Let's pretend right here we have a machine. A big machine, a cool, TED-ish machine, and it's a time machine. And everyone in this room has to get into it. And you can go backwards, you can go forwards; you cannot stay where you are. And I wonder what you'd choose, because I've been asking my friends this question a lot lately and they all want to go back. I don't know. They want to go back before there were automobiles or Twitter or "American Idol." I don't know. I'm convinced that there's some sort of pull to nostalgia, to wishful thinking. And I understand that.
ลองสมมติว่าเรามีเครื่องจักรอยู่ตรงนี้นะครับ เครื่องจักรใหญ่ เจ๋ง สไตล์ TED และมันเป็นเครื่องข้ามเวลา และทุกคนในห้องนี้จะต้องเข้าไปในนั้น และคุณสามารถเลือกได้ว่าคุณจะไปอดีต หรืออนาคต คุณไม่สามารถจะอยู่ในที่ที่คุณอยู่ตอนนี้ได้ และผมสงสัยว่าคุณจะเลือกอะไร เพราะเมื่อเร็วๆนี้ ผมเที่ยวถามเพื่อนๆของผม ด้วยคำถามนี้ และทุกคนล้วนอยากจะกลับไปยังอดีต ไม่รู้สิ พวกเขาอยากจะกลับไปก่อนหน้าที่มันจะมีรถยนต์ หรือ ทวิตเตอร์ หรือ "อเมริกัน ไอดอล" ไม่รู้สินะ ผมเชื่อว่า มันมีแรงดึง สู่ความคิดโหยหาและปรารถนา และผมเข้าใจมันนะ
I'm not part of that crowd, I have to say. I don't want to go back, and it's not because I'm adventurous. It's because possibilities on this planet, they don't go back, they go forward. So I want to get in the machine, and I want to go forward. This is the greatest time there's ever been on this planet by any measure that you wish to choose: health, wealth, mobility, opportunity, declining rates of disease ... There's never been a time like this. My great-grandparents died, all of them, by the time they were 60. My grandparents pushed that number to 70. My parents are closing in on 80. So there better be a nine at the beginning of my death number. But it's not even about people like us, because this is a bigger deal than that.
แต่ผมคงต้องบอกว่า ผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งของฝูงชนนั้น ผมไม่อยากกลับไป และไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกชอบผจญภัย มันเป็นเพราะความเป็นไปได้บนโลกใบนี้ต่างหาก เจ้าความเป็นไปได้พวกนี้มันไม่ย้อนคืน มันไปข้างหน้า ดังนั้น ผมอยากจะเข้าไปในเครื่องนี้ แล้วเดินทางไปสู่อนาคตข้างหน้า นี่เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีมาบนโลกใบนี้ ด้วยวิธีการวัดแบบไหนก็ได้ที่คุณอยากจะใช้ สุขภาพ ความมั่งคั่ง ความคล่องตัว โอกาส การลดลงของอัตราการเกิดโรค มันไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เป็นแบบนี้มาก่อน รุ่นทวดๆของผมทั้งหมดตาย ทุกคนเลย ในช่วงอายุประมาณ 60 ปู่ย่าตายายของผมอยู่ได้ถึง 70 พ่อแม่ของผมกำลังแตะ 80 เพราะงั้น มันก็น่าจะ มีเลข 9 ข้างหน้าอายุตอนตายของผมนะ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับคนอย่างพวกเราเลย เพราะว่ามันสำคัญไปกว่านั้น
A kid born in New Delhi today can expect to live as long as the richest man in the world did 100 years ago. Think about that, it's an incredible fact. And why is it true? Smallpox. Smallpox killed billions of people on this planet. It reshaped the demography of the globe in a way that no war ever has. It's gone. It's vanished. We vanquished it. Puff. In the rich world, diseases that threatened millions of us just a generation ago no longer exist, hardly. Diphtheria, rubella, polio ... does anyone even know what those things are? Vaccines, modern medicine, our ability to feed billions of people, those are triumphs of the scientific method. And to my mind, the scientific method -- trying stuff out, seeing if it works, changing it when it doesn't -- is one of the great accomplishments of humanity.
เด็กที่เกิดในกรุงนิวเดลีวันนี้ น่าจะมีอายุได้ยืนยาว พอๆกับคนที่รวยที่สุดในโลกเมื่อร้อยปีก่อน ลองคิดดูสิครับ มันเป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่อ และทำไมมันถึงเป็นจริงหรอครับ ไข้ทรพิษครับ มันคร่าชีวิตคนบนโลกนี้ ไปหลายพันล้าน มันได้เปลี่ยนรูปแบบประชากรของโลกใบนี้ ในรูปแบบที่ไม่มีสงครามไหนเคยทำ มันไปแล้วครับ หายวับไปเลย เราพิชิตมันครับ ฟู่ ในโลกที่อุดมสมบูรณ์ เชื้อโรคที่เคยคุกคามชีวิตนับล้าน เมื่อไม่กี่ชั่วคนก่อน ก็ไม่มีปรากฎให้เห็น แทบจะไม่มีเลย คอตีบ หัดเยอรมัน โปลิโอ มีใครเคยรู้บ้างไหมครับว่าพวกมันคืออะไร วัคซีน การแพทย์อันทันสมัย ศักยภาพของเราที่เลี้ยงคนได้เป็นพันๆล้าน พวกมันคือชัยชนะของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และในความเห็นของผม กระบวนการทางวิทยาศาตร์นั้น ทดลองสิ่งต่างๆ ดูซิว่ามันใช้งานได้ไหม เปลี่ยนแปลงมันเมื่อมันใช้ไม่ได้ นี่มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ
So that's the good news. Unfortunately, that's all the good news because there are some other problems, and they've been mentioned many times. And one of them is that despite all our accomplishments, a billion people go to bed hungry in this world every day. That number's rising, and it's rising really rapidly, and it's disgraceful. And not only that, we've used our imagination to thoroughly trash this globe. Potable water, arable land, rainforests, oil, gas: they're going away, and they're going away soon, and unless we innovate our way out of this mess, we're going away too.
ดังนั้น นั่นเป็นข่าวดีครับ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ข่าวพวกนี้เป็นข่าวดีทั้งนั้น เพราะว่ามันยังมีปัญหาอย่างอื่น และพวกมันถูกกล่าวขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และหนึ่งในนั้นก็คือ แม้ว่าด้วยความสำเร็จที่มีทั้งหมดของเรา คนเป็นพันล้านในโลกนี้ ก็ยังหิวโหย ทุกวัน จำนวนนั้นกำลังเพิ่มขึ้น และมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมันก็น่าอดสู และไม่ใช่เพียงเท่านั้น พวกเราใช้จินตนการของเรา เพื่อที่จะทำให้โลกนี้ทั้งใบกลายเป็นขยะ การขนส่งน้ำ พื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ป่าฝน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ พวกมันกำลังจะสูญไปในเร็วๆนี้ และเว้นเสียแต่ว่า เราจะปรับเปลี่ยนวิถีของเราออกจากสภาวะที่เละเทะนี้ พวกเราคงสิ้นไปด้วย
So the question is: Can we do that? And I think we can. I think it's clear that we can make food that will feed billions of people without raping the land that they live on. I think we can power this world with energy that doesn't also destroy it. I really do believe that, and, no, it ain't wishful thinking. But here's the thing that keeps me up at night -- one of the things that keeps me up at night: We've never needed progress in science more than we need it right now. Never. And we've also never been in a position to deploy it properly in the way that we can today. We're on the verge of amazing, amazing events in many fields, and yet I actually think we'd have to go back hundreds, 300 years, before the Enlightenment, to find a time when we battled progress, when we fought about these things more vigorously, on more fronts, than we do now.
ดังนั้น คำถามก็คือ เราจะทำได้ไหม และผมคิดว่าได้ ผมคิดว่ามันชัดเจน ว่าเราสามารถผลิตอาหาร ที่จะเลี้ยงคนได้นับพันล้าน โดยไม่ต้องทำร้ายแผ่นดินที่พวกเขาอาศัย ผมคิดว่า เราสามารถขับเคลือนโลกนี้ด้วยพลังงาน ที่ไม่ได้ทำลายล้างมันไปด้วย ผมเชื่อจริงๆ และนี่มันไม่ใช่แค่ความหวังลมๆแล้งๆนะครับ แต่นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งตืนขึ้นยามดึก สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมต้องครุ่นคิด เราไม่เคยต้องการความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ มากไปกว่าที่เราต้องการในขณะนี้เลย ไม่จริงๆ และพวกเรา ก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ ที่จะจัดเรียงการใช้มันอย่างเหมาะสม ดั่งเช่นในวันนี้เลย เราได้มาถึงสุดของของความน่าทึ่ง ความน่าอัศจรรย์ในหลายแวดวง และถึงอย่างนั้น ผมคิดว่า จริงๆแล้วเราควรที่จะกลับไปยัง 300 ปี ก่อนยุคเรืองปัญญา เพื่อจะไปหายุคที่เราดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้า ยุคที่เราสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ อย่างดุเดือดดุดัน กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้
People wrap themselves in their beliefs, and they do it so tightly that you can't set them free. Not even the truth will set them free. And, listen, everyone's entitled to their opinion; they're even entitled to their opinion about progress. But you know what you're not entitled to? You're not entitled to your own facts. Sorry, you're not. And this took me awhile to figure out.
คนเราห่อหุ้มตัวเองไว้ในความเชื่อ และพวกเขาก็กอดรัดมันเอาไว้แน่น จนคุณก็ไม่อาจปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แม้ด้วยความจริง ก็ไม่อาจทำให้เขาเป็นอิสระได้ และ ฟังนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์ในความเห็นของพวกเขา พวกเขามีสิทธิ์ที่จะมีความคิดเห็นต่อความก้าวหน้า แต่คุณรู้ไหม ว่าอะไรที่คุณไม่มีสิทธิ์จะทำ? คุณไม่มีสิทธิ์จะอุปโลกความจริงขึ้นมาเอง ขอโทษนะครับ คุณทำแบบนั้นไม่ได้ และมันก็สักพักล่ะครับ กว่าผมจะรู้
About a decade ago, I wrote a story about vaccines for The New Yorker. A little story. And I was amazed to find opposition: opposition to what is, after all, the most effective public health measure in human history. I didn't know what to do, so I just did what I do: I wrote a story and I moved on. And soon after that, I wrote a story about genetically engineered food. Same thing, only bigger. People were going crazy. So I wrote a story about that too, and I couldn't understand why people thought this was "Frankenfoods," why they thought moving molecules around in a specific, rather than a haphazard way, was trespassing on nature's ground. But, you know, I do what I do. I wrote the story, I moved on. I mean, I'm a journalist. We type, we file, we go to dinner. It's fine.
ประมาณสิบปีก่อน ผมเขียนบทความเรื่องวัคซีน สำหรับหนังสือพิมพ์นิวยอร์คเกอร์ (The New Yorker) เป็นบทความสั้นๆ และผมก็แปลกใจที่พบว่ามีคนต่อต้าน กับสิ่งที่ จะว่าไปแล้วนั้น เป็นตัววัดประสิทธิภาพในวงการสาธารณสุขที่ดีที่สุด เท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ผมก็เลยทำสิ่งที่ผมทำ เขียนบทความ แล้วก็ปล่อยผ่าน ไม่ได้สนใจมัน และหลังจากนั้นไม่นาน ผมเขียนบทความเกี่ยวกับอาหาร ที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม เรื่องประมาณเดียวกัน แต่ใหญ่กว่า ผู้คนก็เป็นบ้ากันไปใหญ่ ผมก็เลยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนั้นเหมือนกัน และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คนถึงคิดว่ามันเป็น "อาหารตัวประหลาด" ทำไมพวกเขาคิดว่า การย้ายโมเลกุลไปตรงนู้นตรงนี้ ในทางที่จำเพาะ แทนที่จะทำแบบตามบุญตามกรรม มันล่วงล้ำความเป็นปกติของธรรมชาติ แต่ว่า ผมก็ทำอย่างที่ผมทำ เขียนบทความ แล้วก็ไม่สนใจ ก็ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์หนิครับ พวกเราพิมพ์ๆ จัดเก็บ ไปกินข้าว ไม่เดือดร้อน
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
But these stories bothered me, and I couldn't figure out why, and eventually I did. And that's because those fanatics that were driving me crazy weren't actually fanatics at all. They were thoughtful people, educated people, decent people. They were exactly like the people in this room. And it just disturbed me so much. But then I thought, you know, let's be honest. We're at a point in this world where we don't have the same relationship to progress that we used to. We talk about it ambivalently. We talk about it in ironic terms with little quotes around it: "progress." Okay, there are reasons for that, and I think we know what those reasons are. We've lost faith in institutions, in authority, and sometimes in science itself, and there's no reason we shouldn't have. You can just say a few names and people will understand. Chernobyl, Bhopal, the Challenger, Vioxx, weapons of mass destruction, hanging chads. You know, you can choose your list. There are questions and problems with the people we used to believe were always right, so be skeptical. Ask questions, demand proof, demand evidence. Don't take anything for granted. But here's the thing: When you get proof, you need to accept the proof, and we're not that good at doing that. And the reason that I can say that is because we're now in an epidemic of fear like one I've never seen and hope never to see again.
แต่เรื่องพวกนี้มันกวนใจผม และผมก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าทำไม และในที่สุดผมก็ได้รู้ และเพราะว่าพวกที่คลั่งใคล้อะไรทั้งหลาย พวกนั้นที่ทำผมแทบบ้า จริงๆแล้วไม่ได้เป็นพวกคลั่งใคล้อะไรหรอกครับ พวกเขาเป็นคนที่ช่างครุ่นคิดไตร่ตรอง มีความรู้ น่านับถือ พวกเขาเหมือนกับคนในห้องนี้นั่นแหละครับ และมันก็ทำให้ผมรำคาญเหลือเกิน แต่เมื่อผมคิดดู เอาแบบตรงไปตรงมานะครับ พวกเรามายังจุดหนึ่ง ที่พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ กับความก้าวหน้าแต่อย่างเก่าก่อน เราพูดถึงมันอย่างลังเล เราพูดถึงมันในเชิงเหน็บแนม ใส่เครื่องหมายอัญประกาศไว้แบบว่า "ก้าวหน้า" เอาล่ะ มันก็มีเหตุผลล่ะครับ และผมคิดว่าเรารู้ว่าเหตุผลคืออะไร เราเสียศรัทธาที่มีต่อสถาบัน ต่ออำนาจรัฐ หรือแม้กระทั่ง ต่อตัววิทยาศาสตร์เอง และมันก็ไม่แปลกที่เราจะเป็นแบบนั้น ลองเอ่ยมาสองสามชื่อสิครับ และคนจะเข้าใจ โรงไฟฟ้าเชียร์โนบิล (Chernobyl) โรงงานที่โบปาล (Bhopal) ยานอวกาศแชเลนเจอร์ (Challenger) ยาแก้ปวดไวอ๊อกซ์ (Vioxx) อาวุธสำหรับการกวาดทำลาย ปัญหาเรื่องบัตรเลือกตั้งแบบเจาะรู คุณเลือกรายการของคุณเถอะครับ มันมีทั้งคำถามและปัญหา สำหรับคนที่เราเคยเชื่อว่าพวกเขาทำถูกต้องมาตลอด ดังนั้น จงช่างสงสัยเถอะครับ ถามคำถาม เรียกร้องขอบทพิสูจน์ ถามหาหลักฐาน อย่าปล่อยปะละเลยไป แต่เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคุณได้ข้อพิสูจน์แล้ว คุณต้องยอมรับข้อพิสูจน์ และพวกเราไม่ค่อยเก่งกันเท่าไรครับ สำหรับสิ่งนี้ และเหตุที่ทำให้ผมบอกอย่างนั้นได้ก็เพราะว่า เรากำลังอยู่ในความกลัวที่แพร่ระบาด ดั่งเช่น สิ่งที่ผมไม่เคยพบเจอ และหวังว่าจะไม่เจอมันอีก
About 12 years ago, there was a story published, a horrible story, that linked the epidemic of autism to the measles, mumps and rubella vaccine shot. Very scary. Tons of studies were done to see if this was true. Tons of studies should have been done; it's a serious issue. The data came back. The data came back from the United States, from England, from Sweden, from Canada, and it was all the same: no correlation, no connection, none at all. It doesn't matter. It doesn't matter because we believe anecdotes, we believe what we see, what we think we see, what makes us feel real. We don't believe a bunch of documents from a government official giving us data, and I do understand that, I think we all do. But you know what? The result of that has been disastrous. Disastrous because here's a fact: The United States is one of the only countries in the world where the vaccine rate for measles is going down. That is disgraceful, and we should be ashamed of ourselves. It's horrible. What kind of a thing happened that we could do that?
ประมาณ 12 ปีก่อน มีเรื่องหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ออกมา เรื่องแย่ๆ ที่โยงการแพร่กระจายของโรคออทิซึม เข้ากับการฉีกวัคซีนป้องกัน โรคหัด คางทูม และโรคหัดเยอรมัน น่ากลัวมากครับ มีการศึกษาวิจัยมากมายเพื่อจะดูว่านี่มันจริงหรือเปล่า แน่ล่ะ ควรมีการศึกษาวิจัยมากๆ เพราะประเด็นนี่มันคอขาดบาดตาย ผลการศึกษาวิจัยก็กลับออกมา จากสหรัฐอเมริกา จากอังกฤษ จากสวีเดน จากแคนาดา และมันก็เหมือนกันหมดเลยครับ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย ไม่มีสักนิด โอ้ย ไม่เอา ไม่สนหรอก เพราะว่าเราเชื่อในเกร็ดที่เขาเล่าๆกัน เราเชื่อสิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราคิดว่าเราเห็น สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันจริง เราไม่เชื่อเอกสารตั้งนั้นหรอก ที่ประกาศให้ข้อมูลเรา อย่างเป็นทางการจากรัฐบาล และผมก็เข้าใจครับ ผมว่าพวกเราเข้าใจ แต่รู้อะไรไหมครับ ผลลัพท์นั้นเป็นดั่งหายนะ หายนะเพราะความจริงนี่ครับ สหรัฐเอมริการเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดลดลง มันน่าอับอายครับ และเราควรที่จะละอายใจ มันสยองน่าดู มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราทำแบบนั้น
Now, I understand it. I do understand it. Because, did anyone have measles here? Has one person in this audience ever seen someone die of measles? Doesn't happen very much. Doesn't happen in this country at all, but it happened 160,000 times in the world last year. That's a lot of death of measles -- 20 an hour. But since it didn't happen here, we can put it out of our minds, and people like Jenny McCarthy can go around preaching messages of fear and illiteracy from platforms like "Oprah" and "Larry King Live." And they can do it because they don't link causation and correlation. They don't understand that these things seem the same, but they're almost never the same. And it's something we need to learn, and we need to learn it really soon.
เอาล่ะ ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจ เพราะว่า แถวนี้มีใครเป็นหัดไหมครับ มีใครในที่นี้เคยเห็นใครสักคนตายเพราะโรคหัดไหมครับ มันเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก มันไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้เลยด้วยซ้ำ แต่มันเกิดขึ้นมาแล้ว 160,000 ครั้ง ในโลกนี้ ปีที่แล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดช่างมากมาย 20 รายต่อชั่วโมง แต่เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ เราก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันซะก็ได้ และคนอย่าง (นางแบบ) เจนนี่ แมคคาร์ที (Jenny McCarthy) ก็ร่อนสวดไปทั่ว ตามรายการต่างๆ ถึงความกลัวและความไม่รู้หนังสือ เช่น (รายการ) "โอปร่า" (Oprah) และ "ลารี คิง ไลฟ์" (Larry King Live) และพวกเขาทำแบบนี้ได้ เพราะว่า เขาไม่ได้โยงสาเหตุและความเกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน พวกเขาไม่เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้ประหนึ่งจะเหมือนๆกัน แต่พวกมันเกือบจะไม่เคยเป็นเหมือนกันเลย และมันเป็นอะไรบางอย่างที่เราต้องเรียนรู้ และพวกเราต้องเรียนรู้มันให้ทันท่วงที
This guy was a hero, Jonas Salk. He took one of the worst scourges of mankind away from us. No fear, no agony. Polio -- puff, gone. That guy in the middle, not so much. His name is Paul Offit. He just developed a rotavirus vaccine with a bunch of other people. It'll save the lives of 400 to 500,000 kids in the developing world every year. Pretty good, right? Well, it's good, except that Paul goes around talking about vaccines and says how valuable they are and that people ought to just stop the whining. And he actually says it that way. So, Paul's a terrorist. When Paul speaks in a public hearing, he can't testify without armed guards. He gets called at home because people like to tell him that they remember where his kids go to school. And why? Because Paul made a vaccine.
คนคนนี้เป็นวีรบุรุษครับ โจนาส ซอลค์ (Jonas Salk) เขาได้ลากหายนะที่ร้ายแรงที่สุดออกไปจากเรา ไร้ความกลัว ไม่ต้องปวดร้าวทรมาน โปลิโอ ได้จากไปแล้ว คนตรงกลางนี้ ไม่มากเท่าไร เขาคือ พอล ออฟฟิท (Paul Offit) เขาพัฒนาวัคซีนป้องกันเรโทรไวรัส กับคนกลุ่มหนึ่ง มันรักษาชึวิตเด็กๆไว้ได้ 400,000 ถึง 500,000 คน ในประเทศกำลังพัฒนาทุกๆปี ค่อนข้างดีทีเดียวใช่ไหมครับ เอาล่ะ มันดีครับ เว้นแต่ว่า พอล ออกไปพูดเรื่องวัคซีน และบอกว่า มันมีค่าแค่ไหน และคนก็ควรที่จะหยุดครางกันหงิงๆได้แล้ว เขาพูดแบบนั้นจริงๆนะครับ ดังนั้น พอลก็กลายเป็นผู้ก่อการร้าย เมื่อพอลพูดต่อหน้าสาธารณชน เขาไม่สามารถทำได้เลยถ้าไม่มีผู้รักษาความปลอดภัย มีคนโทรไปที่บ้านเขา เพราะว่าผู้คนชอบบอกเขาว่า พวกเขาจำได้นะว่าลูกๆของเขาหน่ะเรียนที่โรงเรียนไหน แล้วนั่นเพราะอะไร เพราะว่าพอลทำวัคซีน
I don't need to say this, but vaccines are essential. You take them away, disease comes back, horrible diseases. And that's happening. We have measles in this country now. And it's getting worse, and pretty soon kids are going to die of it again because it's just a numbers game. And they're not just going to die of measles. What about polio? Let's have that. Why not? A college classmate of mine wrote me a couple weeks ago and said she thought I was a little strident. No one's ever said that before. She wasn't going to vaccinate her kid against polio, no way. Fine. Why? Because we don't have polio. And you know what? We didn't have polio in this country yesterday. Today, I don't know, maybe a guy got on a plane in Lagos this morning, and he's flying to LAX, right now he's over Ohio. And he's going to land in a couple of hours, he's going to rent a car, and he's going to come to Long Beach, and he's going to attend one of these fabulous TED dinners tonight. And he doesn't know that he's infected with a paralytic disease, and we don't either because that's the way the world works. That's the planet we live on. Don't pretend it isn't.
ผมไม่ต้องพูดย้ำก็ได้ แต่ว่าวัคซีนมันจำเป็น ถ้าคุณเอามันออกไป โรคก็กลับมา โรคต่างๆที่น่าสยดสยอง และมันกำลังเกิดขึ้น คุณมีโรคหัดในประเทศนี้แล้วครับ ตอนนี้ และสถาณการณ์ก็กำลังแย่ลง อีกไม่นาน เด็กๆจะตายเพราะมันอีก เพราะว่ามันก็เป็นแค่เกมส์ตัวเลข และพวกเขาจะไม่ได้ตายเพราะโรคหัดเท่านั้น แล้วโปลิโอล่ะ ไหนๆก็ไหนๆละ เพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนมหาลัยกับผม เขียนถึงผมสองสามสัปดาห์ก่อน เธอคิดว่าผมแข็งกร้าวเกินไปหน่อย ไม่มีใครเคยพูดอย่างนี้มาก่อน เธอจะไม่พาลูกๆเธอไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ไม่มีทาง ไม่เป็นไร ทำไมหรอ เพราะว่าเราไม่มีโปลิโอ แล้วคุณรู้อะไรไหม เราไม่มีโปลิโอในประเทศนี้เมื่อวานนี้ วันนี้ จะไปรู้หรอ บางทีใครสักคน บนเครื่องบินในลาโกส (Lagos) เมื่อเช้า บินไปที่ สนามบิน แอลเอ ตอนนี้อยู่เหนือโอไฮโอ และเขากำลังจะลงจากเครื่องในอีกไม่กี่ชั่วโมง เขาจะไปเช่ารถ และเขากำลังจะมาที่ ลอง บีช และเขากำลังจะมาเข้าร่วมทานอาหารค่ำสุดเลิศที่ TED คืนนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าเขาติดเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการเป็นอัมพาตได้ และพวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะว่านั่นเป็นวิถีของโลกนี้ มันคือดาวเคราะห์ที่เราอาศัยอยู่นี้ อย่าได้แสร้งว่ามันไม่ใช่เลยครับ
Now, we love to wrap ourselves in lies. We love to do it. Everyone take their vitamins this morning? Echinacea, a little antioxidant to get you going. I know you did because half of Americans do every day. They take the stuff, and they take alternative medicines, and it doesn't matter how often we find out that they're useless. The data says it all the time. They darken your urine. They almost never do more than that. (Laughter) It's okay, you want to pay 28 billion dollars for dark urine? I'm totally with you. (Laughter) Dark urine. Dark. Why do we do that? Why do we do that? Well, I think I understand, we hate Big Pharma. We hate Big Government. We don't trust the Man. And we shouldn't: Our health care system sucks. It's cruel to millions of people. It's absolutely astonishingly cold and soul-bending to those of us who can even afford it. So we run away from it, and where do we run? We leap into the arms of Big Placebo. (Laughter) That's fantastic. I love Big Placebo. (Applause)
ทีนี้ พวกเราชอบที่จะหุ้มตัวเองไว้ในคำโกหก เราชอบทำอย่างนั้น ทุกคนกินวิตามินมาใช่ไหมครับ เช้านี้ อิชินาเชีย (Echinacea) สารต่อต้านอนุมูลอิสระนิดหน่อย ทำให้คุณเดินหน้าต่อ ผมรู้ว่าคุณกินครับ เพราะว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรสหรัฐ กินกันทุกวัน พวกเขาบริโภคของพวกนี้ และพวกเขารับการรักษาแบบทางเลือก และมันก็ไม่สำคัญว่าบ่อยแค่ไหน ที่เราพบว่ามันไร้ประโยชน์ ผลข้อมูลบอกตลอดเวลาเลยครับ มันทำให้ฉี่คุณสีเข้มขึ้น ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเลยครับ (เสียงหัวเราะ) ไม่เป็นไรครับ คุณอยากจ่ายเงิน 28,000 ล้าน ดอลล่าร์ เพื่อฉี่สีเข้ม ผมเข้าใจคุณครับ (เสียงหัวเราะ) ฉี่สีเข้มๆ ทำไมเราทำแบบนั้น ทำไมครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจ พวกเราเกลียดบริษัทยายักษ์ใหญ่ พวกเราเกลียดรัฐบาล เราไม่ไว้ใจเขา และเราก็ไม่ควรที่จะไว้ใจครับ ระบบการดูแลสุขภาพเรามันห่วยแตก มันช่างโหดร้ายต่อคนเป็นล้านๆ มันเลือดเย็นอย่างน่าประหลาดจริงๆ และขูดเลือดขูดเนื้อพวกเราที่ไม่สามารถจะจ่ายมันไหว เราก็เลยวิ่งหนีมัน แล้วเราจะวิ่งไปไหนครับ เรากระโดดสู่อ้อมกอดของยาหลอกขนานใหญ่ (Big Placebo) (เสียงหัวเราะ) มันสุดยอดครับ ผมชอบครับยาหลอกขนานใหญ่ (เสียงปรบมือ)
But, you know, it's really a serious thing because this stuff is crap, and we spend billions of dollars on it. And I have all sorts of little props here. None of it ... ginkgo, fraud; echinacea, fraud; acai -- I don't even know what that is but we're spending billions of dollars on it -- it's fraud. And you know what? When I say this stuff, people scream at me, and they say, "What do you care? Let people do what they want to do. It makes them feel good." And you know what? You're wrong. Because I don't care if it's the secretary of HHS who's saying, "Hmm, I'm not going to take the evidence of my experts on mammograms," or some cancer quack who wants to treat his patient with coffee enemas. When you start down the road where belief and magic replace evidence and science, you end up in a place you don't want to be. You end up in Thabo Mbeki South Africa. He killed 400,000 of his people by insisting that beetroot, garlic and lemon oil were much more effective than the antiretroviral drugs we know can slow the course of AIDS. Hundreds of thousands of needless deaths in a country that has been plagued worse than any other by this disease. Please, don't tell me there are no consequences to these things. There are. There always are.
แต่คุณรู้ไหมครับ มันเป็นเรื่องเครียดจริงๆนะ เพราะว่าเจ้านี่มันไม่ได้เรื่องเลย และเราก็หมดเงินเป็นพันๆล้านดอลล่าห์ไปกับมัน และผมก็มีตัวอย่างเล็กๆน้อยๆตรงนี้ โสม หลอกลวง อิชินาเชีย หลอกอีก เอไคน์ (acai) เอ่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่เราหมดเงินไปกับมันหลายพันล้านดอลล่าห์ กับของลวงๆพวกนี้ และรู้อะไรไหมครับ เมื่อผมพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ผู้คนก็ตะคอกใส่ผม พวกเขาว่า "จะไปสนทำไม พวกเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาสิ เขาสบายใจก็ช่างเขา" แล้วรู้อะไรไหมครับ คุณคิดผิดครับ เพราะว่า ผมไม่สนใจ ถ้าเลขาธิการหน่วยบริการสุขภาพของสหรัฐ (Health and Human Services) บอกว่า "เออ เราจะไม่สนใจหลักฐาน ของผู้เชี่ยวชาญของเรา ต่อการตรวจเต้านมด้วยเอ็กซเรย์" หรือนักต้มตุ๋นที่อ้างว่าจะรักษาโรคมะเร็งให้คนใช้ได้ โดยใช้วิธีเอากาแฟสวนทวาร เมื่อคุณลองคิดไปข้างหน้า เมื่อความเชื่อและมายา ได้เข้าแทนที่หลักฐานและวิทยาศาสตร์ คุณตกอยู่ในจุดที่คุณไม่อยากที่จะเป็น คุณจะกลายเป็นประธานาธิปดีแห่งแอฟริกาใต้ ธาโบ มเบคี ที่คร่าชีวิตคนของเขาไป 400,000 คน โดยยันยันว่า บีทรูท กระเทียม และน้ำมันจากมะนาว มีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้ยาต้านเรโทรไวรัส ที่เรารู้ว่ามันสามารถชะลอการเกิดโรคเอดส์ได้ คนหลายแสน ที่ไม่น่าจะต้องเสียชีวิต ในประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ ร้ายแรงไปกว่าประเทศใดๆ ได้โปรดเถอะครับ อย่าบอกผมเลย ว่ามันไม่มีผลกระทบที่ตามมาจากสิ่งเหล่านี้ มันมีครับ มีแน่นอน
Now, the most mindless epidemic we're in the middle of right now is this absurd battle between proponents of genetically engineered food and the organic elite. It's an idiotic debate. It has to stop. It's a debate about words, about metaphors. It's ideology, it's not science. Every single thing we eat, every grain of rice, every sprig of parsley, every Brussels sprout has been modified by man. You know, there weren't tangerines in the garden of Eden. There wasn't any cantaloupe. (Laughter) There weren't Christmas trees. We made it all. We made it over the last 11,000 years. And some of it worked, and some of it didn't. We got rid of the stuff that didn't. Now we can do it in a more precise way -- and there are risks, absolutely -- but we can put something like vitamin A into rice, and that stuff can help millions of people, millions of people, prolong their lives. You don't want to do that? I have to say, I don't understand it.
ทีนี้ การแพร่ระบาดที่ไร้สติที่สุด ที่เราอยู่ท่ามกลางมันตอนนี้ ก็คือการสู้รบอันน่าเอื่อมระอา ระหว่างผู้สนับสนุนอาหารที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม กับพวกผู้ดีนิยมของออแกนิกส์ มันเป็นการโต้เถียงกันที่ปัญญาอ่อน มันควรหยุดเสียที มันเป็นการโต้คารมกันเกี่ยวกับคำนิยาม เกี่ยวกับการเปรียบเปรย นั่นมันเป็นเรื่องคตินิยมแล้วครับ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากิน ข้าวทุกเมล็ด ผักชีฝรั่งหั่นฝอย กะหล่ำดาว (Brussels sprout) ทุกหน่อ ถูกดัดแปลงพันธุกรรมโดยมนุษย์มาแล้วทั้งนั้น มันไม่มีส้มเขียวหวานในสวนอีเดน (the garden of Eden) นะครับ ไม่มีแคนตาลูปด้วย (เสียงหัวเราะ) ต้นคริสมาสก็ไม่มี พวกเราทำขึ้นทั้งนั้นครับ เราสร้างมันขึ้นกว่า 11,000 ปีที่ผ่านมา และบางอย่างมันก็ได้ผล บางอย่างมันก็ไม่รอด เราก็โล๊ะพวกที่มันใช้ไม่ได้ทิ้งไป ตอนนี้เราสามารถทำมันในวิธีที่แน่นอนมากขึ้น และมันมีความเสียง แน่นอนล่ะ แต่เราสามารถในอะไรบางอย่างเช่น วิตามินเอ ใส่เข้าไปในข้าว และของเหล่านี้ สามารถช่วยชีวิตคนได้เป็นพันๆ คนอีกเป็นพันๆที่จะมีชีวิตยืนยาวขึ้น คุณไม่อยากทำแบบนั้นหรอครับ ผมต้องขอพูดเลยว่า ผมไม่เข้าใจ
We object to genetically engineered food. Why do we do that? Well, the things I constantly hear are: Too many chemicals, pesticides, hormones, monoculture, we don't want giant fields of the same thing, that's wrong. We don't companies patenting life. We don't want companies owning seeds. And you know what my response to all of that is? Yes, you're right. Let's fix it. It's true, we've got a huge food problem, but this isn't science. This has nothing to do with science. It's law, it's morality, it's patent stuff. You know science isn't a company. It's not a country. It's not even an idea; it's a process. It's a process, and sometimes it works and sometimes it doesn't, but the idea that we should not allow science to do its job because we're afraid, is really very deadening, and it's preventing millions of people from prospering.
พวกเราปฎิเสธอาหารที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม ทำไมเราทำแบบนั้น เอาล่ะ สิ่งที่ผมได้ยินบ่อยๆก็เช่น สารเคมีเยอะเกินไป ยาฆ่าแมลง ฮอร์โมน การทำเกษตรเชิงเดี่ยว เราไม่ต้องการไร่นาทุ่งขนาดใหญ่ ที่ปลูกอะไรเหมือนๆกัน มันไม่ถูกต้อง เราไม่คบค้ากับพวกออกสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต เราไม่ต้องการเป็นมิตร กับพวกถือครองกรรมสิทธิ์เมล็ดพันธุ์ แล้วคุณรู้ไหมว่าผมตอบสนองกับสิ่งพวกนี้ยังไง ครับ พวกคุณถูก จัดการแก้ปัญหาสิครับ มันจริงครับ เรามีปัญหาใหญ่เรื่องอาหาร แต่นี่มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิทยาศาสตร์เลย มันเกี่ยวกับกฎหมาย ศีลธรรม และเรื่องสิทธิบัตร คุณก็รู้ วิทยาศาสตร์ไม่ใช่บริษัท มันไม่ได้เป็นประเทศ ไม่ใช่แม้กระทั่งความคิด มันคือกระบวนการ มันคือกระบวนการ และบางครั้งมันก็ได้ผม บางครับก็ไม่ได้ผล แต่ความคิดที่เราไม่ควรอนุญาต ให้วิทยาศาสตร์ได้ทำหน้าที่ของมัน เพราะพวกเรากลัวนั้น มันเป็นทางตันจริงๆครับ และมันตัดโอกาสคนหลายพันคน จากการที่เขาจะได้อยู่ดีกินดี
You know, in the next 50 years we're going to have to grow 70 percent more food than we do right now, 70 percent. This investment in Africa over the last 30 years. Disgraceful. Disgraceful. They need it, and we're not giving it to them. And why? Genetically engineered food. We don't want to encourage people to eat that rotten stuff, like cassava for instance. Cassava's something that half a billion people eat. It's kind of like a potato. It's just a bunch of calories. It sucks. It doesn't have nutrients, it doesn't have protein, and scientists are engineering all of that into it right now. And then people would be able to eat it and they'd be able to not go blind. They wouldn't starve, and you know what? That would be nice. It wouldn't be Chez Panisse, but it would be nice.
ในอีก 50 ปีข้างหน้า พวกเรากำลังที่จะปลูกอาหารได้มากขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ 70 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนในแอฟริกาในช่วง 30 ปีมานี้ มันน่าอับอาย อัปยศ พวกเขาต้องการมันครับ และพวกเราก็จะไม่ให้เขา ทำไมหน่ะหรอ เพราะมันเป็นอาหารตัดต่อพันธุกรรม เราไม่ต้องการที่จะสนับสนุน ให้คนกินของแย่ๆพวกนั้น ยกตัวอย่างเช่น มันสำปะหลัง มันสำปะหลัง เป็นอะไรที่คนสักห้าร้อยล้านรับประทาน มันคล้ายๆกับมันฝรั่ง มันก็แค่ให้พลังงาน มันห่วยแตกครับ มันไม่มีสารอาหาร ไม่มีโปรตีน และนักวิทยาศาสตร์ก็ตัดแต่งพันธุกรรม พวกมันในตอนนี้ และเมื่อคนรับประทานมัน พวกเขาก็จะไม่เสี่ยงต่ออาการตาบอด พวกเขาจะไม่หิวโหย และคุณรู้ไหมครับ มันคงจะดีเชียวล่ะ คงไม่เลิศเป็นถนัดศรีมาเอง แต่มันคงดีเชียวครับ
And all I can say about this is: Why are we fighting it? I mean, let's ask ourselves: Why are we fighting it? Because we don't want to move genes around? This is about moving genes around. It's not about chemicals. It's not about our ridiculous passion for hormones, our insistence on having bigger food, better food, singular food. This isn't about Rice Krispies, this is about keeping people alive, and it's about time we started to understand what that meant. Because, you know something? If we don't, if we continue to act the way we're acting, we're guilty of something that I don't think we want to be guilty of: high-tech colonialism. There's no other way to describe what's going on here. It's selfish, it's ugly, it's beneath us, and we really have to stop it.
และทั้งหมดที่ผมจะพูดก็คือ ทำไมเราต้องขัดขืน ลองถามตัวเองสิครับ ทำไมเราแข็งขืนกับมัน เพราะว่าเราไม่ต้องการย้ายยีนไปๆมาๆหรอ นี่มันเป็นการย้ายยีน ไม่ได้เกี่ยวกับสารเคมี ไม่ได้เกี่ยวกับความคลั่งฮอร์โมนบ้าบออะไรนั่น การยืนยันหนักแน่นของเราที่จะมีอาหารมากๆ เป็นอาหารที่ดี และพิเศษ มันไม่ได้เกี่ยวกับขนมข้าวพองนะครับ นี่มันเกี่ยวกับการทำให้คนมีชีวิตรอด และมันก็ถึงเวลาแล้ว ที่เราเริ่มเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร เพราะว่า คุณทราบอะไรไหม ถ้าคุณไม่รู้ ถ้าเรายังคงทำอย่างที่เราทำกันตอนนี้ เรารู้สึกผิดต่ออะไรบางอย่าง ที่ผมไม่คิดว่าเราต้องการจะรู้สึกผิด ซึ่งก็คือ การล่าอาณานิคมด้วยความทันสมัย มันไม่มีทางอื่นใด ที่จะสาธยายสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันช่างเห็นแก่ตัว มันน่ารังเกียจ มันอยู่เบื้องล่างเรา และเราต้องหยุดมันอย่างจริงจัง
So after this amazingly fun conversation, (Laughter) you might want to say, "So, you still want to get in this ridiculous time machine and go forward?" Absolutely. Absolutely, I do. It's stuck in the present right now, but we have an amazing opportunity. We can set that time machine on anything we want. We can move it where we want to move it, and we're going to move it where we want to move it. We have to have these conversations and we have to think, but when we get in the time machine and we go ahead, we're going to be happy we do. I know that we can, and as far as I'm concerned, that's something the world needs right now.
ดังนั้น หลังจากการสนทนาอันแสนสนุกนี้ (เสียงหัวเราะ) คุณอาจจะอยากพูดว่า "แล้ว คุณยังจะอยากจะ ขึ้นเครื่องข้ามเวลาตลกๆนี่ และไปอนาคตหรอ" แน่นอนครับ แน่นอนที่สุด ปัจจุบันมันแย่จะตายไป แต่เรามีโอกาสที่น่าทึ่ง พวกเราสามารถที่จะตั้งเครื่องข้ามเวลานี่กับอะไรก็ได้ เราเคลือนมันไปตรงไหนก็ได้ที่เราต้องการ และเรากำลังจะเคลื่อนมันไปในที่ที่เราต้องการ เราต้องทำการพูดคุยสิ่งเหล่านี้และเราต้องคิด แต่เมื่อเราเข้าไปในเครื่องข้ามเวลา และเราออกตัวไปข้างหน้า เรากำลังจะสุขใจที่เราทำอย่างนั้น ผมรู้ว่าเราสามารถทำได้ และเท่าที่ผมทราบนั้น มันเป็นอะไรบางอย่าง ที่โลกเราต้องการ ณ ขณะนี้
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Thank you.
ขอบคุณครับ
Thank you.
ขอบคุณครับ
Thank you. Thank you.
ขอบคุณครับ ขอบคุณ