We see with the eyes, but we see with the brain as well. And seeing with the brain is often called imagination. And we are familiar with the landscapes of our own imagination, our inscapes. We've lived with them all our lives. But there are also hallucinations as well. And hallucinations are completely different. They don't seem to be of our creation. They don't seem to be under control. They seem to come from the outside and to mimic perception.
เรามองด้วยตา แต่ก็ต้องอาศัยสมองด้วยเช่นกัน สิ่งที่มองเห็นด้วยสมอง มักเรียกกันว่า 'จินตนาการ' ซึ่งเราต่างคุ้นเคยกับภาพในจินตนาการเรา ในทัศนะของเราเอง เพราะอยู่กับมันมาตลอดชีวิต แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า'ภาพหลอน'ด้วย และภาพหลอนนี่ต่างจากจินตนาการสุดขั้วเลย มันไม่ใช่อะไรที่เราสร้างข้ึน มันอยู่นอกเหนือการควบคุม มันเกิดจากอะไรภายนอก
So I am going to be talking about hallucinations
มาเลียนแบบการรับรู้ของเรา
and a particular sort of visual hallucination, which I see among my patients. A few months ago, I got a phone call from a nursing home where I work. They told me that one of their residents, an old lady in her 90s, was seeing things, and they wondered if she'd gone bonkers or, because she was an old lady, whether she'd had a stroke, or whether she had Alzheimer's.
ผมเลยว่าจะพูดถึงเรื่องภาพหลอน เป็นภาพหลอนชนิดพิเศษชนิดหนึ่ง ที่ผมเจอกับคนไข้ของผมเอง ไม่กี่เดือนก่อน มีสายโทรมาหาผม จากบ้านพักคนชราซึ่งผมทำงานอยู่ เขาบอกผมว่า ผู้อาศัยท่านหนึ่ง สุภาพสตรีอายุประมาณ 90 ปี มองเห็นนู่นเห็นนี่ เขาสงสัยกันว่าเธอบ๊องส์ไปแล้วรึเปล่า ไม่ก็คงเพราะอายุเยอะ ไม่งั้นก็ หลอดเลือดสมองอาจจะตีบ ไม่ก็อัลไซเมอร์
And so they asked me if I would come and see Rosalie, the old lady. I went in to see her. It was evident straightaway that she was perfectly sane and lucid and of good intelligence, but she'd been very startled and very bewildered, because she'd been seeing things. And she told me -- the nurses hadn't mentioned this -- that she was blind, that she had been completely blind from macular degeneration for five years. But now, for the last few days, she'd been seeing things.
เลยถามผมว่าช่วยมาดูโรซาลีหน่อยได้ไหม หญิงชราท่านนั้นน่ะครับ ผมก็ไปครับ สิ่งที่ชัดเจนเลยก็คือ สติเธอยังดี รู้เรื่องรู้ตัวดี แถมยังฉลาดด้วย แต่เธอกำลังตกใจ และก็กำลังงง ว่าทำไมเธอเห็นนู่นเห็นนี่เต็มไปหมด เธอบอกผม ในสิ่งซึ่งพยาบาลไม่ทันได้บอกผม คือ เธอตาบอด ตาเธอบอดสนิท จากใจกลางจอประสาทตาเสื่อมมาได้ห้าปีแล้ว แต่สองสามวันมานี้ เธอเกิดเห็นนู่นนี่ขึ้นมา
So I said, "What sort of things?" And she said, "People in Eastern dress, in drapes, walking up and down stairs. A man who turns towards me and smiles, but he has huge teeth on one side of his mouth. Animals too. I see a white building. It's snowing, a soft snow. I see this horse with a harness, dragging the snow away. Then, one night, the scene changes. I see cats and dogs walking towards me. They come to a certain point and then stop. Then it changes again. I see a lot of children. They're walking up and down stairs. They wear bright colors, rose and blue, like Eastern dress."
ผมเลยถาม "คุณเห็นอะไรเหรอครับ" เธอบอก "ฉันเห็นคนแต่งตัวห่มผ้าแบบชาวตะวันออก เดินขึ้นๆ ลงๆ บันไดค่ะ แล้วชายคนหนึ่งหันมายิ้มให้ฉัน ฟันข้างหนึ่งของเขาใหญ่มากๆ แล้วก็มีสัตว์ด้วยค่ะ เห็นตึกสีขาว หิมะนุ่มๆโปรยปราย ฉันเห็นม้าติดเทียม กำลังลากหิมะ แล้วคืนนึง ฉากก็เปลี่ยนไป ทีนี้ฉันเห็นแมวหมาเดินเข้ามาหา มันเดินมาถึงจุดนึง แล้วก็หยุด แล้วก็เปลี่ยนอีกละ คราวนี้เห็นเป็นเด็กๆ มากมาย กำลังเดินขึ้นลงบันได พวกเขาใส่ชุดสีสด สีชมพูกุหลาบ และสีฟ้า แบบชุดทางตะวันออก
Sometimes, she said, before the people come on, she may hallucinate pink and blue squares on the floor, which seem to go up to the ceiling. I said, "Is this like a dream?" And she said, "No, it's not like a dream. It's like a movie." She said, "It's got color. It's got motion. But it's completely silent, like a silent movie." And she said it's a rather boring movie.
บางที เธอว่า ก่อนพวกคนจะโผล่มา เธอเห็นสี่เหลี่ยมจตุรัสสีชมพู สีฟ้าบนพื้น ทอดขึ้นไปจนถึงเพดาน อืม ผมเลยถามว่า "คล้ายๆ กับฝันไปไหมครับ?" เธอบอก "ไม่ค่ะๆ ไม่เหมือนฝันๆ เหมือนดูหนังมากกว่า" เธอบอกมันมีสีสัน มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา แต่มันเงียบฉี่เลย เหมือนหนังใบ้ เธอบอก "แต่เป็นหนังที่น่าเบื๊อน่าเบื่อนะ"
(Laughter)
เธอบอก "มีแค่คนแต่งตัวแบบชาวตะวันออก
She said, "All these people with Eastern dress, walking up and down, very repetitive, very limited."
เดินขึ้นเดินลง ซ้ำไปซ้ำมา อยู่แค่นั้นน่ะ"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And she had a sense of humor. She knew it was a hallucination, but she was frightened. She had lived 95 years, and she'd never had a hallucination before. She said that the hallucinations were unrelated to anything she was thinking or feeling or doing, that they seemed to come on by themselves, or disappear. She had no control over them. She said she didn't recognize any of the people or places in the hallucinations, and none of the people or the animals -- well, they all seemed oblivious of her. And she didn't know what was going on. She wondered if she was going mad or losing her mind.
แล้วเธอเป็นคนมีอารมณ์ขัน เธอรู้ว่ามันเป็นแค่ภาพหลอน แต่เธอก็กลัว อยู่มาจนอายุ 95 ปีแล้ว ไม่เคยเห็นภาพหลอนมาก่อนเลย แล้วเธอบอก ภาพหลอนนี่ก็ไม่ปะติดปะต่อเลย ไม่เกี่ยวว่ากำลังคิดอะไร รู้สึกยังไงทำอะไร บทจะมา มันก็มาของมันเอง บทจะไปก็ไป เธอควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แล้วเธอก็ไม่รู้จัก คน หรือสถานที่ต่างๆ ที่เห็นในภาพหลอนเลยสักนิด จะคนหรือสัตว์อะไรก็ตาม เธอก็ไม่รู้มันโผล่มาจากไหน ได้ยังไง แล้วเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอสงสัยว่าเธอคงจะเป็นบ้า คงเสียสติไปแล้ว
Well, I examined her carefully. She was a bright old lady, perfectly sane. She had no medical problems. She wasn't on any medications which could produce hallucinations. But she was blind. And I then said to her, "I think I know what you have." I said, "There is a special form of visual hallucination which may go with deteriorating vision or blindness. This was originally described," I said, "right back in the 18th century, by a man called Charles Bonnet. And you have Charles Bonnet syndrome. There's nothing wrong with your brain. There's nothing wrong with your mind. You have Charles Bonnet syndrome."
ผมตรวจเธออย่างละเอียด เธอเป็นหญิงชราที่ทั้งฉลาด และสติสมประกอบทุกอย่าง ไม่มีโรคประจำตัวอะไร ไม่ได้ใช้ยาอะไรที่อาจจะทำให้เกิดภาพหลอน มีแค่ว่า เธอตาบอด ผมบอกเธอว่า "ผมว่าผมรู้ครับว่าคุณเป็นอะไร" ผมว่า "นี่เป็นภาวะภาพหลอนแบบชนิดพิเศษ ที่พบในคนที่การมองเห็นแย่ลงหรือตาบอด ซึ่งมีคนพูดถึงภาวะนี้ครั้งแรก ไว้ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 18 โดยคนที่ชื่อชาร์ลส์ บอนเน (Charles Bonnet) และคุณเป็น Charles Bonnet syndrome ครับ ไม่มีอะไรผิดปกติทางสมอง ไม่มีอะไรผิดปกติทางจิตด้วย คุณเป็น Charles Bonnet syndrome
And she was very relieved at this, that there was nothing seriously the matter, and also rather curious. She said, "Who is this Charles Bonnet?" She said, "Did he have them himself?" And she said, "Tell all the nurses that I have Charles Bonnet syndrome."
ซึ่งทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก ว่าไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไรทั้งนั้น แต่เธอออกจะอยากรู้ เธอว่า "เออ แล้วใครคือชาร์ลส์ บอนเน" เธอว่า "เขาเป็นเองด้วยรึเปล่า?" เธอบอก "ไปบอกพวกพยาบาลด้วยนะ"
(Laughter)
"ว่าฉันเป็น Charles Bonnet Syndrome"
"I'm not crazy. I'm not demented. I have Charles Bonnet syndrome." Well, so, I did tell the nurses.
(เสียงหัวเราะ) "ฉันไม่ได้บ้า สมองฉันไม่ได้เสื่อม ฉันเป็น Charles Bonnet Syndrome" ผมก็เลยบอกพยาบาลไปตามนั้น
Now this, for me, is a common situation. I work in old-age homes, largely. I see a lot of elderly people who are hearing-impaired or visually impaired. About 10 percent of the hearing-impaired people get musical hallucinations. And about 10 percent of the visually impaired people get visual hallucinations. You don't have to be completely blind, only sufficiently impaired.
ซึ่งผมเจอเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยๆ ครับ ส่วนมากผมทำงานที่บ้านคนชรา ผมเจอคนชราหลายคน ที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน ไม่ก็การมองเห็น ประมาณ 10% ของคนที่มีปัญหาด้านการได้ยิน ได้ยินเสียงเพลงทั้งที่ไม่มีอยู่จริง และประมาณ 10% ของคนที่มีปัญหาการมองเห็น มองเห็นอะไรที่ไม่มีอยู่จริง ไม่ต้องถึงขั้นตาบอดสนิท แค่ผิดปกติประมาณหนึ่งก็พบได้
Now, with the original description in the 18th century, Charles Bonnet did not have them. His grandfather had these hallucinations. His grandfather was a magistrate, an elderly man. He'd had cataract surgery. His vision was pretty poor. And in 1759, he described to his grandson various things he was seeing.
ตามคำบรรยายแรกที่บันทึกไว้ช่วงศตวรรษที่ 18 ชาร์ลส์ บอนเนไม่ได้เป็นเองครับ ปู่ของเขาเป็นคนเห็นภาพหลอนพวกนี้ ปู่ของเขาเป็นประมาณผู้พิพากษา อายุเยอะแล้ว เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก การมองเห็นไม่ค่อยจะดีนัก ในปี 1759 เขาเล่าให้หลานชายฟัง ถึงอะไรนู่นนี่ที่เขามองเห็น
The first thing he said was he saw a handkerchief in midair. It was a large blue handkerchief with four orange circles. And he knew it was a hallucination. You don't have handkerchiefs in midair. And then he saw a big wheel in midair. But sometimes he wasn't sure whether he was hallucinating or not, because the hallucinations would fit in the context of the visions. So on one occasion, when his granddaughters were visiting them, he said, "And who are these handsome young men with you?"
อย่างแรกเขาว่าเขาเห็น ผ้าเช็ดหน้าลอยอยู่กลางอากาศ ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่สีฟ้า และวงกลมๆ สีส้มๆ สี่วง แล้วเขาก็รู้ว่ามันเป็นภาพหลอน เป็นไปได้ไง ผ้าเช็ดหน้าลอยกลางอากาศ จากนั้นเขาก็เห็นล้อยักษ์ลอยกลางอากาศ แต่บางที เขาไม่แน่ใจว่า นี่มันใช่ภาพหลอนหรือไม่ใช่กันแน่ เพราะบางทีมันก็เข้ากับ บริบทอะไรอื่นๆ ที่เห็น มีอยู่คราวนึง ตอนที่หลานสาวมาเยี่ยมเขา เขาถาม"พ่อหนุ่มรูปหล่อที่มาด้วยกันเป็นใคร"
(Laughter)
หลานก็บอก "โธ่ คุณปู่คะ มีหนุ่มรูปหล่อซะที่ไหนกัน"
And they said, "Alas, Grandpapa, there are no handsome young men." And then the handsome young men disappeared. It's typical of these hallucinations that they may come in a flash and disappear in a flash. They don't usually fade in and out. They are rather sudden, and they change suddenly.
แล้วพ่อหนุ่มรูปหล่อก็อันตรธานไป มันเป็นเรื่องปกติที่ภาพหลอน จะมาแบบแว่บมาแล้วก็แว่บหายไป มักไม่เป็นแบบค่อยๆ มาค่อยๆ ไป ออกจะค่อนข้างฉับพลัน แล้วก็เปลี่ยนปุปปับด้วย
Charles Lullin, the grandfather, saw hundreds of different figures, different landscapes of all sorts. On one occasion, he saw a man in a bathrobe smoking a pipe, and realized it was himself. That was the only figure he recognized. On one occasion, when he was walking in the streets of Paris, he saw -- this was real -- a scaffolding. But when he got back home, he saw a miniature of the scaffolding, six inches high, on his study table. This repetition of perception is sometimes called "palinopsia."
คุณปู่ชาร์ลส์ ลูแลนด์ (Charles Louland) เห็นนั่นนี่ต่างๆ ไป เป็นร้อยๆ ชิ้น ภาพสถานที่ต่างๆ ทุกรูปแบบ มีคราวหนึ่ง เขาเห็นชายนุ่งผ้าอาบน้ำ สูบไปป์ แล้วก็นึกได้ว่าเป็นตัวเขาเอง นั่นเป็นภาพหลอนหนึ่งเดียวที่เขารู้จัก มีอีกคราวหนึ่ง เขากำลังเดินอยู่บนถนนที่ปารีส เขาเห็นนั่งร้าน ซึ่งอันนี้เห็นจริงๆ พอกลับถึงบ้าน เขาเห็นนั่งร้านแบบจิ๋ว สูงประมาณ 6 นิ้ว อยู่บนโต๊ะทำงานเขา การเห็นภาพซ้ำเช่นนี้ บางทีเราเรียกว่าพาลินอพเซีย (Palinopsia)
With him and with Rosalie, what seems to be going on -- and Rosalie said, "What's going on?" -- and I said that as you lose vision, as the visual parts of the brain are no longer getting any input, they become hyperactive and excitable, and they start to fire spontaneously. And you start to see things. The things you see can be very complicated indeed.
ในกรณีชาร์ลส์ และโรซาลี สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่โรซาลีถามว่า "มันเกิดอะไรขึ้น?" ผมอธิบายว่า เพราะดวงตาของคุณเสียการมองเห็นไป สมองส่วนการมองเห็น เลยไม่ได้รับสัญญาณใดๆ เข้าไป สมองเลยเกิดทำงานมากขึ้น มันตื่นตัวขึ้น แล้วก็เริ่มจะส่งสัญญาณขึ้นมาเอง ทำให้เกิดเห็นเป็นภาพขึ้นมา สิ่งที่เห็นอาจจะเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ
With another patient of mine who also had some vision, the visions she had could be disturbing. On one occasion, she said she saw a man in a striped shirt in a restaurant. And he turned round, and then he divided into six figures in striped shirts, who started walking towards her. And then the six figures came together, like a concertina. Once, when she was driving, or rather, her husband was driving, the road divided into four and she felt herself going simultaneously up four roads.
เช่นคนไข้ของผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็มีปัญหาการมองเห็นเช่นกัน สิ่งที่เธอเห็น ค่อนข้างจะรบกวนใจเธอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอว่า เธอเห็นชายใส่เสื้อลายทางอยู่ในภัตตาคาร แล้วเขาก็หันมา แล้วก็แยกร่างออกเป็นหกร่าง แล้วก็เดินรี่เข้ามาหาเธอ ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว แล้วหกส่วนก็เข้ามารวมร่างกันใหม่ มีครั้งหนึ่ง เธอกำลังขับรถ จริงๆ คือ สามีเธอกำลังขับรถอยู่ อยู่ดีๆ ถนนก็แยกเป็นสี่แฉก แล้วเหมือนเธอกำลังวิ่งอยู่บนสี่ถนนพร้อมๆ กัน
She had very mobile hallucinations as well. A lot of them had to do with a car. Sometimes she would see a teenage boy sitting on the hood of the car. He was very tenacious, and he moved rather gracefully when the car turned. And then when they came to a stop, the boy would do a sudden vertical takeoff, 100 foot in the air, and then disappear.
ภาพหลอนของเธอค่อนข้างเป็นแบบเคลื่อนไหวได้ ส่วนมากมักจะไปเกี่ยวอะไรสักอย่างกับรถ บางทีเธอจะเห็นเด็กหนุ่ม นั่งอยู่บนกระโปรงหน้ารถ ท่าทางเอาเรื่อง และเอนตัวตามรถได้อย่างเนียนเลย เวลารถเลี้ยว แล้วพอหยุดรถ เด็กนั่นก็กระโดดพุ่งขึ้นฟ้าสูงเป็นร้อยฟุต แล้วก็หายไปเลย
Another patient of mine had a different sort of hallucination. This was a woman who didn't have trouble with her eyes but the visual parts of her brain, a little tumor in the occipital cortex. And, above all, she would see cartoons. And these cartoons would be transparent, and would cover half the visual field, like a screen. And especially, she saw cartoons of Kermit the Frog.
คนไข้ผมอีกคนมีภาพหลอนแบบอื่น คนนี้ไม่มีปัญหาที่ตา แต่เป็นที่สมองส่วนการมองเห็น มีเนื้องอกอยู่ตรงนั้น เรื่องก็คือ เธอเห็นภาพการ์ตูน แล้วภาพการ์ตูนเนี่ยมันโปร่งใส อยู่แค่ครึ่งเดียวของลานสายตา เหมือนเป็นจอ โดยเฉพาะ กบเขียวเคอร์มิต (Kermit) นี่ เห็นบ่อยเลย
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Now, I don't watch Sesame Street, but she made a point of saying, "Why Kermit?" she said, "Kermit the Frog means nothing to me." You know, I was wondering about Freudian determinants: Why Kermit? "Kermit the Frog means nothing to me."
ทีนี้ ผมไม่เคยดู Sesame Street แต่เธอพูดประเด็นน่าสนใจ "ทำไมต้องเป็นกบเขียวนี่?" เธอบอก "กบนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยกับฉัน" ผมกำลังคิดอยู่ว่า มันอธิบายด้วย ทฤษฎีของฟรอยด์ (Freud) ได้ไหมนะ ทำไม ทำไมต้องกบเขียว "กบเขียวนี่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับฉันเลย"
She didn't mind the cartoons too much. But what did disturb her was she got very persistent images or hallucinations of faces, and as with Rosalie, the faces were often deformed, with very large teeth or very large eyes. And these frightened her. Well, what is going on with these people? As a physician, I have to try and define what's going on and to reassure people, especially to reassure them that they're not going insane.
เธอไม่ได้สนใจอะไรกับการ์ตูนมากนัก แต่ที่ทำให้เธอรำคาญใจคือ ภาพที่เห็นซ้ำๆ คือภาพหลอนของใบหน้า เหมือนกรณีของโรซาลี หน้าที่เห็นมักจะบิดเบี้ยว ฟันใหญ่เกินไปบ้าง ตาใหญ่เกินไปบ้าง ไอ้นี่แหละที่ทำให้เธอกลัว ทีนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ ในฐานะแพทย์ ผมต้องพยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้พวกเขาสบายใจ โดยเฉพาะให้ความมั่นใจว่า เขาไม่ได้เป็นบ้า
Something like 10 percent, as I said, of visually impaired people get these. But no more than one percent of the people acknowledge them, because they are afraid they will be seen as insane or something. And if they do mention them to their own doctors, they may be misdiagnosed.
อย่างที่ผมบอก ประมาณ 10% ของผู้มีปัญหาด้านการมองเห็นจะพบภาวะนี้ แต่มีไม่ถึง 1% ยอมเล่าให้คนอื่นฟัง เพราะกลัวว่าคนจะหาว่าเป็นบ้าหรืออะไร พอเขาตัดสินใจเล่าให้หมอฟัง เขาก็ถูกวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไปอีก
In particular, the notion is that if you see things or hear things, you're going mad. But the psychotic hallucinations are quite different. Psychotic hallucinations, whether they are visual or vocal, they address you. They accuse you, they seduce you, they humiliate you, they jeer at you. You interact with them. There is none of this quality of being addressed with these Charles Bonnet hallucinations. There is a film. You're seeing a film which has nothing to do with you -- or that's how people think about it.
โดยเฉพาะ เมื่อคุณเห็นนั่นนี่ ได้ยินนู่นนี่ เขาก็จะคิดว่าคุณกำลังเป็นบ้า แต่อาการหลอนที่เกิดในโรคทางจิตเวช จะแตกต่างไป อาการหลอนจากโรคทางจิตเวช จะภาพหรือเสียง มันจะสื่อสารโดยตรง จะมาว่าร้ายคุณ หลอกล่อคุณ มันจะมาทำให้รู้สึกอับอาย จะมาทำโวยวายใส่ แล้วคุณก็จะมีปฏิกริยาตอบสนองมัน แต่เราจะไม่พบลักษณะที่ว่าไปเหล่านี้ ในภาพหลอนแบบ Charles Bonnet syndrome มันจะเป็นเหมือนหนัง คุณแค่เข้าไปดูหนัง ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ เหมือนคนทั่วไปที่ดูหนังคิดอย่างนั้น
There is also a rare thing called temporal lobe epilepsy, and sometimes, if one has this, one may feel oneself transported back to a time and place in the past. You're at a particular road junction. You smell chestnuts roasting. You hear the traffic. All the senses are involved. And you're waiting for your girl. And it's that Tuesday evening back in 1982. The temporal lobe hallucinations are all sense hallucinations, full of feeling, full of familiarity, located in space and time, coherent, dramatic. The Charles Bonnet ones are quite different.
อีกโรคคือโรคลมชักจากสมองส่วน temporal ซึ่งหาได้ยาก บางครั้งใครที่เป็นโรคนี้ อาจจะรู้สึกคล้ายกับตัวเองย้อนกลับไป ในเวลาหรือสถานที่ในอดีต อาจจะเป็นทางแยกสักแห่งในอดีต อาจจะได้กลิ่นคั่วเกาลัด ได้ยินเสียงรถราจราจร กระทบไปหมดทุกประสาทสัมผัส คุณอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังรอแฟน ในเย็นวันอังคารวันหนึ่งของปี 1982 อาการหลอนที่เกิดจากสมองส่วน temporal นี้ จะเกิดกับทุกประสาทสัมผัส เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก เปี่ยมไปด้วยความคุ้นเคย ในช่วงเวลาและสถานที่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง เชื่อมโยงเป็นเรื่องเป็นราว ชัดเจนราวกับเป็นจริง แต่กรณี Charles Bonnet ไม่ได้เป็นแบบนั้น
In the Charles Bonnet hallucinations, you have all sorts of levels, from the geometrical hallucinations -- the pink and blue squares the woman had -- up to quite elaborate hallucinations with figures and especially faces. Faces, and sometimes deformed faces, are the single commonest thing in these hallucinations. And one of the second commonest is cartoons.
ภาพหลอนแบบ Charles Bonnet อาจจะเป็นได้หลายระดับ ตั้งแต่เห็นเป็นแค่รูปทรงเรขาคณิตพื้นฐาน เช่น สี่เหลื่ยมจัตุรัสสีชมพู สีน้ำเงิน แบบที่หญิงชราเห็น ไปจนถึงแบบที่มีรายละเอียด เป็นตัวเป็นตน โดยเฉพาะกับส่วนใบหน้า ใบหน้า ซึ่งบางทีเป็นแบบบิดเบี้ยวด้วย เป็นอย่างเดียวที่คนไข้มักเห็นเหมือนๆ กัน ในภาพหลอนชนิดนี้ ส่วนอันดับรองลงมาคือ ภาพการ์ตูน
So, what is going on? Fascinatingly, in the last few years, it's been possible to do functional brain imagery, to do fMRI on people as they are hallucinating, and, in fact, to find that different parts of the visual brain are activated as they are hallucinating. When people have these simple, geometrical hallucinations, the primary visual cortex is activated. This is the part of the brain which perceives edges and patterns. You don't form images with your primary visual cortex.
แล้วจะอธิบายยังไง? น่าสนใจว่า ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เราสามารถถ่ายภาพการทำงานของสมอง ด้วยการทำ fMRI คนเหล่านั้น ขณะที่กำลังเห็นภาพหลอน แล้วพบว่าสมองส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการมองเห็น ถูกกระตุ้นขณะที่เห็นภาพหลอน เช่นในคนที่เห็นเป็นแค่รูปทรงพื้นฐาน ก็พบว่าสมองส่วนด้านหลังสุดถูกกระตุ้น ส่วนที่เวลาปกติมันจะตอบสนอง ตอนเราเห็นขอบมุมหรือลักษณะของพื้นผิว คุณยังไม่ได้สร้างภาพเป็นรูปร่าง ที่สมองส่วนการมองเห็นขั้นต้นนี้
When images are formed, a higher part of the visual cortex is involved, in the temporal lobe. And in particular, one area of the temporal lobe is called the fusiform gyrus. And it's known that if people have damage in the fusiform gyrus, they may lose the ability to recognize faces. But if there's an abnormal activity in the fusiform gyrus, they may hallucinate faces, and this is exactly what you find in some of these people. There is an area in the anterior part of this gyrus where teeth and eyes are represented, and that part of the gyrus is activated when people get the deformed hallucinations.
แต่จะไปประกอบกัน ที่สมองส่วนการมองเห็นในลำดับขั้นสูงต่อๆ ไป คือ สมองส่วน temporal โดยเฉพาะบริเวณเฉพาะแห่งหนึ่ง ที่เรียกว่า fusiform gyrus เป็นที่ทราบกันว่า ถ้าสมองบริเวณนี้เสียหาย เวลาเห็นหน้าแล้วก็จะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร พอ fusiform gyrus เกิดทำงานแบบผิดปกติ อาจจะทำให้เห็นภาพหลอนเป็นใบหน้า ซึ่งเราก็พบว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ในบางราย ส่วนด้านหน้าของ gyrus นี้ คือบริเวณที่ ประมวลผลภาพของฟันและดวงตา ซึ่งพบว่า บริเวณนี้ทำงานมากเป็นพิเศษ ในตอนที่คนเห็นภาพหลอนเป็นหน้าบิดเบี้ยว
There is another part of the brain which is especially activated when one sees cartoons. It's activated when one recognizes cartoons, when one draws cartoons and when one hallucinates them. It's very interesting that that should be specific. There are other parts of the brain which are specifically involved with the recognition and hallucination of buildings and landscapes.
นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนของสมอง ที่ทำงานมากเป็นพิเศษ เวลาเราดูการ์ตูน หรือตอนที่เราเห็นการ์ตูนแล้วจำได้ หรือตอนที่วาดการ์ตูน และเห็นภาพหลอนเป็นการ์ตูน น่าสนใจว่า มันจะจำเพาะอะไรขนาดนั้น ยังมีสมองบางส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นพิเศษ กับการจำได้หรือการเห็นภาพหลอน
Around 1970, it was found that there were not only parts of the brain,
ของตึกรามบ้านช่องและภาพวิวทิวทัศน์
but particular cells. "Face cells" were discovered around 1970. And now we know that there are hundreds of other sorts of cells, which can be very, very specific. So you may not only have "car" cells, you may have "Aston Martin" cells.
ในปี 1970 เราพบว่า ไม่ได้มีแค่ สมองบางส่วนเท่านั้นที่ทำหน้าที่เฉพาะ แต่จะมีกลุ่มเซลล์ที่ประมวลผลเฉพาะบางอย่าง เซลล์จำเพาะกับใบหน้า พบราวปี 1970 แล้วตอนนี้ เราพบว่ามีเซลล์เฉพาะทางอีกเป็นร้อยๆ ชนิด ซึ่งอาจจะจำเพาะมากๆๆๆ เช่นว่า เราอาจจะไม่ได้มีแค่ เซลล์จำเพาะต่อรถยนต์ แต่มีเซลล์สำหรับรับรู้รถ Aston Martin
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
I saw an Aston Martin this morning. I had to bring it in.
นี่ผมเห็น Aston Martin เมื่อเช้านี้
(Laughter)
เลยต้องพูดถึงซะหน่อย
And now it's in there, somewhere. So --
ตอนนี้เลยถูกเก็บไว้ในนี้ละ ที่ไหนสักแห่ง (เสียงหัวเราะ)
(Laughter)
พอมาถึงระดับนี้แล้ว ในสมองส่วน inferotemporal
now, at this level, in what's called the inferotemporal cortex, there are only visual images, or figments or fragments. It's only at higher levels that the other senses join in and there are connections with memory and emotion. And in the Charles Bonnet syndrome, you don't go to those higher levels. You're in these levels of inferior visual cortex, where you have thousands and tens of thousands and millions of images, or figments or fragmentary figments, all neurally encoded in particular cells or small clusters of cells.
จะเป็นระดับที่ประกอบกันขึ้นเป็นภาพแล้ว หรือเป็นเศษเสี้ยว หรือ ชิ้นส่วนของภาพ ต้องในระดับที่ซับซ้อนขึ้นนี้เท่านั้น ที่ประสาทสัมผัสต่างๆ จะเริ่มมารวมกัน แล้วเชื่อมต่อกับความทรงจำและอารมณ์ ซึ่งใน Charles Bonnet syndrome จะไม่เชื่อมต่อไปไกลถึงระดับนั้น จะอยู่เพียงระดับของสมองส่วน inferior visual cortex ที่ซึ่งเต็มไปด้วยภาพหลายพันหลายหมื่น หลายล้านภาพ หรือส่วนย่อยของภาพ หรือเศษของส่วนย่อยของภาพ ทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ ในเซล์ หรือกลุ่มเซลล์สมองเล็กๆ เฉพาะด้านนั้นๆ
Normally, these are all part of the integrated stream of perception, or imagination, and one is not conscious of them. It is only if one is visually impaired or blind that the process is interrupted. And instead of getting normal perception, you're getting an anarchic, convulsive stimulation, or release, of all of these visual cells in the inferotemporal cortex. So, suddenly, you see a face. Suddenly, you see a car. Suddenly this and suddenly that. The mind does its best to organize and to give some sort of coherence to this, but not terribly successfully.
ปกติแล้ว ทุกๆ ส่วน คือส่วนหนึ่งของ กระบวนการแบบองค์รวมเพื่อการรับรู้โลกภายนอก หรือจินตนาการโลกภายใน ซึ่งเราไม่รู้สึกตัวหรอก ว่ามีกระบวนการนี้เกิดขึ้น เว้นแต่ถ้าเกิดมีปัญหาด้านการมองเห็นขึ้น เมื่อกระบวนการนั้นถูกรบกวน แทนที่จะเกิดเป็นการรับรู้ตามปกติ จะกลายเป็นความสับสนอลหม่าน ควบคุมไม่ได้ เกิดการกระตุ้นหรือปลดปล่อย ของกลุ่มเซลล์ด้านการมองเห็นเหล่านี้ ในสมองส่วน inferotemporal อยู่ๆ ก็เห็นเป็นภาพหน้า อยู่ๆ ก็เป็นภาพรถ อยู่ๆ ก็เห็นนู่น อยู่ๆ ก็เห็นนี่ สมองของเราก็จะพยายามจัดการกับข้อมูลเต็มที่ ให้สอดรับกับความเป็นไปได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
When these were first described, it was thought that they could be interpreted like dreams. But, in fact, people say, "I don't recognize the people. I can't form any associations. Kermit means nothing to me." You don't get anywhere, thinking of them as dreams.
ในช่วงที่ค้นพบปรากฏการณ์นี้แรกๆ คนคิดกันว่า มันอาจจะเป็นอะไรคล้ายๆ กับความฝัน แต่เอาจริงๆ คนบอกว่า "ฉันไม่รู้จักคนพวกนั้น ฉันไม่เห็นความเกี่ยวข้องอะไรเลย" "กบเคอร์มิตไม่เห็นจะมีความหมายอะไรกับฉัน" จะว่าเป็นความฝัน ก็คงเห็นจะไม่เข้าที
Well, I've more or less said what I wanted. I think I just want to recapitulate and say this is common. Think of the number of blind people. There must be hundreds of thousands of blind people who have these hallucinations but are too scared to mention them. So this sort of thing needs to be brought into notice, for patients, for doctors, for the public. Finally, I think they are infinitely interesting and valuable, for giving one some insight as to how the brain works.
ผมว่าผมได้พูดสิ่งที่อยากจะบอก ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว ผมแค่จะขอย้ำว่า นี่เป็นอะไรที่พบได้บ่อย ลองนึกว่ามีคนที่มีปัญหาด้านสายตามากแค่ไหน ผมว่าต้องมีถึงหลักแสนคน ที่เห็นภาพหลอนนี้ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถึง เรื่องนี้ก็เลยจำเป็นที่จะต้อง นำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ ให้คนเป็นหมอได้รู้ ให้คนทั่วไปได้ทราบ ท้ายที่สุด ผมว่าเรื่องนี้ น่าสนใจและมีความหมายอย่างยิ่ง ในแง่ที่ช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของสมอง
Charles Bonnet said, 250 years ago -- he wondered how, thinking of these hallucinations, how, as he put it, the theater of the mind could be generated by the machinery of the brain. Now, 250 years later, I think we're beginning to glimpse how this is done. Thanks very much.
ชาร์ลส์ บอนเนพูดไว้เมื่อ 250 ปีก่อน เขาสงสัยว่าภาพเหล่านี้เกิดขึ้นได้ยังไง สิ่งที่เขาเรียกว่า 'โรงมหรสพทางวิญญาณ' ถูกสร้างขึ้นจากการทำงานของสมองได้อย่างไร ณ ตอนนี้ 250 ปีให้หลัง ผมว่าเราเริ่มที่จะเข้าใจนิดๆ แล้วว่า สมองทำได้ยังไง ขอบคุณมากครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Chris Anderson: That was superb. Thank you so much. You speak about these things with so much insight and empathy for your patients. Have you yourself experienced any of the syndromes you write about?
คริส แอนเดอร์สัน : สุดยอดมากครับ ขอบคุณมาก คุณเล่าเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งมากๆ แล้วดูจะเข้าใจความรู้สึกคนไข้มากๆ ตัวคุณเองเคยมีอาการนี้เองไหมครับ
Oliver Sacks: I was afraid you would ask that.
โอลิเวอร์ แซคส์: ผมกำลังกลัวว่าคุณจะถามอยู่เลยครับ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Well, yeah, a lot of them. And, actually, I'm a little visually impaired myself. I'm blind in one eye and not terribly good in the other. And I see the geometrical hallucinations. But they stop there.
ใช่ครับ เห็นหลายอย่างเหมือนกัน จริงๆ ผมก็มีปัญหาการมองเห็นเล็กน้อยด้วย ตาข้างหนึ่งผมบอด อีกข้างก็ไม่ค่อยจะดี ผมเห็นภาพหลอนเป็นแบบรูปทรงพื้นฐาน แต่ไม่มากไปกว่านั้น
CA: And they don't disturb you? Because you understand what's doing it, it doesn't make you worried?
คริส: แต่มันไม่รบกวนคุณใช่ไหมครับ เพราะคุณก็เข้าใจว่ามันคืออะไร คงไม่กังวล
OS: Well, they don't disturb me any more than my tinnitus, which I ignore. They occasionally interest me, and I have many pictures of them in my notebooks. I've gone and had an fMRI myself, to see how my visual cortex is ticking over. And when I see all these hexagons and complex things, which I also have, in visual migraine, I wonder whether everyone sees things like this and whether things like cave art or ornamental art may have been derived from them a bit.
โอลิเวอร์: มันไม่ได้กวนผมมากไปกว่า เสียงในหูผมหรอกครับ ซึ่งผมก็ช่างมัน บางคราวมันก็น่าสนใจเหมือนกัน แล้วผมก็มีรูปมันเยอะเลยในสมุดโน๊ตผม ผมไปทำ fMRI ตัวเองมาด้วย อยากรู้ว่าสมองส่วนมองเห็นผมทำอะไรอยู่ แล้วตอนที่ผมเห็นพวกรูปหกเหลี่ยม และอะไรซับซ้อนๆ ซึ่งผมก็เห็นเหมือนกัน ตอนเป็นไมเกรน ผมอยากรู้ว่า คนอื่นเขาเห็นอย่างที่ผมเห็นไหม และอาจจะเป็นได้ว่า พวกจิตรกรรมผนังถ้ำหรือเครื่องประดับ อาจประยุกต์มาจากภาพพวกนี้หรือเปล่า
CA: That was an utterly, utterly fascinating talk. Thank you so much for sharing.
คริส: เป็นการพูดที่ช่างน่าประทับใจ สุดจะบรรยายจริงๆ ครับ ขอบคุณที่มาร่วมแบ่งปันครับ
OS: Thank you. Thank you.
โอลิเวอร์: ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)