Hi, my name is Roz Savage and I row across oceans. Four years ago, I rowed solo across the Atlantic, and since then, I've done two out of three stages across the Pacific, from San Francisco to Hawaii and from Hawaii to Kiribati. And tomorrow, I'll be leaving this boat to fly back to Kiribati to continue with the third and final stage of my row across the Pacific. Cumulatively, I will have rowed over 8,000 miles, taken over three million oar strokes and spent more than 312 days alone on the ocean on a 23 foot rowboat. This has given me a very special relationship with the ocean. We have a bit of a love/hate thing going on. I feel a bit about it like I did about a very strict math teacher that I once had at school. I didn't always like her, but I did respect her, and she taught me a heck of a lot. So today I'd like to share with you some of my ocean adventures and tell you a little bit about what they've taught me, and how I think we can maybe take some of those lessons and apply them to this environmental challenge that we face right now.
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ รอส ซาเวจ และฉันเป็นนักพายเรือข้ามทะเล สี่ปีที่แล้ว ฉันพายเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพียงลำพัง และตั้งแต่นั้น ฉันก็ได้พายสองในสามระยะ ของมหาสมุทรแปซิฟิก จากซานฟรานซิสโกถึงฮาวาย และจากฮาวายถึงคิริบาส พรุ่งนี้ ฉันจะลาเรือลำนี้ เพื่อบินกลับไปที่คิริบาส เพื่อพายเรือต่อในระยะที่สาม ระยะสุดท้าย ในเส้นทางข้ามแปซิฟิกของฉัน รวมแล้วฉันจะพายเรือทั้งสิ้น เกิน 8,000 ไมล์ วาดไม้พายกว่าสามล้านครั้ง และอยู่เพียงลำพังเป็นเวลากว่า 312 วัน กลางทะเลบนเรือพายขนาด 23 ฟุต ประสบการณ์นี้ ทำให้ฉันมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับท้องทะเล เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน คล้ายๆ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อ ครูคณิตศาสตร์ที่เคร่งมากของฉันคนหนึ่ง หลายครั้งฉันรู้สึกไม่ชอบท่าน แต่ฉันก็เคารพท่าน และท่านก็สอนอะไรฉันมากมายเหลือเกิน วันนี้ฉันจึงอยากแบ่งบัน เรื่องราวการผจญภัยในทะเล และเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวเหล่านั้นสอนอะไรฉันบ้าง ฉันคิดว่าเราอาจจะนำบางบทเรียน ไปปรับใช้ในปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เราประสบอยู่
Now, some of you might be thinking, "Hold on a minute. She doesn't look very much like an ocean rower. Isn't she meant to be about this tall and about this wide and maybe look a bit more like these guys?" You'll notice, they've all got something that I don't. Well, I don't know what you're thinking, but I'm talking about the beards. (Laughter) And no matter how long I've spent on the ocean, I haven't yet managed to muster a decent beard, and I hope that it remains that way.
ตอนนี้ บางคนอาจจะคิดในใจว่า เดี๋ยวก่อนนะ เธอดูไม่ค่อยเหมือนนักพายเรือในมหาสมุทร นักพายเรือต้องสูงประมาณนี้สิ และตัวหนาประมาณนี้ หรือหน้าตาละม้ายหนุ่มๆ พวกนี้ คุณจะสังเกตว่า พวกเขาล้วนมีอะไรที่ฉันไม่มี ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดถึงอะไร แต่ฉันหมายถึงเคราน่ะ (เสียงหัวเราะ) และไม่ว่าฉันจะอยู่ในทะเลนานเท่าใร ฉันก็ยังไม่สามารถปลูกเครางามๆ ได้เสียที ซึ่งฉันถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
For a long time, I didn't believe that I could have a big adventure. The story that I told myself was that adventurers looked like this. I didn't look the part. I thought there were them and there were us, and I was not one of them. So for 11 years, I conformed. I did what people from my kind of background were supposed to do. I was working in an office in London as a management consultant. And I think I knew from day one that it wasn't the right job for me. But that kind of conditioning just kept me there for so many years, until I reached my mid-30s and I thought, "You know, I'm not getting any younger. I feel like I've got a purpose in this life, and I don't know what it is, but I'm pretty certain that management consultancy is not it.
นานมากที่ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะมีการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ได้ ฉันบอกกับตัวเองว่า นักผจญภัยต้องมีลักษณะอย่างที่กล่าวมา รูปร่างหน้าตาฉันไม่ให้เลย ฉันเคยแบ่งแยกว่า มีคนแบบเขา และคนแบบเรา และฉันไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกเขา ฉันก็เลยจำยอมไป 11 ปี ฉันทำในสิ่งที่คนจากพื้นเพแบบฉันเขาทำกัน ฉันทำงานในออฟฟิศที่ลอนดอน เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ฉันคิดว่าฉันรู้ตัวตั้งแต่วันแรกว่างานนี้ไม่ใช่งานที่ฉันอยากทำ แต่สิ่งที่ฉันถูกปลูกฝังมา ทำให้ฉันจมปลักอยู่กับงานนั้นเป็นเวลาหลายปี ผ่านเลยมาจนฉันอายุ 30 กว่าๆ ฉันก็คิดได้ว่า เอาล่ะ ฉันอายุมากขึ้นทุกวัน ฉันรู้สึกว่าฉันเกิดมาเพื่ออะไรสักอย่าง และฉันไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ไม่ใช่การเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
So, fast forward a few years. I'd gone through some changes. To try and answer that question of, "What am I supposed to be doing with my life?" I sat down one day and wrote two versions of my own obituary, the one that I wanted, a life of adventure, and the one that I was actually heading for which was a nice, normal, pleasant life, but it wasn't where I wanted to be by the end of my life. I wanted to live a life that I could be proud of. And I remember looking at these two versions of my obituary and thinking, "Oh boy, I'm on totally the wrong track here. If I carry on living as I am now, I'm just not going to end up where I want to be in five years, or 10 years, or at the end of my life." I made a few changes, let go of some loose trappings of my old life, and through a bit of a leap of logic, decided to row across the Atlantic Ocean.
กระโดดข้ามไปหลายปีข้างหน้า ฉันมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อหาคำตอบให้คำถามที่ว่า "จริงๆ แล้วชีวิตฉันควรจะเป็นอย่างไร" วันหนึ่ง ฉันนั่งลง และร่างประวัติย่อเพื่อใช้ในวันตายของตัวเองขึ้นมาสองฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นฉบับที่ฉันอยากจะเห็น เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการผจญภัย อีกฉบับหนึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ฉันกำลังเดินไปสู่จริงๆ ซึ่งก็คือชีวิตที่ดี ปกติ เรียบง่าย แต่ไม่ใช่จุดหมายที่ฉันอยากจะยืนอยู่ในวันสุดท้ายของชีวิตฉัน ฉันอยากได้ชีวิตที่สร้างความภูมิใจให้กับฉัน ฉันจำได้ว่าฉันนั่งมองข่าวมรณกรรมที่ฉันเขียนขึ้นทั้งสองฉบับนี้ พร้อมกับความคิดว่า "ตายแล้ว ฉันมาผิดทางจริงๆ ถ้าฉันยังมีชีวิตแบบนี้ต่อไป ฉันจะไม่มีวันถึงจุดหมายที่ฉันต้องการเลย ไม่ว่าจะอีก 5 ปี หรือ 10 ปี ข้างหน้า หรือในวันสุดท้ายของชีวิต" ฉันก็เลยทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่กักขังฉันไว้ในชีวิตแบบเดิม และเมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ฉันก็ตัดสินใจพายเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
The Atlantic Rowing Race runs from the Canaries to Antigua, it's about 3,000 miles, and it turned out to be the hardest thing I had ever done. Sure, I had wanted to get outside of my comfort zone, but what I'd sort of failed to notice was that getting out of your comfort zone is, by definition, extremely uncomfortable. And my timing was not great either: 2005, when I did the Atlantic, was the year of Hurricane Katrina. There were more tropical storms in the North Atlantic than ever before, since records began. And pretty early on, those storms started making their presence known.
การแข่งขันพายเรือแอตแลนติก เริ่มจากหมู่เกาะคะเนรีถึงแอนติกา ระยะทางประมาณ 3,000 ไมล์ และกลายเป็นสิ่งที่ ยากที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยทำมา ใช่ ฉันอยากจะท้าทายตัวเอง แต่ฉันลืมคิดไปว่า การท้าทายตัวเองนั้น ตามความหมายแล้ว คือความท้าทายจริงๆ พร้อมทั้งฤกษ์ยามก็ไม่เป็นใจเท่าใร ในปีค.ศ. 2005 ตอนที่ฉันพายเรือข้ามแอตแลนติก เป็นปีที่เกิดพายุเฮอร์ริเคนแคทรินา มีพายุโซนร้อนในแอตแลนติกเหนือ มากกว่าที่เคยมีตั้งแต่มีการบันทึกมา และพายุเหล่านั้น ก็ปรากฎให้เห็นตั้งแต่เนิ่นๆ
All four of my oars broke before I reached halfway across. Oars are not supposed to look like this. But what can you do? You're in the middle of the ocean. Oars are your only means of propulsion. So I just had to look around the boat and figure out what I was going to use to fix up these oars so that I could carry on. So I found a boat hook and my trusty duct tape and splintered the boat hook to the oars to reinforce it. Then, when that gave out, I sawed the wheel axles off my spare rowing seat and used those. And then when those gave out, I cannibalized one of the broken oars. I'd never been very good at fixing stuff when I was living my old life, but it's amazing how resourceful you can become when you're in the middle of the ocean and there's only one way to get to the other side.
ไม้พายทั้งสี่เล่มของฉันหัก ตั้งแต่ก่อนที่จะถึงครึ่งทาง ไม้พายไม่ควรมีสภาพอย่างนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ คุณอยู่กลางทะเล ไม้พายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเดียวที่คุณมี ฉันเลยต้องมองไปรอบๆ เรือ เพื่อหาสิ่งที่ฉันจะใช้ ซ่อมไม้พายได้ ฉันจะได้เดินทางต่อไป ฉันเจอตะขอเรือและกระดาษกาว และนำตะขอเรือ ตอกเข้าไปที่ไม้พายเพื่อให้แข็งแรงขึ้น พอไม้นั้นพัง ฉันเลื่อยเพลาล้อออกจากที่นั่งพายสำรองของฉัน และใช้เพลานั้นแทน และเมื่อเพลาพัง ฉันก็เอาไม้พายที่หักแล้วมาใช้ใหม่ ฉันเป็นคนซ่อมอะไรไม่ค่อยเป็นนัก ตอนที่ยังใช้ชีวิตในรูปแบบเดิม แต่เมื่อคุณอยู่กลางทะเล คุณจะพบว่าคุณสามารถคิด พลิกแพลงได้มากมายอย่างน่าประหลาด เพราะมีวิธีเดียวที่จะไปถึงฝั่งได้
And the oars kind of became a symbol of just in how many ways I went beyond what I thought were my limits. I suffered from tendinitis on my shoulders and saltwater sores on my bottom. I really struggled psychologically, totally overwhelmed by the scale of the challenge, realizing that, if I carried on moving at two miles an hour, 3,000 miles was going to take me a very, very long time. There were so many times when I thought I'd hit that limit, but had no choice but to just carry on and try and figure out how I was going to get to the other side without driving myself crazy.
ไม้พายเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ ของจำนวนครั้งที่ ฉันก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยขีดไว้ ฉันต้องทนกับเอ็นอักเสบที่ไหล่ อาการปวดแสบบั้นท้ายเนื่องจากน้ำเค็ม ฉันมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เต็มไปด้วยความรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเกินตัว ฉันตระหนักว่า ถ้าฉันยังคงพายต่อไปที่ 2 ไมล์ต่อชั่วโมง 3,000 ไมล์นั้น จะต้องใช้เวลานานทีเดียว มีหลายครั้ง ที่ฉันคิดว่าฉันถึงขีดสุดแล้ว แต่ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพายต่อไป และพยายามคิดหาวิธีที่จะไปถึงฝั่งให้ได้ โดยที่ไม่เสียสติไปเสียก่อน
And eventually after 103 days at sea, I arrived in Antigua. I don't think I've ever felt so happy in my entire life. It was a bit like finishing a marathon and getting out of solitary confinement and winning an Oscar all rolled into one. I was euphoric. And to see all the people coming out to greet me and standing along the cliff tops and clapping and cheering, I just felt like a movie star. It was absolutely wonderful. And I really learned then that, the bigger the challenge, the bigger the sense of achievement when you get to the end of it.
ในที่สุด หลังจาก 103 วันบนท้องทะเล ฉันก็มาถึงแอนติกา ตั้งแต่เกิดมา ไม่น่ามีวันไหนที่ฉันรู้สึกสุข ได้เท่าวันนั้น คล้ายความรู้สึกตอนวิ่งมาราธอนสำเร็จ หลุดพ้นจากความโดดเดี่ยว และเหมือนได้รับรางวัลออสการ์ ม้วนอยู่ในอารมณ์เดียว ฉันปลาบปลื้มมาก เมื่อได้เห็นทุกคนออกมาต้อนรับฉัน ยืนรอกันบนผาสูง ปรบมือ ส่งเสียงให้กำลังใจ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นดารา เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก และฉันได้เรียนรู้ว่า ยิ่งมีอุปสรรคใหญ่เพียงไหน รสแห่งความสำเร็จก็จะเข้มข้นมากขึ้นเพียงนั้น เมื่อคุณถึงเส้นชัย
So this might be a good moment to take a quick time-out to answer a few FAQs about ocean rowing that might be going through your mind. Number one that I get asked: What do you eat? A few freeze-dried meals, but mostly I try and eat much more unprocessed foods. So I grow my own beansprouts. I eat fruits and nut bars, a lot of nuts. And generally arrive about 30 pounds lighter at the other end. Question number two: How do you sleep? With my eyes shut. Ha-ha. I suppose what you mean is: What happens to the boat while I'm sleeping? Well, I plan my route so that I'm drifting with the winds and the currents while I'm sleeping. On a good night, I think my best ever was 11 miles in the right direction. Worst ever, 13 miles in the wrong direction. That's a bad day at the office. What do I wear? Mostly, a baseball cap, rowing gloves and a smile -- or a frown, depending on whether I went backwards overnight -- and lots of sun lotion. Do I have a chase boat? No I don't. I'm totally self-supporting out there. I don't see anybody for the whole time that I'm at sea, generally. And finally: Am I crazy? Well, I leave that one up to you to judge.
ตอนนี้คงเป็นเวลาที่ดี ที่จะพักสักเล็กน้อย เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการพายเรือข้ามมหาสมุทร ที่คุณอาจสงสัยอยู่ในใจ คำถามที่ฉันถูกถามบ่อยที่สุดคือ คุณทานอะไร อาหารอบแห้งแบบเยือกแข็ง แต่ส่วนใหญ่ฉันจะพยายามทาน อาหารที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูป ฉันเลยปลูกถั่วงอกเอง ฉันทานผลไม้และถั่วแท่ง ถั่วหลายชนิดทีเดียว และขึ้นฝั่งตัวเบากว่าเดิม 30 ปอนด์ คำถามที่สองที่ถามบ่อยคือ คุณนอนอย่างไร ฉันนอนหลับตา ฮ่าๆ คุณคงหมายถึงว่า เรือจะเป็นอย่างไรตอนที่ฉันหลับ ฉันจะวางแผนเส้นทาง เพื่อว่าตอนที่ฉันหลับ เรือจะลอยไปกับลมและคลื่น ในคืนที่ดีนั้น ซึ่งคืนที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีคือ 11 ไมล์ ถูกทิศทาง คืนที่แย่ที่สุดคือ 13 ไมล์ แต่ผิดทิศทาง เหมือนวันแย่ๆ ในออฟฟิศวันหนึ่ง แล้วฉันสวมใส่อะไร ส่วนใหญ่ก็หมวกแก็ป ถุงมือพายเรือ และรอยยิ้ม หรือความบึ้งตึง ขึ้นอยู่กับว่าคืนก่อนนั้นลอยถอยหลังหรือเปล่า พร้อมทาโลชั่นกันแดดหนาๆ ฉันมีเรือติดตามหรือไม่ ไม่มี ฉันดูแลตัวเองทุกอย่าง ปกติฉันจะไม่พบเจอใครเลย ตลอดเวลาที่อยู่ในทะเล และคำถามสุดท้าย ฉันเป็นคนเสียสติหรือเปล่า ฉันให้คุณตัดสินเองก็แล้วกัน
So, how do you top rowing across the Atlantic? Well, naturally, you decide to row across the Pacific. Well, I thought the Atlantic was big, but the Pacific is really, really big. I think we tend to do it a little bit of a disservice in our usual maps. I don't know for sure that the Brits invented this particular view of the world, but I suspect we might have done so: we are right in the middle, and we've cut the Pacific in half and flung it to the far corners of the world. Whereas if you look in Google Earth, this is how the Pacific looks. It pretty much covers half the planet. You can just see a little bit of North America up here and a sliver of Australia down there. It is really big -- 65 million square miles -- and to row in a straight line across it would be about 8,000 miles. Unfortunately, ocean rowboats very rarely go in a straight line. By the time I get to Australia, if I get to Australia, I will have rowed probably nine or 10,000 miles in all.
เมื่อพายเรือข้ามแอตแลนติกแล้ว ก้าวต่อไปคืออะไร ก็ไม่แปลกถ้าก้าวต่อไปนั้นคือ การพายเรือข้ามแปซิฟิก ฉันคิดว่ามหาสมุทรแอตแลนติกใหญ่แล้ว แต่มหาสมุทรแปซิฟิกนั้นใหญ่มโหฬารทีเดียว ฉันว่าในแผนที่ปกติที่เราใช้กันอยู่ ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร ฉันไม่แน่ใจว่าชาวอังกฤษ เป็นคนริเริ่มวิธีการมองโลกแบบนี้หรือเปล่า ฉันคิดว่าน่าจะใช่ นั่นก็คือ มีเราอยู่ตรงกลาง แล้วผ่ามหาสมุทรแปซิฟิกออกเป็นสองซีก แต่ละซีกถูกโยนไปไว้ในคนละมุมโลก แต่หากคุณดูใน กูเกิ้ล เอิร์ธ (Google Earth) มหาสมุทรแปซิฟิกจะมีหน้าตาอย่างนี้ กินพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้ คุณจะเห็นอเมริกาเหนือเล็กๆ ข้างบนนี้ และออสเตรเลียนิดเดียวข้างล่างนี้ เป็นผืนทะเลที่ใหญ่จริงๆ มีขนาด 65 ตารางไมล์ และการพายเรือเป็นเส้นตรงข้ามไปนั้น จะเป็นระยะทางประมาณ 8,000 ไมล์ โชคร้ายที่โดยปกติเรือพายในมหาสมุทร จะไม่พายเป็นเส้นตรง กว่าฉันจะถึงออสเตรเลีย ถ้าฉันไปถึง ฉันจะต้องพายไปประมาณ 9,000 หรือ 10,000 ไมล์
So, because nobody in their straight mind would row straight past Hawaii without dropping in, I decided to cut this very big undertaking into three segments. The first attempt didn't go so well. In 2007, I did a rather involuntary capsize drill three times in 24 hours. A bit like being in a washing machine. Boat got a bit dinged up, so did I. I blogged about it. Unfortunately, somebody with a bit of a hero complex decided that this damsel was in distress and needed saving. The first I knew about this was when the Coast Guard plane turned up overhead. I tried to tell them to go away. We had a bit of a battle of wills. I lost and got airlifted. Awful, really awful. It was one of the worst feelings of my life, as I was lifted up on that winch line into the helicopter and looked down at my trusty little boat rolling around in the 20 foot waves and wondering if I would ever see her again. So I had to launch a very expensive salvage operation and then wait another nine months before I could get back out onto the ocean again.
ฉะนั้น ด้วยเหตุที่ว่า ไม่มีคนสติดีคนไหนจะพายเรือ ผ่านฮาวายไปโดยไม่หยุดแวะ ฉันเลยตัดสินใจแยกภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ ออกเป็นสามส่วน ครั้งแรกออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร ในปีค.ศ. 2007 ฉันทำเรือคว่ำโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มากถึง 3 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง เหมือนกับการถูกปั่นในเครื่องซักผ้า เรือชำรุดเล็กน้อย ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันเอาเรื่องนี้ไปเขียนลงบล็อก แต่โชคร้ายที่มีคน เกิดอยากเป็นฮีโร่และคิดไปเองว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายและต้องการความช่วยเหลือ ฉันรู้เรื่องนี้เมื่อเครื่องบินของ หน่วยป้องกันชายฝึ่งโผล่มาเหนือหัว ฉันพยายามไล่พวกเขาไป เราเถียงกันเรื่องความต้องการ แต่ฉันแพ้ ฉันก็เลยถูกยกตัวขึ้นเครื่องไป เป็นความรู้สึกที่แย่มาก ฉันไม่เคยรู้สึกแย่อย่างนั้นมาก่อน ขณะที่ที่ฉันถูกยกตัวขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ ฉันมองลงมาที่เรือคู่ยากลำน้อยของฉัน ที่ลอยไปลอยมาท่ามกลางคลื่นสูง 20 ฟุต และสงสัยว่าฉันจะได้เห็นเธออีกหรือไม่ ฉันเลยต้องเริ่มปฎิบัติการราคาแพง เพื่อกอบกู้เรือ และรออีก 9 เดือน กว่าฉันจะได้ออกทะเลอีกครั้ง
But what do you do? Fall down nine times, get up 10. So, the following year, I set out and, fortunately, this time made it safely across to Hawaii. But it was not without misadventure. My watermaker broke, only the most important piece of kit that I have on the boat. Powered by my solar panels, it sucks in saltwater and turns it into freshwater. But it doesn't react very well to being immersed in ocean, which is what happened to it. Fortunately, help was at hand.
แต่จะทำอย่างไรได้ คุณล้ม 9 ครั้ง ต้องลุกให้ได้ 10 ครั้ง ฉันเลยออกเดินทางในปีต่อมา และโชคดีที่ครั้งนี้ฉันไปถึงฮาวายอย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้ไปถึงอย่างราบรื่นทีเดียว เครื่องทำน้ำดื่มของฉันพัง เป็นเครื่องที่สำคัญที่สุดที่ฉันมีบนเรือ เครื่องนี้ได้พลังงานจากแผ่นพลังงานแสงอาทิตย์ที่ฉันมี โดยจะดูดน้ำทะเล และแปลงน้ำเค็มเป็นน้ำจืด แต่ทำงานไม่ดีเท่าไรเมื่อจมอยู่ในทะเล เครื่องก็เลยพัง โชคดีที่มีความช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ
There was another unusual boat out there at the same time, doing as I was doing, bringing awareness to the North Pacific Garbage Patch, that area in the North Pacific about twice the size of Texas, with an estimated 3.5 million tons of trash in it, circulating at the center of that North Pacific Gyre. So, to make the point, these guys had actually built their boat out of plastic trash, 15,000 empty water bottles latched together into two pontoons. They were going very slowly. Partly, they'd had a bit of a delay. They'd had to pull in at Catalina Island shortly after they left Long Beach because the lids of all the water bottles were coming undone, and they were starting to sink. So they'd had to pull in and do all the lids up.
มีเรือแปลกๆ อีกลำหนึ่ง กำลังทำอย่างเดียวกับที่ฉันทำ คือการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแพขยะใหญ่แปซิฟิกเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ในแปซิฟิกเหนือ ขนาดประมาณสองเท่าของรัฐเทกซัส เต็มไปด้วยขยะ ประมาณ 3.5 ล้านชิ้น หมุนเวียนกลาง วงวนใหญ่มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ดังนั้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ คนกลุ่มนี้ จึงสร้างเรือของพวกเขาจากขยะพลาสติก ขวดเปล่าที่ทำจากพลาสติกประมาณ 15,000 ขวด ยึดต่อกันเป็นแพ 2 แพ พวกเขาลอยไปช้ามาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีความล่าช้าเล็กน้อย จากที่ต้องเข้าเทียบท่าเกาะกาตาลิน่า หลังออกจากลองบีชไม่นาน เพราะจุกขวดน้ำของเขาเริ่มหลุด พวกเขากำลังจะจม ก็เลยต้องเทียบฝั่งเพื่อปิดจุก
But, as I was approaching the end of my water reserves, luckily, our courses were converging. They were running out of food; I was running out of water. So we liaised by satellite phone and arranged to meet up. And it took about a week for us to actually gradually converge. I was doing a pathetically slow speed of about 1.3 knots, and they were doing only marginally less pathetic speed of about 1.4: it was like two snails in a mating dance. But, eventually, we did manage to meet up and Joel hopped overboard, caught us a beautiful, big mahi-mahi, which was the best food I'd had in, ooh, at least three months.
แต่ตอนที่น้ำดื่มของฉันใกล้หมด โชคดีที่เส้นทางของเรากำลังจะมาบรรจบกัน พวกเขาขาดแคลนอาหาร ฉันขาดแคลนน้ำดื่ม เราเลยติดต่อกันทางโทรศัพท์วิทยุ และนัดพบกัน ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ กว่าเราจะมาเจอกันได้ ฉันพายไปได้ช้ามาก ประมาณ 1.3 นอต และพวกเขาดีกว่าฉันนิดเดียว คือ ประมาณ 1.4 นอต เหมือนหอยทากสองตัวค่อยๆ เคลื่อนหากัน แต่ในที่สุดเราก็พบกันจนได้ โจเอลกระโดดข้ามเรือมา และจับปลามาฮิ-มาฮิตัวใหญ่สวยหนึ่งตัวให้พวกเรา ซึ่งเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่ฉันได้ทานในเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา
Fortunately, the one that he caught that day was better than this one they caught a few weeks earlier. When they opened this one up, they found its stomach was full of plastic. And this is really bad news because plastic is not an inert substance. It leaches out chemicals into the flesh of the poor critter that ate it, and then we come along and eat that poor critter, and we get some of the toxins accumulating in our bodies as well. So there are very real implications for human health.
โชคดีที่ตัวที่เขาจับได้วันนั้น ดีกว่าตัวที่เขาจับได้ในอาทิตย์ก่อนหน้านั้นมาก ตัวก่อนนั้น ตอนที่พวกเขาผ่าตัวปลา เปิดเจอแต่ท้องที่เต็มไปด้วยพลาสติก เป็นข่าวที่แย่มาก เพราะพลาสติกนั้น ไม่ใช่สารเฉื่อย พลาสติกจะปล่อยสารเคมี ออกสู่เนื้อของปลาที่โชคร้ายที่ทานพลาสติกเข้าไปตัวนั้น และพอมาถึงคราวของเราที่จะทานปลาโชคร้ายตัวนั้น เราก็ได้รับสารพิษที่สะสมอยู่ เข้าไปในร่างกายเราด้วย ฉะนั้นมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์เรามาก
I eventually made it to Hawaii still alive. And, the following year, set out on the second stage of the Pacific, from Hawaii down to Tarawa. And you'll notice something about Tarawa; it is very low-lying. It's that little green sliver on the horizon, which makes them very nervous about rising oceans. This is big trouble for these guys. They've got no points of land more than about six feet above sea level. And also, as an increase in extreme weather events due to climate change, they're expecting more waves to come in over the fringing reef, which will contaminate their fresh water supply. I had a meeting with the president there, who told me about his exit strategy for his country. He expects that within the next 50 years, the 100,000 people that live there will have to relocate to New Zealand or Australia. And that made me think about how would I feel if Britain was going to disappear under the waves; if the places where I'd been born and gone to school and got married, if all those places were just going to disappear forever. How, literally, ungrounded that would make me feel.
สุดท้ายฉันก็มาถึงฮาวายอย่างปลอดภัย และในปีต่อไป ก็ออกสู่ การเดินทางในระยะที่สองในแปซิฟิก จากฮาวายไปสู่ทาราวา คุณจะสังเกตอะไรบางอย่างเกี่ยวกับทาราวา ทาราวาเป็นพื้นที่ที่ต่ำมาก เป็นหย่อมสีเทาอมเขียวตรงเส้นขอบฟ้าตรงนั้น ซึ่งทำให้ชาวทาราวาเป็นกังวลมาก เกี่ยวกับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาทีเดียว เพราะพวกเขาไม่มีพื้นที่ที่สูงกว่าหกฟุตเหนือระดับน้ำทะเล และการเพิ่มขึ้นของสภาพอากาศที่ร้ายแรง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั้น ทำให้พวกเขาคาดการณ์ว่าจะมีคลื่น พัดข้ามแนวปะการังเล็กๆ มา เป็นผลให้คลังน้ำจืดถูกเจือปน ฉันได้พบกับประธานาธิปดีของทาราวา ท่านเล่าให้ฟังถึง กลยุทธิ์ทางออกให้ประเทศของเขา เขาคาดว่าภายใน 50 ปีข้างหน้านี้ ประชากรกว่า 100,000 คนที่อาศัยที่นั่น จะต้องอพยพไปที่ นิวซีแลนด์หรือออสเตรเลีย ฉันมานึกย้อนว่าฉันจะรู้สึกอย่างไร ถ้าอังกฤษจะต้องจมไปใต้คลื่น ถ้าสถานที่ที่ฉันเกิด ไปเรียน แต่งงาน ถ้าสถานที่เหล่านั้นจะต้องสูญหายไปตลอดกาล ฉันจะรู้สึกเหมือนไร้ฐานที่ยึด มากขนาดไหน
Very shortly, I'll be setting out to try and get to Australia, and if I'm successful, I'll be the first woman ever to row solo all the way across the Pacific. And I try to use this to bring awareness to these environmental issues, to bring a human face to the ocean. If the Atlantic was about my inner journey, discovering my own capabilities, maybe the Pacific has been about my outer journey, figuring out how I can use my interesting career choice to be of service to the world, and to take some of those things that I've learned out there and apply them to the situation that humankind now finds itself in.
อีกไม่นานฉันจะออกเดินทาง โดยจะพยายามไปให้ถึงออสเตรเลีย ถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรก ที่พายเรีอโดยลำพัง ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ฉันจะใช้จุดสนใจนี้เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้คนหันมาให้ความสำคัญกับมหาสมุทรของเรา ถ้าแอตแลนติกเป็นการเดินทางทางจิตวิญญาณ เพื่อให้ฉันค้นพบขีดความสามารถของตัวเอง บางทีแปซิฟิกอาจจะเป็นการเดินทางทางโลก เพื่อเรียนรู้ว่าฉันจะใช้ อาชีพที่น่าสนใจที่ฉันเลือกนี้ ให้เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ และนำสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ มาปรับใช้กับสถานการณ์ ที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ได้อย่างไร
I think there are probably three key points here. The first one is about the stories that we tell ourselves. For so long, I told myself that I couldn't have an adventure because I wasn't six foot tall and athletic and bearded. And then that story changed. I found out that people had rowed across oceans. I even met one of them and she was just about my size. So even though I didn't grow any taller, I didn't sprout a beard, something had changed: My interior dialogue had changed. At the moment, the story that we collectively tell ourselves is that we need all this stuff, that we need oil. But what about if we just change that story? We do have alternatives, and we have the power of free will to choose those alternatives, those sustainable ones, to create a greener future.
ฉันคิดว่ามีสามประเด็นหลักๆ ประเด็นแรกคือ เรื่องราวที่เราบอกตัวเอง ฉันพร่ำบอกตัวเองเป็นเวลานาน ว่าฉันออกผจญภัยไม่ได้ เพราะฉันสูงไม่ถึงหกฟุต ไม่ได้เป็นนักกีฬา และไม่มีเครา แล้ววันหนึ่งความเชื่อของฉันเปลี่ยนไป ฉันค้นพบว่าคนอื่นๆ ก็พายเรือข้ามทะเลได้เหมือนกัน ฉันเคยเจอคนหนึ่งด้วย แล้วเธอก็มีขนาดตัวพอๆ กับฉัน แม้ว่าฉันจะไม่ได้สูงขึ้น และฉันก็ไม่มีเคราเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างเปลี่ยน ความเชื่อในตัวเองเปลี่ยน ตอนนี้ สิ่งที่เราเพียรบอกตัวเอง ว่าเราต้องการสิ่งต่างๆ มากมาย ว่าเราต้องการน้ำมัน แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิดนั้น เรายังมีทางเลือกอื่น และเรามีอิสระ ที่จะเลือกทางเลือกนั้น ทางเลือกที่ส่งเสริมความยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
The second point is about the accumulation of tiny actions. We might think that anything that we do as an individual is just a drop in the ocean, that it can't really make a difference. But it does. Generally, we haven't got ourselves into this mess through big disasters. Yes, there have been the Exxon Valdezes and the Chernobyls, but mostly it's been an accumulation of bad decisions by billions of individuals, day after day and year after year. And, by the same token, we can turn that tide. We can start making better, wiser, more sustainable decisions. And when we do that, we're not just one person. Anything that we do spreads ripples. Other people will see if you're in the supermarket line and you pull out your reusable grocery bag. Maybe if we all start doing this, we can make it socially unacceptable to say yes to plastic in the checkout line. That's just one example. This is a world-wide community.
ประเด็นที่สองคือ การรวมตัวกันของการกระทำเล็กๆ เราอาจจะคิดว่าสิ่งใดก็ตามที่เราทำคนเดียว เป็นเพียงหยดเล็กๆ ในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล คงไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่มันมี ปัญหาไม่ได้เกิด จากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ๆ เสมอ ใช่ แม้ว่าจะมาเหตุการน้ำมันรั่วของเอ็กซอน วัลเดส และอุบัติเหตุนิวเคลียร์เชอร์โนบิล แต่ส่วนใหญ่เป็นการสั่งสม ของการตัดสินใจผิดๆ ของคนนับพันล้าน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ในทางเดียวกัน เราสามารถเปลี่ยนกระแสนั้น เราสามารถเริ่มตัดสินใจ อย่างชาญฉลาด โดยคำนึงถึงความยั่งยืน เมื่อเราเริ่มทำอย่างนั้น เราไม่ใช่เพียงคนหนึ่งคน ทุกสิ่งที่เราทำจะส่งแรงกระเพื่อม คนอื่นจะเห็นคุณเวลายืนอยู่ในแถวตอนซื้อของ เวลาคุณดึงถุง ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ออกมาใช้ หากเราทุกคนเริ่มปฏิบัติอย่างนี้ บางทีเราอาจทำให้สังคมตระหนักว่า การใช้ถุงพลาสติกในการซื้อของเป็นสิ่งที่น่าอับอาย นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียว เราเป็นสังคมนานาชาติ
The other point: It's about taking responsibility. For so much of my life, I wanted something else to make me happy. I thought if I had the right house or the right car or the right man in my life, then I could be happy. But when I wrote that obituary exercise, I actually grew up a little bit in that moment and realized that I needed to create my own future. I couldn't just wait passively for happiness to come and find me. And I suppose I'm a selfish environmentalist. I plan on being around for a long time, and when I'm 90 years old, I want to be happy and healthy. And it's very difficult to be happy on a planet that's racked with famine and drought. It's very difficult to be healthy on a planet where we've poisoned the earth and the sea and the air.
อีกประเด็นหนึ่ง คือการมีความรับผิดชอบ ชีวิตส่วนใหญ่ของฉันที่ผ่านมา ฉันอยากได้อย่างอื่นที่จะทำให้ฉันมีความสุข ฉันคิดว่าถ้าฉันมีบ้านแบบนั้นหรือมีรถแบบนี้ หรือมีผู้ชายที่ดีในชีวิต ฉันถึงจะมีความสุข แต่เมื่อฉันได้ลองเขียนประวัติย่อของตัวเอง ฉันรู้สึกว่าฉันโตขึ้น ฉันตระหนักว่าฉันจะต้องสร้างอนาคตของตัวเอง ฉันจะรออย่างใจเย็น ให้ความสุขลอยมาหาฉันเองไม่ได้ ฉันอาจจะเป็นนักพิทักษ์ธรรมชาติที่เห็นแก่ตัว ฉันคาดหวังที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว และเมื่อฉันอายุ 90 ปี ฉันอยากจะมีความสุขและสุขภาพดี ยากนักที่จะมีความสุข บนโลกที่เต็มไปด้วย ความอดอยากและความแห้งแล้ง ยากนักที่จะรักษาสุขภาพบนโลก ใบเดียวกับที่เราใส่ยาพิษลงไปในดิน ในทะเล และในอากาศ
So, shortly, I'm going to be launching a new initiative called Eco-Heroes. And the idea here is that all our Eco-Heroes will log at least one green deed every day. It's meant to be a bit of a game. We're going to make an iPhone app out of it. We just want to try and create that awareness because, sure, changing a light bulb isn't going to change the world, but that attitude, that awareness that leads you to change the light bulb or take your reusable coffee mug, that is what could change the world.
เร็วๆ นี้ฉันจะ เริ่มโครงการใหม่ ชื่อว่า อีโค-ฮีโร่ (Eco-Heroes, ผู้พิทักษ์นิเวศ) แนวคิดของโครงการนี้คือ อีโค-ฮีโร่ ของเราทุกคนจะทำสิ่งดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยวันละหนึ่งอย่าง เราตั้งใจให้เป็นเหมือนเกม โดยจะทำเป็นแอพไอโฟน เราอยากลองสร้างความตระหนักรู้นั้น เพราะแน่นอนว่าการเปลี่ยนหลอดไฟหนึ่งหลอด คงไม่สามารถพลิกโฉมโลกใบนี้ได้ แต่ด้วยทัศนคตินั้น ด้วยความตระหนักรู้ ที่ทำให้คุณยอมเปลี่ยนหลอดไฟ หรือใช้แก้วกาแฟที่นำมาใช้ซ้ำได้ คือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้
I really believe that we stand at a very important point in history. We have a choice. We've been blessed, or cursed, with free will. We can choose a greener future, and we can get there if we all pull together to take it one stroke at a time.
ฉันเชื่อว่าเรากำลังยืนอยู่ ในช่วงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เรามีทางเลือก เราโชคดี หรือโชคร้าย ที่เรามีเสรี เราสามารถเลือกอนาคตที่ดีได้ และเราไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าเราตั้งใจพายเรือลำนี้ไปด้วยกัน
Thank you.
ขอบคุณค่ะ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)