Guys, we have an issue.
เพื่อน ๆ ครับ พวกเรามีปัญหา
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Growth is fading away, and it's a big deal. Our global economy stops growing. And it's not new. Growth has actually declined for the last 50 years. If we continue like this, we need to learn how to live in a world with no growth in the next decade. This is scary because when the economy doesn't grow, our children don't get better lives. What's even scarier is that when the pie does not grow, each of us get a smaller piece. We're then ready to fight for a bigger one. This creates tensions and serious conflicts. Growth matters a lot.
การเติบโตกำลังจางหายไป และนั่นเป็นเรื่องใหญ่ เศรษฐกิจโลกของเราหยุดโตแล้ว และมันไม่ใช่เรื่องใหม่ จริง ๆ แล้ว การเติบโตเสื่อมถอยลงไป ได้ 50 ปีมาแล้ว ถ้าเรายังคงเป็นอยู่อย่างนี้ เราก็จำเป็นต้องเรียนรู้ ว่าจะอาศัยอยู่ในโลกที่ไม่มีการเติบโตขึ้น ในทศวรรษหน้านี้ ได้อยางไร เรื่องนี้น่ากลัวเพราะว่า เมื่อเศรษฐกิจไม่โตขึ้น ลูก ๆ ของเราก็จะไม่มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ที่ยิ่งน่ากลัวกว่าก็คือ ถ้าส่วนแบ่งผลประโยชน์ไม่โตขึ้น แต่ละคนก็ได้ชิ้นส่วนแบ่งเล็กลง แล้วเราก็พร้อมจะสู้รบกัน เพื่อเอาชิ้นใหญ่กว่า สิ่งนี้ทำให้เกิดความตึงเครียด และความขัดแย้งที่รุนแรง การเติบโตนั้นสำคัญมาก
If we look at the history of growth, times of big growth have always been fueled by big manufacturing revolutions. It happened three times, every 50-60 years. The steam engine in the middle of the 19th century, the mass-production model in the beginning of the 20th century -- thanks, Mr. Ford. And the first automation wave in the 1970s.
ถ้าเรามาดูประวัติศาสตร์เรื่องการเติบโต ช่วงเวลาของการเติบโตครั้งใหญ่ ๆ นั้น ถูกกระตุ้นเสมอมา ด้วยการปฏิวัติด้านการผลิตครั้งใหญ่ ๆ มันเกิดขึ้นแล้วสามครั้ง ในทุกช่วง 50-60 ปี เครื่องจักรไอนํ้าในตอนกลางของศตวรรษที่ 19 รูปแบบการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 -- ต้องขอบคุณ มิสเตอร์ฟอร์ด และคลื่นของการนำเครื่องจักรมาใช้แทนคน ครั้งแรกช่วง ค.ศ 1970-79
Why did these manufacturing revolutions create huge growth in our economies? Because they have injected huge productivity improvement. It's rather simple: in order to grow, you need to be producing more, putting more into our economy. This means either more labor or more capital or more productivity. Each time, productivity has been the growth lever.
ทำไมการปฏิวัติด้านการผลิตเหล่านี้ ได้สร้างการเติบโตขนาดใหญ่ขึ้น ในเศรษฐกิจของเรา ก็เพราะว่ามันได้อัดฉีดการปรับปรุงเพื่อ เพิ่มผลผลิตขนาดใหญ่เข้าไป มันก็ง่าย ๆ นั่นคือ เพื่อจะให้เติบโต คุณจำเป็นต้องผลิต ให้มากขึ้น ใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น สิ่งนี้หมายความว่า เพิ่มด้านแรงงาน หรือ เงินลงทุน หรือ ผลผลิตให้มากขึ้น ในแต่ละครั้งนั้น ผลผลิตเป็นการริเริ่ม เพื่อการเติบโต
I'm here today to tell you that we are on the verge of another huge change, and that this change, surprisingly enough, is going to come from manufacturing, again. It will get us out of our growth slump and it will change radically the way globalization has been shaped over the last decade. I'm here to tell you about the amazing fourth manufacturing revolution that is currently underway.
ผมมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อบอกคุณว่า เราใกล้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อีกครั้ง และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นั้น น่าประหลาดใจนักว่า มันกำลังจะมาจากการผลิต อีกนั่นแหละ มันจะทำให้เราออกมา จากการเติบโตที่ตกตํ่า และมันก็จะเปลี่ยนวิถีโลกาภิวัฒน์ ซึ่งได้ก่อรูปขึ้นมาแล้ว อย่างถอนรากถอนโคน ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผมมาที่นี่ เพื่อบอกคุณเกี่ยวกับการปฏิวัติ ทางการผลิตครั้งที่สี่ที่น่าทึ่งนี้ ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
It's not as if we've done nothing with manufacturing since the last revolution. Actually, we've made some pretty lame attempts to try to revitalize it. But none of them have been the big overhaul we really need to get us growing again. For example, we've tried to relocate our factories offshore in order to reduce cost and take advantage of cheap labor. Not only did this not inspire productivity, but it only saved money for a short period of time, because cheap labor didn't stay cheap for long. Then, we've tried to make our factories larger and we specialized them by product. The idea was that we can make a lot of one product and stockpile it to be sold with demand.
ไม่ใช่ราวกับว่า เราไม่ได้ทำอะไรเลย ในเรื่องการผลิต นับแต่การปฏิวัติครั้งล่าสุด จริง ๆ แล้วเราได้พยายามแบบกะพร่องกะแพร่ง มาบ้าง เพื่อพยายามให้มันฟื้นตัวขึ้นมาอีก แต่ทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ จำเป็นยิ่งต้องให้เราเติบโตขึ้นอีกครั้ง ตัวอย่างเช่น เราได้พยายามเอาโรงงานไปตั้ง ในต่างประเทศ เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายและได้เปรียบจาก แรงงานราคาถูก เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ไม่ได้กระตุ้นผลผลิต แต่เป็นเพียงการประหยัดเงิน ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะแรงงานราคาถูกนั้น ไม่ได้ราคาถูก อยู่นานนัก หลังจากนั้น เราก็พยายามทำโรงงานของเรา ให้ใหญ่ขึ้น และทำให้เป็นโรงงานผลิตสินค้าเฉพาะอย่าง แนวคิดก็คือ เราสามารถสร้างผลผลิตอย่างหนึ่ง ออกมาได้มากมาย และเก็บไว้ในคลังสินค้า เพื่อจะขาย ตามที่ตลาดต้องการ
This did help productivity for a while. But it introduced a lot of rigidities in our supply chain. Let's take fashion retail. Traditional clothing companies have built offshore, global, rigid supply chains. When fast-fashion competitors like Zara started replenishing their stocks faster from two collections a year to one collection a month, none of them have been able to keep up with the pace. Most of them are in great difficulties today.
เรื่องนี้ช่วยได้จริงในด้านผลผลิต ระยะหนึ่ง แต่มันทำให้เกิดสภาพแข็งทื่อขึ้นมาก ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) มาดูการขายปลีกแฟชั่นเสื้อผ้า บริษัทผลิตเสื้อผ้าที่มีอยู่เดิม ได้ไปสร้างห่วงโช่อุปทานที่ไม่ยืดหยุ่น ในต่างประเทศทั่วโลก เมื่อคู่แข่งแฟชั่นรวดเร็ว (fast fashion) เช่น ซาร่า เริ่มนำเสื้อผ้ารุ่นใหม่เพิ่มเข้ามาเร็วขึ้น จากชุดเสื้อผ้าใหม่ปีละสองครั้ง มาเป็นเดือนละหนึ่งครั้ง ไม่มีบริษัทไหนสามารถก้าวไปได้ทันตามนั้นได้ บริษัทส่วนใหญ่จึงอยู่ในสภาพที่ยากลำบากมาก ในปัจจุบัน
Yet, with all of their shortcomings, those are the factories we know today. When you open the doors, they look the same as they did 50 years ago. We've just changed the location, the size, the way they operate. Can you name anything else that looks the same as it did 50 years ago? It's crazy. We've made all the tweaks to the model that we could, and now we hit its limits.
แต่ ด้วยข้อบกพร่องทั้งหมดของพวกเขา พวกเขาคือ บริษัทที่เรารู้กันในปัจจุบัน เมื่อคุณเปิดประตูเข้าไป เขาก็เป็นแบบเดียวกับที่พวกเขาทำ เมื่อ 50 ปีที่ก่อน เราทำแค่เพียงเปลี่ยนที่ตั้ง ขนาด วิธีการ ที่พวกเขาปฏิบัติ คุณบอกได้หรือไม่ครับ สิ่งอื่น ๆ ที่เป็นแบบเดียวกับ อย่างที่เป็นเมื่อ 50 ปีก่อน มันแปลกประหลาดนะครับ เราได้ปรับเปลี่ยนทุกอย่างกับรูปแบบนั้น ตามที่เราสามารถทำได้ และในปัจจุบัน เราก็ไปจนถึงขีดสุดแล้ว
After all of our attempts to fix the manufacturing model failed, we thought growth could come from elsewhere. We turned to the tech sector -- there's been quite a lot of innovations there. Just to name one: the Internet. We hoped it could produce growth. And indeed, it changed our lives. It made big waves in the media, the service, the entertainment spaces. But it hasn't done much for productivity. Actually, what's surprising is that productivity is on the decline despite all of those innovation efforts. Imagine that -- sitting at work, scrolling through Facebook, watching videos on YouTube has made us less productive. Weird.
หลังจากความพยายามทั้งหมดที่จะแก้ไข รูปแบบการผลิตนั้นก็ล้มเหลว เราก็คิดว่า การเติบโตอาจจะมาจากที่อื่น เราหันไปหาภาคเทคโนโลยี -- มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ค่อนข้างมากมายอยู่ตรงนั้น แค่บอกเพียงชื่อเดียว คือ อินเตอร์เน็ต เราหวังว่ามันจะสร้างการเติบโตขึ้นได้ และโดยแท้จริงแล้ว มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิต ของเราไป มันได้สร้างคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมา ในช่องว่างด้านสื่อ การบริการและการบันเทิง แต่ไม่ได้ทำอะไรมากนัก ในเรื่องผลผลิต จริง ๆ แล้ว สิ่งที่น่าประหลาดใจ คือ ผลผลิตอยู่ในภาวะที่ตกตํ่าลง แม้จะมีความพยายามนวัตกรรมใหม่ๆนั้น ทั้งหมดแล้วก็ตาม ลองจินตนาการดูซิครับว่า -- ก็นั่งทำงานไป เลื่อนหน้าจอไปดูจนทั่วเฟสบุค การดูวิดีโอในยูทูบ ทำให้เราได้ผลิตผลน้อยลง แปลกพิลึก
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
This is why we are not growing. We failed at reinventing the manufacturing space, and large technological innovations have played away from it. But what if we could combine those forces? What if the existing manufacturing and large technological innovation came together to create the next big manufacturing reinvention.
นี่คือเหตุว่าทำไมเราจึงไม่เติบโต เราล้มเหลวในการสร้างช่องว่างการผลิตนั้น ขึ้นมาในรูปแบบใหม่ และนวัตกรรมเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ได้ตีจากมันไปแล้ว แต่ถ้าหากว่า เรารวมพลังเหล่านั้นเข้ามาได้เล่า สมมุติว่า อุตสาหกรรมการผลิตที่ยังมีอยู่ และนวัตกรรมเทคโนโลยีขนาดใหญ่นั้น มารวมกัน เพื่อสร้างรูปแบบใหม่ ของการผลิตขนาดใหญ่ครั้งต่อไปขึ้นมาอีก
Bingo! This is the fourth manufacturing revolution, and it's happening right now. Major technologies are entering the manufacturing space, big time. They will boost industrial productivity by more than a third. This is massive, and it will do a lot in creating growth. Let me tell you about some of them.
เราก็ชนะได้! และนี่คือการปฏิวัติการผลิตครั้งที่สี่ และมันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้แล้ว เทคโนโลยีสำคัญ ๆ กำลังเข้าไปสู่ ช่องว่างของการผลิตที่ว่านั้น เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ เหล่านั้นจะส่งเสริมการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ได้ราวกว่าหนึ่งในสาม เรื่องนี้ใหญ่โตมาก และมันจะทำให้เกิด การเติบโตขึ้นมาได้มากมาย ผมขอบอกคุณบางอย่างเกี่ยวกับมัน
Have you already met advanced manufacturing robots? They are the size of humans, they actually collaborate with them, and they can be programmed in order to perform complex, non-repetitive tasks. Today in our factories, only 8 percent of the tasks are automated. The less complex, the more repetitive ones. It will be 25 percent in 10 years. It means that by 2025, advanced robots will complement workers to be, together, 20 percent more productive, to manufacture 20 percent more outputs, to achieve 20 percent additional growth.
คุณเคยเห็นหุ่นยนต์ที่ใช้ในการผลิตระดับสูง มาแล้วหรือไม่ครับ มันมีขนาดเท่าๆกับมนุษย์ พวกมันทำงานร่วมกับมนุษย์ได้จริง ๆ และมันถูกตั้งโปรแกรมได้ เพื่อที่จะทำงานที่สลับซับซ้อนและไม่ซํ้าซาก ปัจจุบันในโรงงานของเรา งานเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ทำโดยอัตโนมัติ งานยิ่งซับซ้อนน้อยเท่าไหร่ ก็เป็นงานที่ทำซํ้า ๆ ได้มากยิ่งขึ้น มันจะเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ในอีก 10 ปีข้างหน้า นั่นหมายถึงว่า เมื่อถึงปี 2025 หุ่นยนต์ระดับสูงจะเข้ามาเป็นส่วนเสริมคนงาน ทำงานไปด้วยกัน ก็จะมัพลังผลิตเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อผลผลิตออกมาเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อบรรลุถึงการเติบโตที่บวกขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์
This isn't some fancy, futuristic idea. These robots are working for us right now. Last year in the US, they helped Amazon prepare and ship all the products required for Cyber Monday, the annual peak of online retail. Last year in the US, it was the biggest online shopping day of the year and of history. Consumers spent 3 billion dollars on electronics that day. That's real economic growth.
นี่ไม่ใช่ความเพ้อฝัน แนวคิดอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง หุ่นยนต์เหล่านี้กำลังทำงานกับเรา อยู่ในขณะนี้แล้ว เมื่อปีที่แล้วในสหรัฐ พวกมันได้ช่วยบริษัท อเมซอนจัดเตรียมและส่งสินค้าทั้งหมด ที่เป็นที่ต้องการในช่วงลดราคา ไซเบอร์ มันเดย์ ซึ่งเป็นช่วงสูงสุดของการขายออนไลน์ในรอบปี ปีที่แล้วในสหรัฐ เป็นวันของการจับจ่ายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด ของปีและของประวัติศาสตร์ ผู้บริโภคจ่ายเงิน 3 พันล้านดอลลาร์ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในวันนั้น นั่นเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
Then there's additive manufacturing, 3D printing. 3D printing has already improved plastic manufacturing and it's now making its way through metal. Those are not small industries. Plastic and metals represent 25 percent of global manufacturing production.
แล้วก็มีการผลิตเพิ่มเข้ามา คือ เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ (3D printing) การพิมพ์สามมิติได้พัฒนาปรับปรุง การผลิตพลาสติกให้ดีขึ้นมาแล้ว และขณะนี้มันกำลังเข้าไปสู่ในเรื่องของโลหะ ซึ่งไม่ใช่อุตสาหกรรมเล็ก ๆ พลาสติกและโลหะ เป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ของการผลิตเชิงอุตสาหกรรมของโลก
Let's take a real example. In the aerospace industry, fuel nozzles are some of the most complex parts to manufacture, for one reason: they are made up of 20 different parts that need to be separately produced and then painstakingly assembled. Aerospace companies are now using 3D printing, which allows them to turn those 20 different parts into just one. The results? 40 percent more productivity, 40 percent more output produced, 40 percent more growth for this specific industry.
เรามาดูตัวอย่างจริง ๆ กัน ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ปากท่อเชื้อเพลิงเป็นชิ้นส่วนบางอย่าง ที่ซับซ้อนที่สุดในการผลิต เพราะสาเหตุหนึ่งคือ มันทำขึ้นมาจากชิ้นส่วนต่าง ๆ 20 ชิ้นส่วน ที่จำเป็นต้องผลิตขึ้นมา ให้แยกจากกันเป็นชิ้น ๆ แล้วจึงเอามาประกอบเข้าด้วยกัน ด้วยความยากเย็น บริษัทการบินและอวกาศในขณะนี้ กำลังใช้การพิมพ์สามมิติ ซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนชิ้นส่วน 20 ชิ้นพวกนั้น เข้าเป็นเพียงชิ้นเดียว ผลที่ได้หรือครับ การผลิตเพิ่มขึ้นมาอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตขึ้นมา 40 เปอร์เซ็นต์ เติบโตขึ้นมาอีก 40 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเฉพาะอุตสาหกรรมนี้
But actually, the most exciting part of this new manufacturing revolution goes much beyond productivity. It's about producing better, smarter products. It's about scale customization. Imagine a world where you can buy the exact products you want with the functionalities you need, with the design you want, with the same cost and lead time as a product that's been mass produced, like your car, or your clothes or your cell phone. The new manufacturing revolution makes it possible.
แต่จริง ๆ แล้ว ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุด ของการปฏิวัติการผลิตใหม่นี้ ไปไกลมากเกินกว่าเรื่องผลิตผล มันเกี่ยวกับการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า เฉียบคมกว่า ผลิตตามความต้องการ ของผู้ซื้อได้กว้างขวางกว่า ลองจินตนาการดู โลกใบหนึ่งที่คุณ ซื้อผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการ ด้วยคุณสมบัติตามที่คุณจำเป็นต้องใช้งาน ด้วยการออกแบบอย่างที่คุณต้องการ ด้วยราคาและเวลาจนของมาถึงผู้ซึ้อ เหมือนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาจำนวนมาก ๆ อย่างเช่น รถยนต์ เสื้อผ้า หรือ โทรศัพท์มือถือของคุณ การปฏิวัติการผลิตใหม่นี้เอง ที่ทำให้มันเป็นไปได้
Advanced robots can be programmed in order to perform any product configuration without any setup time or ramp up. 3D printers instantaneously produce any customized design. We are now able to produce a batch of one product, your product, at the same cost and lead time as a batch of many. Those are only a few examples of the manufacturing revolution at play.
หุ่นยนต์ระดับสูงสามารถถูกตั้งโปรแกรม เพื่อให้ทำโครงแบบผลิตภัณฑ์ (product configuration) ใด ๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเตรียมหรือปรับเปลี่ยน แต่อย่างใด การพิมพ์สามมิติผลิตแบบตามที่ลูกค้าต้องการ ได้ทันที ปัจจุบันนี้ เราสามารถผลิตสินค้าอย่างหนึ่ง ในจำนวนไม่มาก ผลิตภัณฑ์สำหรับคุณ ได้ในราคาและเวลาจนสินค้าถึงลูกค้า เท่า ๆ กับการผลิตเป็นจำนวนมาก ๆ นั่นเป็นไม่กี่ตัวอย่างของการปฏิวัติการผลิต ที่กำลังทำกันอยู่
Not only will manufacturing become more productive, it will also become more flexible, and those were exactly the elements of growth that we are missing. But actually, there are even some bigger implications for all of us when manufacturing will find its way back into the limelight. It will create a huge macroeconomic shift.
การผลิตไม่ได้กลายเป็นเพียงแค่ ผลิตผลได้มากขึ้น มันยังจะยืดหยุ่นได้มากขึ้นอีกด้วย และสิ่งเหล่านั้นแน่ชัดว่าเป็น องค์ประกอบสำคัญของการเติบโตที่เราขาดหายไป แต่แท้จริงแล้ว ยังมีผลสืบเนื่อง ที่ใหญ่กว่านี้บางอย่าง สำหรับเราทุกคน เมื่อการผลิต สามารถกลับมาสู่จุดสนใจของสาธารณชน มันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคขนาดใหญ่ขึ้นมา
First, our factories will be relocated into our home markets. In the world of scale customization, consumer proximity is the new norm.
อย่างแรกคือ โรงงานของเราจะถูกย้ายมาตั้ง อยู่ในตลาดภายในประเทศของเรา ในโลกการผลิตตามที่ผู้ซื้อต้องการ ที่กว้างใหญ่ ความใกล้ชิดกับผู้บริโภคเป็นบรรทัดฐานใหม่
Then, our factories will be smaller, agile. Scale does not matter anymore, flexibility does. They will be operating on a multi-product, made-to-order basis. The change will be drastic.
แล้วโรงงานของเรานั้น ก็จะเล็กลง คล่องตัว ขนาดที่กว้างใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญ โรงงานจะทำผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ตามการสั่งซื้อเป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงนี้ จะเป็นไปอย่างฮวบฮาบ
Globalization will enter a new era. The East-to-West trade flows will be replaced by regional trade flows. East for East, West for West. When you think about that, the old model was pretty much insane. Piling up stocks, making products travel the whole world before they reach their end consumers. The new model, producing just next to the consumer market, will be much cleaner, much better for our environment. In mature economies, manufacturing will be back home, creating more employment, more productivity and more growth. Good news, isn't it?
โลกาภิวัติจะเข้าไปสู่ยุคใหม่ การหลั่งไหลทางการค้าจากโลกตะวันออก ไปสู่ตะวันตก จะถูกแทนที่ด้วยกระแสของการค้าในท้องถิ่น โลกตะวันออกกผลิตเพื่อตะวันออก ตะวันตกเพื่อตะวันตก และเมื่อคุณคิดถึงมันแล้ว รูปแบบเก่า ๆ ก็ดูจะโง่เขลาไปเป็นอย่างมาก เก็บสินค้าไว้ในโกดังมาก ๆ สินค้าผลิตออกมา เดินทางส่งไปทั่วโลก ก่อนที่สินค้าจะไปถึงผู้บริโภคปลายทาง รูปแบบใหม่นั้น การผลิตอยู่แค่สถานที่ถัดไป จากตลาดผู้บริโภค รูปแบบใหม่จะสะอาดและดีกว่าอย่างมาก ต่อสภาพแวดล้อมของเรา ในระบบการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเต็มที่นั้น การผลิตจะกลับมาอยู่ในประเทศ สร้างการจ้างงานได้มากกว่า ผลิตผลได้มากกว่า และเจริญเติบโตได้มากกว่า เป็นข่าวดี ใช่หรือไม่ครับ แต่
But here's the thing with growth -- it does not come automatically. Mature economies will have to seize it. We'll have to massively re-train our workforce. In most countries, like in my country, France, we've told our children that manufacturing had no future. That it was something happening far away. We need to reverse that and teach manufacturing again at university. Only the countries that will boldly transform will be able to seize this growth.
ต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่มากับการเดิบโต -- มันไม่ได้มาได้เองโดยอัตโนมัติ ระบบการค้า/อุตสาหกรรมจะต้องฉกฉวยยึดมันไว้ เราจะต้องฝึกแรงงานของเราขึ้นมาใหม่อีก อย่างมโหฬาร ในประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ก็เหมือนกับประเทศฝรั่งเศสของผม เราบอกลูก ๆ ของเราว่า การผลิตไม่มีอนาคต มันเป็นบางสิ่งบางอย่างในอดีตอันไกล เราต้องกลับคำพูดนั้นเสียใหม่ และสอนเรื่องการผลิตอีกครั้ง ในมหาวิทยาลัย และเพียงประเทศที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างห้าวหาญ เท่านั้น จึงจะสามารถฉกฉวยการเติบโตนี้เอาไว้ได้
It's also a chance for developing economies. Of course China and other emerging economies won't be the factory of the world anymore. Actually, it was not a sustainable model in the long term, as those countries are becoming richer. Last year, it was already as expensive to produce in Brazil as to produce in France. By 2018, manufacturing costs in China will be on par with the US.
นอกจากนี้มันยังเป็นโอกาส เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แน่นอน จีน และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ ก็จะไม่ได้เป็นโรงงานของโลกอีกต่อไป จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นรูปแบบที่ยั่งยืน ในระยะยาว เพราะประเทศเหล่านั้นกำลังรํ่ารวยยิ่งขึ้น เมื่อปีที่แล้ว ค่าใช้จ่ายของการผลิต ในประเทศบราซิลนั้น แพงเท่า ๆ กับ ที่ผลิตในฝรั่งเศสไปแล้ว เมื่อถึงปี 2018 ค่าใช้จ่ายในการผลิตในจีน ก็จะพอ ๆ กับสหรัฐ
The new manufacturing revolution will accelerate the transition of those emerging economies towards a model driven by domestic consumption. And this is good, because this is where growth will be created. In the next five years, the next billion consumers in China will inject more growth in our economies than the top five European markets together.
การปฏิวัติการผลิตใหม่นี้ จะเร่งระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยน ของเศรษฐกิจเกิดใหม่เหล่านั้น ไปสู่รูปแบบที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการบริโภค ภายในประเทศ และนี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่า นี่เป็นที่ซึ่งการเติบโต จะถูกสร้างขึ้น ในอีกห้าปีต่อไปข้างหน้า ผู้บริโภคพันล้านคนต่อไปในประเทศจีนนั้น จะ อัดฉีดการเติบโตเพิ่มเข้ามาในเศรษฐกิจของเรา มากกว่าตลาดห้าลำดับสูงสุดของยุโรปรวมกัน
This fourth manufacturing revolution is a chance for all of us. If we play it right, we'll see sustainable growth in all of our economies. This means more wealth distributed to all of us and a better future for our children.
การปฏิวัติการผลิตครั้งที่สี่นี้ เป็นโอกาส สำหรับเราทุกคน ถ้าเราเล่นกับมันให้ถูกทาง เราก็จะเห็นการเติบโตแบบยั่งยืน ในเศรษฐกิจของเราทั้งหมด นี่หมายความว่า ความมั่งคั่งจะถูกกระจาย ไปสู่เราทุกคนมากขึ้น และอนาคตที่ดีกว่าสำหรับลูก ๆ ของเรา
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)