don't sleep, you don't fly. Essentially, you never get there. And what's extraordinary about much of our society these days is that we are desperately sleep-deprived.
เอาล่ะ เรามีคำอธิบายสามข้อว่าทำไมเราต้องนอน และผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญที่เราต้องตระหนักก็คือ รายละเอียดจะแตกต่างกัน และอาจเป็นไปได้ว่า เรานอนก็เพราะเหตุผลต่างๆมากมาย แต่การนอนไม่ใช่อะไรที่ผ่อนผันได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะยอมรับเข้าใจได้อย่างง่ายๆสบายๆ ผมเคยคิดว่าการนอนหลับเหมือนกับการยกระดับ จากชั้นประหยัดไปชั้นธุรกิจ อะไรแนวๆนั้น แต่มันไม่ได้เป็นการยกระดับจากชั้นประหยัดไปชั้นธุรกิจด้วยซ้ำ สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักก็คือว่า ถ้าคุณไม่ได้นอน คุณก็ไม่ต้องบิน ที่สำคัญเลยก็คือคุณไปไม่ถึงจุดนั้นแน่ และที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับสังคมของเราทุกวันนี้ก็คือ พวกเราเล่นไม่อยากที่จะหลับนอน
So let's now look at sleep deprivation. Huge sectors of society are sleep-deprived, and let's look at our sleep-o-meter. So in the 1950s, good data suggests that most of us were getting around eight hours of sleep a night. Nowadays, we sleep one and a half to two hours less every night, so we're in the six-and-a-half-hours every-night league. For teenagers, it's worse, much worse. They need nine hours for full brain performance, and many of them, on a school night, are only getting five hours of sleep. It's simply not enough. If we think about other sectors of society -- the aged; if you are aged, then your ability to sleep in a single block is somewhat disrupted, and many sleep, again, less than five hours a night.
ลองมาดูการอดนอนกัน ส่วนใหญ่ของสังคมนั้นนอนไม่เพียงพอ และลองดูที่เครื่องวัดการนอนของเรา ดังนั้นในยุค 1950 ข้อมูลที่น่าเชื่อถือชี้ว่า พวกเราส่วนใหญ่ นอนประมาณ 8 ชั่วโมงต่อคืน ทุกวันนี้ พวกเรานอนน้อยลง ชั่วโมงครึ่ง ถึงสองชั่วโมงต่อคืน ดังนั้น เรานอนกันราวๆ 6 ชั่วโมงครึ่งต่อคืน สำหรับวัยรุ่น มันยากกว่านั้น แย่กว่ามาก พวกเขาต้องการนอน 9 ชั่วโมง เพื่อการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพของสมอง และพวกเขาหลายคน ในคืนก่อนไปเรียน ได้นอนแค่ 5 ชั่วโมง โดยพื้นฐานแล้วมันไม่พอ ถ้าเราลองนึกถึงส่วนอื่นๆของสังคม คนที่อายุมากๆแล้ว ถ้าคุณอายุมากขึ้น ความสามารถในการนอนของคุณในช่วงหนึ่ง จะค่อนข้างถูกแทรกแซง และการนอนหลายๆครั้ง จะน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคือน
Shift work. Shift work is extraordinary, perhaps 20 percent of the working population, and the body clock does not shift to the demands of working at night. It's locked onto the same light-dark cycle as the rest of us. So when the poor old shift worker is going home to try and sleep during the day, desperately tired, the body clock is saying, "Wake up. This is the time to be awake." So the quality of sleep that you get as a night shift worker is usually very poor, again in that sort of five-hour region. And then, of course, tens of millions of people suffer from jet lag. So who here has jet lag? Well, my goodness gracious. Well, thank you very much indeed for not falling asleep, because that's what your brain is craving.
งานเข้ากะกลางคืนนั้นก็ไม่ปกติธรรมดา บางที 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ทำงาน และนาฬิการ่างกายไม่ได้ปรับให้เข้ากับความต้องการ สำหรับการทำงานตอนกลางคืน มันถูกกำหนดให้เป็นไปตามวงจรมืดสว่าง เหมือนกับเราทุกๆคน ดังนั้นเมื่อผู้ทีทำงานกะดึก กลับบ้าน เพื่อที่จะพยายามและนอนในตอนกลางวัน เหนื่อยมากๆเลย นาฬิกาของร่างกายจะบอกว่า "ตื่นๆ นี่มันเวลาตื่นนะ" ดังนั้น คุณภาพของการนอนหลับที่คุณได้ เมื่อเป็นผู้ทำงานกะดึก ปกติแล้วจะไม่ดีนัก ในช่วงประมาณ 5 ชั่วโมงนั้น และแน่นอน คนเป็นหลายสิบล้าน ต้องมาลำบากกับอาการอ่อนเพลียจากการเดินทาง (jet lack) มีใครที่นี้เพลียจากการนั่งเครื่องบินมามั่งครับ ? โอ้ ตายละ ขอบคุณมากเลยนะครับที่ไม่ผลอยหลับ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่สมองคุณโหยกระหาย
One of the things that the brain does is indulge in micro-sleeps, this involuntary falling asleep, and you have essentially no control over it. Now, micro-sleeps can be sort of somewhat embarrassing, but they can also be deadly. It's been estimated that 31 percent of drivers will fall asleep at the wheel at least once in their life, and in the US, the statistics are pretty good: 100,000 accidents on the freeway have been associated with tiredness, loss of vigilance, and falling asleep -- a hundred thousand a year. It's extraordinary. At another level of terror, we dip into the tragic accidents at Chernobyl and indeed the space shuttle Challenger, which was so tragically lost. And in the investigations that followed those disasters, poor judgment as a result of extended shift work and loss of vigilance and tiredness was attributed to a big chunk of those disasters. When you're tired and you lack sleep, you have poor memory, you have poor creativity, you have increased impulsiveness, and you have overall poor judgment. But my friends, it's so much worse than that.
สิ่งหนึ่งที่สมองทำก็คือ ยอมผ่อนผันให้เกิดการนอนช่วงสั้นๆ การผลอยหลับที่เกิดโดยไม่รู้ตัว และคุณก็ไม่สามารถที่จะมาบังคับอะไรมันได้ ทีนี้ การงีบสั้นๆอาจเป็นอะไรที่น่าอับอาย แต่มันยังมีอันตรายมากอีกด้วย มีการคาดการไว้ว่า 31 เปอร์เซนต์ของผู้ขับขี่ จะผลอยหลับคาพวงมาลัยอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต และในสหรัฐฯ สถิติค่อนข้างจะดีทีเดียว: อุบัติเหตุ 100,000 รายบนทางด่วน มีความเชื่อมโยงกับความเหนื่อยล้า ขาดความระมัดระวัง และง่วงหลับ หนึ่งแสนรายต่อปี มันไม่ธรรมดาเลย ณ อีกระดับหนึ่งของความน่ากลัว เราจะแตะเข้าไปในเรื่องโศกนาฎกรรมภัยพิบัติเชียร์โนบิล (Cernobyl) และแน่นอน ยานอวกาศแชเลนเจอร์ (Challenger) ซึ่งมันเป็นความสูญเสียอันน่าเศร้า และในการสอบสวนที่เกิดขึ้นหลังเหตุวินาศภัยนี้ การตัดสินใจที่ไม่ดี อันเป็นผลมาจากการทำงานล่วงเวลา และขาดความระมัดระวัง และความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย เป็นปัจจัยใหญ่ที่ทำให้เกิดวินาศกรรมเหล่านี้ ดังนั้น เมื่อคุณเหนื่อย และคุณนอนไม่พอ คุณมีความทรงจำที่ไม่ดี คุณมีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ดี คุณหุนหันพลันแล่นมากกว่าเดิม และโดยรวมแล้วคุณมีการตัดสินใจที่ไม่ดี แต่เพื่อนๆครับ มันแย่ไปมากกว่านั้นอีก
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
If you are a tired brain, the brain is craving things to wake it up. So drugs, stimulants. Caffeine represents the stimulant of choice across much of the Western world. Much of the day is fueled by caffeine, and if you're a really naughty tired brain, nicotine. Of course, you're fueling the waking state with these stimulants, and then, of course, it gets to 11 o'clock at night, and the brain says to itself, "Actually, I need to be asleep fairly shortly. What do we do about that when I'm feeling completely wired?" Well, of course, you then resort to alcohol. Now alcohol, short-term, you know, once or twice, to use to mildly sedate you, can be very useful. It can actually ease the sleep transition. But what you must be so aware of is that alcohol doesn't provide sleep. A biological mimic for sleep, it sedates you. So it actually harms some of the neural processing that's going on during memory consolidation and memory recall. So it's a short-term acute measure, but for goodness sake, don't become addicted to alcohol as a way of getting to sleep every night.
ถ้าคุณเป็นสมองที่เหน็ดเหนื่อย สมองเรียกร้องหาสิ่งที่จะทำให้มันตื่น ดังนั้น ยา สารกระตุ้นต่างๆ คาเฟอีนเป็นตัวแทน ของสารกระตุ้นที่มีการเลือกใช้อย่างกว้างขวางในโลกตะวันตก ส่วนใหญ่ของวันขับเคลื่อนได้ด้วยคาเฟอีน และถ้าคุณมีสมองจอมดื้อจริงๆ ก็นิโคติน และแน่นอน คุณเติมพลังให้กับช่วงเวลาที่คุณตื่น ด้วยสารกระตุ้นเหล่านี้ และจากนั้น แน่ล่ะ พอถึงเวลา 5 ทุ่ม และสมองก็บอกตัวมันเองว่า "อ้อ ที่จริงอะนะ ฉันต้องการที่จะนอนแล้วล่ะ แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อคุณรู้สึกว่ายังคึกคักอยู่เลย" แน่นอน คุณก็จะหันไปพึ่งแอลกอฮอล ทีนี้ถ้าใช้แอลกอฮอล แค่ระยะสั้น แค่ครั้งสองครั้ง เพื่อทำใหัคุณผ่อนคลายนั้น มันก็มีประโยชน์เชียวล่ะ มันสามารถที่จะช่วยปรับการเข้านอนได้ แต่ที่คุณจะต้องตระหนักไว้ก็คือว่า แอลกอฮอลไม่ได้ทำให้คุณหลับ แต่เป็นการเลียนแบบการนอนแบบชีววิทยา มันทำให้คุณผ่อนคลาย ฉะนั้น ที่จริงแล้วมันทำร้ายกระบวนการทางธรรมชาติบางอย่าง ที่เกิดขึ้นระหว่างการรวบรวมความทรงจำ และการระลึกถึงความทรงจำ ดังนั้น มันเป็นตัววัดแบบเร็วๆระยะสั้นๆ แต่ให้ตายเหอะ อย่าหมกมุ่นเสพติด สุราของมึนเมา เพื่อเป็นการทำให้คุณนอนหลับทุกๆคืนเลยครับ
Another connection between loss of sleep is weight gain. If you sleep around about five hours or less every night, then you have a 50 percent likelihood of being obese. What's the connection here? Well, sleep loss seems to give rise to the release of the hormone ghrelin, the hunger hormone. Ghrelin is released. It gets to the brain. The brain says, "I need carbohydrates," and what it does is seek out carbohydrates and particularly sugars. So there's a link between tiredness and the metabolic predisposition for weight gain: stress. Tired people are massively stressed. And one of the things of stress, of course, is loss of memory, which is what I sort of just then had a little lapse of. But stress is so much more. So, if you're acutely stressed, not a great problem, but it's sustained stress associated with sleep loss that's the problem. Sustained stress leads to suppressed immunity. And so, tired people tend to have higher rates of overall infection, and there's some very good studies showing that shift workers, for example, have higher rates of cancer. Increased levels of stress throw glucose into the circulation. Glucose becomes a dominant part of the vasculature and essentially you become glucose intolerant. Therefore, diabetes 2. Stress increases cardiovascular disease as a result of raising blood pressure. So there's a whole raft of things associated with sleep loss that are more than just a mildly impaired brain, which is where I think most people think that sleep loss resides.
อีกอย่างที่สัมพันธ์กับการอดนอนก็คือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ถ้าคุณนอนหลับประมาณ 5 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้น ทุกๆคืน คุณจะมีโอกาส 50 เปอร์เซ็นต์ที่จะอ้วน มันมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือ ? ครับ การอดนอนเหมือนจะเป็นการเพิ่มการปลดปล่อย ของฮอร์โมน เกรลิน (ghrelin) ฮอร์โมนความหิว เกรลินถูกปลดปล่อย มันเดินทางไปยังสมอง สมองบอกว่า "ฉันต้องการคาร์โบไฮเดรต" และสิ่งที่มันทำก็คือหาคาร์โบไฮเดรต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลทั้งหลาย ดังนั้น มันมีความเกี่ยวโยงกันระหว่างความเหน็ดเหนื่อย และอัตราการเผาผลาญพลังงาน ที่จะโน้มเอียงไปยังการเกิดการเพิ่มน้ำหนัก ความเครียด คนที่เหน็ดเหนื่อยมีความเครียดเป็นอย่างมาก และอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับความเครียด ก็คือการสูญเสียความทรงจำ ซึ่งเป็นอะไรที่หลังๆมานี้ผมหลงๆลืมๆ แต่ความเครียดเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ถ้าคุณเครียดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก แต่มันเป็นความเครียดสะสมนั่นแหละ ที่เกี่ยวของกับการขาดนอน นั่นล่ะปัญหา ฉะนั้น ความเครียดสะสมนั้น นำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันลดลง และคนที่เหนื่อยมากๆ มักมีแนวโน้มที่จะมีอัตราติดเชื้อที่สูงกว่า และมันมีการศึกษาที่ดีมากๆที่แสดงให้เห็นว่า คนที่ทำงานเข้ากะ มีอัตราการเป็นมะเร็งสูงกว่า เป็นต้น ระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลูโคสในเลือดพุ่งสูง กลูโคสกลายเป็นส่วนประกอบหลักในกระแสเลือด และง่ายๆก็คือว่า คุณจะกลายเป็นมีภาวะแพ้กลูโคส นั่นก็คือ เบาหวานแบบที่สอง ความเครียดเพิ่มโรคทางหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของแรงดันเลือด ดังนั้นมันมีเรื่องเยอะเป็นโหลที่เกี่ยงข้องกับการอดนอน ที่นอกเหนือไปจากแค่การที่สมองผิดปกติอย่างอ่อนๆ ซึ่งผมคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดถึง
So at this point in the talk, this is a nice time to think, "Well, do you think on the whole I'm getting enough sleep?" So a quick show of hands. Who feels that they're getting enough sleep here? Oh. Well, that's pretty impressive. Good. We'll talk more about that later, about what are your tips.
ว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวกับการขาดนอน พูดมาถึงตรงนี้ มันเหมาะเลยที่เราจะคิดว่า อืม คุณคิดว่า โดยภาพรวมแล้วเรานอนพอกันหรือเปล่านะ ? ลองยกมือนับกันแบบเร็วๆนะครับ ใครรู้สึกบ้างว่า นอนพอครับ โอ้ นั่นน่าประทับใจครับ ดีครับ เราจะพูดถึงมันอีกที เกี่ยวกับว่าอะไรคือเคล็ดลับของคุณ
So most of us, of course, ask the question, "How do I know whether I'm getting enough sleep?" Well, it's not rocket science. If you need an alarm clock to get you out of bed in the morning, if you are taking a long time to get up, if you need lots of stimulants, if you're grumpy, if you're irritable, if you're told by your work colleagues that you're looking tired and irritable, chances are you are sleep-deprived. Listen to them. Listen to yourself.
แน่ล่ะ พวกเราส่วนใหญ่ตั้งคำถามว่า "เอ่อ แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านอนพอแล้ว ?" ครับ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ถ้าคุณต้องการนาฬิกาปลุกเพื่อให้คุณลุกจากเตียงในตอนเช้า ถ้าคุณใช้เวลานานเลยกว่าจะตื่นได้ ถ้าคุณต้องการแรงกระตุ้นเยอะมาก ถ้าคุณมีอาการบูดบึ้ง ถ้าคุณโมโหหงุดหงิด ถ้าคุณได้รับการบอกกล่าวจากเพื่อนๆ ว่าคุณดูเหน็ดเหนื่อยและอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นไปได้ว่า คุณไม่ได้นอนอย่างเพียงพอ ฟังพวกเขาครับ ฟังตัวคุณเองด้วย
What do you do? Well -- and this is slightly offensive -- sleep for dummies.
คุณจะทำอย่างไร ครับ นี่มันค่อนข้างจะบาดใจไปนิด การนอนหลับสำหรับมือใหม่:
(Laughter)
จัดห้องนอนให้เป็นสวรรค์แห่งการนอนหลับ
Make your bedroom a haven for sleep. The first critical thing is make it as dark as you possibly can, and also make it slightly cool. Very important. Actually, reduce your amount of light exposure at least half an hour before you go to bed. Light increases levels of alertness and will delay sleep. What's the last thing that most of us do before we go to bed? We stand in a massively lit bathroom, looking into the mirror cleaning our teeth. It's the worst thing we can possibly do before we go to sleep. Turn off those mobile phones. Turn off those computers. Turn off all of those things that are also going to excite the brain. Try not to drink caffeine too late in the day, ideally not after lunch.
สิ่งสำคัญแรกเลยก็คือ ทำให้มันมืดที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ และทำให้มันเย็นหน่อยๆ อันนี้สำคัญมาก อันที่จริง การลดการเผชิญกับแสง อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนที่คุณจะนอน แสงจะเพิ่มระดับการตื่นตัวและจะทำให้การนอนล่าช้าออกไป สิ่งสุดท้ายที่พวกเราส่วนใหญ่ทำก่อนจะนอนคืออะไรน่ะหรอ ? เรายืนในห้องน้ำที่สว่างสุดๆ มองกระจกขณะแปรงฟัน มันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ ก่อนที่เราจะเข้านอน ปิดโทรศัพท์มือถือพวกนั้นซะ คอมพิวเตอร์ก็ด้วย ปิดของพวกนั้นที่กำลังจะกระตุ้นสมองคุณให้หมด พยายามที่จะไม่ดืมคาเฟอีนในช่วงที่สายเกินไปของวัน ถ้าจะให้ดี อย่าดื่มหลังเที่ยง
Now, we've set about reducing light exposure before you go to bed, but light exposure in the morning is very good at setting the biological clock to the light-dark cycle. So seek out morning light. Basically, listen to yourself. Wind down. Do those sorts of things that you know are going to ease you off into the honey-heavy dew of slumber.
ทีนี้ พวกเราเข้าที่แล้วเรื่องลดการเผชิญกับแสงก่อนเข้านอน แต่การได้รับแสงในช่วงเช้า มีผลดีมากต่อการปรับให้นาฬิกาชีวภาพนั้นเข้าที่ ต่อวงจรมืดและสว่าง ดังนั้น จงมองหาแสงตอนเช้า หลักๆแล้ว ฟังตัวคุณเอง เริ่มทำอย่างช้าๆ ทำในสิ่งที่คุณรู้ ว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลาย เข้าสู่ห้วงสวรรค์แสนหวานแห่งนิทรารมณ์
OK. That's some facts. What about some myths?
เอาล่ะครับ นั่นเป็นข้อเท็จจริง ว่าแต่เรื่องเขาเล่าว่าล่ะ
Teenagers are lazy. No. Poor things. They have a biological predisposition to go to bed late and get up late, so give them a break.
วัยรุ่นเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ใช่สักหน่อย โถ่ น่าสงสารจริง พวกเขาแค่มีธรรมชาติที่จะมีแนวโน้ม ในการเข้านอนดึกและตื่นสาย ฉะนั้นอย่าไปว่าเขาเลย
We need eight hours of sleep a night. That's an average. Some people need more. Some people need less. And what you need to do is listen to your body. Do you need that much or do you need more? Simple as that.
พวกเราต้องการนอนแปดชั่วโมงต่อคืน นั่นเป็นค่าเฉลี่ย คนบางคนต้องการมากกว่านี้ บางคนน้อยกว่า และคุณต้องลองฟังความต้องการของตัวคุณเองดู คุณต้องการขนาดนั้นเลยหรอ หรือว่า ต้องการมากกว่านั้น แค่นั้นล่ะครับ
Old people need less sleep. Not true. The sleep demands of the aged do not go down. Essentially, sleep fragments and becomes less robust, but sleep requirements do not go down.
คนแก่ต้องการนอนน้อยกว่า ไม่จริงครับ ความต้องการนอนนั้นไม่ได้ลดลงตามอายุขัย หลักๆแล้ว พวกเขานอนเป็นช่วงๆ และไม่ค่อยสนิท แต่ความต้องการในการนอนนั้น ไม่ได้ลดลงเลย
And the fourth myth is early to bed, early to rise makes a man healthy, wealthy and wise. Well, that's wrong at so many different levels.
และตำนานเรื่องที่สี่ก็คือ นอนเร็ว ตื่นเช้า ทำให้ร่างกายแข็งแรง ล่ำซำ และฉลาดเฉลียว เอ่อ นั่นมันผิดไปหลายจุดเลยครับ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
There is no evidence that getting up early and going to bed early gives you more wealth at all. There's no difference in socioeconomic status. In my experience, the only difference between morning people and evening people is that those people that get up in the morning early are just horribly smug.
มันไม่มีหลักฐาน ไม่มีเลยครับ ที่การตื่นเช้า และเข้านอนเร็วๆ จะทำให้คุณรวยขึ้น มันไม่มีความแตกต่างในกลุ่มฐานะทางเศรษฐกิจสังคมเลย ตามประสบการณ์ของผม อย่างเดียวที่มันแตกต่างกัน ระหว่างคนตื่นเช้ากับคนตื่นสาย ก็คือ คนเหล่านั้นที่ตื่นเช้าในตอนเช้าตรู่ เป็นพวกขี้โกงสุดๆเลย
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ)
(Applause)
โอเค ถึงช่วงสุดท้ายแล้วครับ อีกไม่กี่นาทีสุดท้าย
OK. So for the last few minutes, what I want to do is change gears and talk about some really new, breaking areas of neuroscience, which is the association between mental health, mental illness and sleep disruption. We've known for 130 years that in severe mental illness, there is always, always sleep disruption, but it's been largely ignored. In the 1970s, when people started to think about this again, they said, "Yes, well, of course you have sleep disruption in schizophrenia, because they're on antipsychotics. It's the antipsychotics causing the sleep problems," ignoring the fact that for a hundred years previously, sleep disruption had been reported before antipsychotics.
ที่ผมต้องการจะทำก็คือเปลี่ยนเกียร์ และพูดถึงสาขาที่ใหม่จริงๆในวงการประสาทวิทยา ซึ่งเป็นส่วนเกี่ยวข้องระหว่างสุขภาพจิต อาการทางจิต และการนอนหลับไม่สนิท เราทราบมากว่า 130 ปีมาแล้ว ว่าอาการทางจิตแบบรุนแรง เป็นที่แน่นอนมากๆเลยว่า มันคือการนอนหลับไม่สนิท แต่มันถูกละเลยไปโดยคนส่วนใหญ่ ในยุค 1970 เมื่อผู้คนเริ่มที่จะคิดถึงมันอีกครับ พวกเขาว่า "ใช่ครับ แน่นอน พวกคุณนอนหลับไม่สนิท ในแบบอาการจิตเภท เพราะว่าคุณใช้ยารักษาอาการทางจิตอยู่ มันเป็นยารักษาอาการทางจิตนั่นแหละ ที่ทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับ" ลองละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า กว่าร้อยปีก่อน การนอนหลับไม่สนิทนั้น ถูกรายงานมาก่อนจะมียารักษาอาการทางจิต
So what's going on? Several groups are studying conditions like depression, schizophrenia and bipolar and what's going on in terms of sleep disruption. We have a big study which we published last year on schizophrenia, and the data were quite extraordinary. In those individuals with schizophrenia, much of the time, they were awake during the night phase and then they were asleep during the day. Other groups showed no 24-hour patterns whatsoever -- their sleep was absolutely smashed. And some had no ability to regulate their sleep by the light-dark cycle. They were getting up later and later and later and later each night. It was smashed.
แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น มีกลุ่มวิจัยหลายกลุ่มที่ทำการศึกษา ปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด โรคจิตเภท และอาการไบโพล่า และมันเกิดอะไรขึ้นกับนิยามของคำว่านอนหลับไม่สนิท เรามีการศึกษาชิ้นใหญ่ซึ่ง เราได้ตีพิมพ์ไปเมื่อปีที่แล้ว ในวารสาร schizophrenia และข้อมูลนั้นก็ค่อนข้างที่จะไม่ธรรมดาเลย ในผู้ที่มีอาการจิตเภท บ่อยครั้ง พวกเขาตื่นขึ้นในช่วงกลางคืน และจากนั้น พวกเขาก็ง่วงนอนในช่วงกลางวัน กลุ่มอื่นๆ ไม่มีรูปแบบในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงแต่อย่างใด การนอนของพวกเขาพังอย่างสิ้นเชิง และบางรายนั้นไม่สามารถที่จะควบคุมการนอนหลับ โดยวงจรมืดและสว่างได้ พวกเขาตื่นสายมากขึ้นและมากขึ้น และมากขึ้นในแต่ละคืน มันพังพินาศจริงๆ
So what's going on? And the really exciting news is that mental illness and sleep are not simply associated, but they are physically linked within the brain. The neural networks that predispose you to normal sleep, give you normal sleep, and those that give you normal mental health, are overlapping. And what's the evidence for that? Well, genes that have been shown to be very important in the generation of normal sleep, when mutated, when changed, also predispose individuals to mental health problems. And last year, we published a study which showed that a gene that's been linked to schizophrenia, when mutated, also smashes the sleep. So we have evidence of a genuine mechanistic overlap between these two important systems.
แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น และข่าวที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือว่า ความผิดปกติทางจิตและการนอนหลับนั้น ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันในแบบตรงไปตรงมา แต่ว่ามันเชื่อมโยงกันภายในสมองในรูปแบบกายภาพ วงจรเส้นประสาทที่เหนี่ยวนำให้คุณมีการนอนที่ปกติ และทำให้คุณหลับได้ตามปกติ กับวงจรประสาทที่ทำให้คุณ มีสุขภาพจิตที่ปกตินั้น มันมีการซ้อนทับกัน แล้วไหนล่ะ หลักฐาน ครับ ยีนที่แสดงว่ามันมีความสำคัญ ต่อการทำให้การนอนหลับนั้นเป็นปกติ เมื่อมันมีการกลายพันธ์ (mutate) มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้ผู้นั้นมีสุขภาพทางจิตที่ไม่ปกติ และในปีที่แล้ว เราได้ตีพิมพ์การศึกษา ซึ่งทำให้เห็นว่า ยีนที่เชื่อมโยงเข้ากับอาการจิตเภท ซึ่ง เมื่อมันกลายพันธุ์ การนอนนั้นก็พังไปด้วย ฉะนั้น เรามีหลักฐานว่าที่แสดงการซ้อนทับ ระหว่างกระบวนการทั้งสองที่ซ้อนทับกัน
Other work flowed from these studies. The first was that sleep disruption actually precedes certain types of mental illness, and we've shown that in those young individuals who are at high risk of developing bipolar disorder, they already have a sleep abnormality prior to any clinical diagnosis of bipolar. The other bit of data was that sleep disruption may actually exacerbate, make worse, the mental illness state. My colleague Dan Freeman has used a range of agents which have stabilized sleep and reduced levels of paranoia in those individuals by 50 percent.
อีกงานหนึ่งที่ต่อยอดจากการศึกษาเหล่านี้ ประการแรกก็คือ การนอนไม่หลับนั้น ที่จริงเกิดขึ้นก่อน อาการผิดปกติทางจิตบางอย่าง และเราก็ได้แสดงให้เห็นว่า ในผู้ที่ยังมีอายุน้อย ที่มีโอกาสสูง ที่จะมีพัฒนาการไปสู่อาการไบโพล่า พวกเขามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีการวินิจฉัยอาการไบโพล่าด้วยวิธีทางการแพทย์ อีกส่วนหนึ่งของข้อมูลก็คืออาการนอนไม่หลับ อาจทำให้อาการผิดปกติทางจิต ย่ำแย่ทรุดหนักลงไปจากเดิมอีก เพื่อนร่วมงานของผม แดน ฟรีแมน (Dan Freeman) ใช้สารต่างๆ ซึ่งช่วยประคองเสถียรภาพของการนอนหลับ และลดระดับจิตหวาดระแวง ในผู้ที่มีอาการนั้นได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
So what have we got? We've got, in these connections, some really exciting things. In terms of the neuroscience, by understanding these two systems, we're really beginning to understand how both sleep and mental illness are generated and regulated within the brain. The second area is that if we can use sleep and sleep disruption as an early warning signal, then we have the chance of going in. If we know these individuals are vulnerable, early intervention then becomes possible. And the third, which I think is the most exciting, is that we can think of the sleep centers within the brain as a new therapeutic target. Stabilize sleep in those individuals who are vulnerable, we can certainly make them healthier, but also alleviate some of the appalling symptoms of mental illness.
แล้วเรารู้อะไร ? ในความสัมพันธ์เชื่อมนี้ เราได้รู้ถึงบางสิ่งที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ในมุมของประสาทวิทยา จากความเข้าใจ ในเรื่องประสาทวิทยาของสองระบบนี้ พวกเราเพิ่งจะเริ่มที่จะเข้าใจจริงๆว่าระหว่างการนอนหลับ และอาการป่วยทางจิตนั้น ถูกสร้างขึ้นและควบคุมภายในสมอง และในอีกมุมหนึ่งก็คือ ถ้าเราสามารถใช้การนอนหลับ และการนอนหลับไม่สนิท เป็นสัญญาณเตือนแรกๆ เราก็จะรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงไป ถ้าเรารู้ว่า คนเหล่านี้มีค่า การเข้าจัดการแต่เนิ่นๆนั้นจะสามารถเป็นไปได้ และประการที่สาม ซึ่งผมคิดว่ามันน่าตื่นเต้นที่สุด ก็คือ เราสามารถคิดถึงการนอนหลับ ว่ามันตั้งอยู่ตรงกลางสมอง เป็นดั่งเป้าหมายของการรักษาแบบใหม่ การทำใหการนอนหลับ พวกเราสามารถทำให้พวกเขาสุขภาพดีขึ้น ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการป่วยทางจิตได้อีกด้วย
So let me just finish. What I started by saying is: Take sleep seriously. Our attitudes toward sleep are so very different from a pre-industrial age, when we were almost wrapped in a duvet. We used to understand intuitively the importance of sleep. And this isn't some sort of crystal-waving nonsense. This is a pragmatic response to good health. If you have good sleep, it increases your concentration, attention, decision-making, creativity, social skills, health. If you get sleep, it reduces your mood changes, your stress, your levels of anger, your impulsivity, and your tendency to drink and take drugs. And we finished by saying that an understanding of the neuroscience of sleep is really informing the way we think about some of the causes of mental illness, and indeed is providing us new ways to treat these incredibly debilitating conditions.
ให้ผมสรุปนะครับ ผมเริ่มบรรยายโดยบอกว่า ให้เอาจริงเอาจังกับการนอนหลับ ความคิดของเราที่มีต่อการนอนหลับนั้นต่างไปมาก จากยุคก่อนอุตสาหกรรม เมื่อพวกเราเกือบจะถูกห่ออยู่ในผ้าห่ม พวกเราเคยเข้าใจตามธรรมชาติ ถึงความสำคัญของการนอน และนี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องไร้สาระอะไร นี่เป็นการปฎิบัติตอบสนองที่ดีต่อการมีสุขภาพดี ถ้าคุณมีการนอนหลับที่ดี มันเพิ่มสมาธิของคุณ ความสนอกสนใจ การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการเข้าสังคม และสุขภาพ ถ้าคุณได้นอน มันช่วยลดความแปรปรวนของอารมณ์ ความเครียด ระดับความโมโห ความใจร้อนหุนหันพลันแล่น และแนวโน้มที่จะดื่มหรือใช้ยา และเราจบตรงนี้โดยบอกว่า ความเข้าใจที่มีต่อประสาทวิทยาของการนอนหลับ มันทำให้เราตระหนักถึงวิธีที่เราคิดประเมิน อาการบางกลุ่มของอาการทางจิต และแน่นอน มันได้ทำให้เรามองเห็นทางใหม่ๆ ที่จะใช้ในการรักษาอาการเหล่านี้
Jim Butcher, the fantasy writer, said, "Sleep is God. Go worship." And I can only recommend that you do the same.
จิม บุชเชอร์ (Jim Butcher) นักเขียนแนวแฟนตาซี กล่าวว่า "การนอนหลับเป็นพระเจ้า จงสักการะบูชา" และผมคงทำได้แค่แนะนำว่า คุณควรทำเช่นนั้น
Thank you for your attention.
ขอบคุณที่สนใจรับชมนะครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)