When I was in my 20s, I saw my very first psychotherapy client. I was a Ph.D. student in clinical psychology at Berkeley. She was a 26-year-old woman named Alex.
ตอนที่ฉันอยู่ในช่วงอายุเลขสอง ฉันได้รับคนไข้ที่มารับการปรึกษาเป็นครั้งแรก ฉันเป็นนักเรียนปริญญาเอก ด้านการให้คำปรึกษาจิตเวช ที่มหาวิทยาลัยเบอร์กเลย์ คนไข้ของฉันเป็นผู้หญิงอายุ 26 ปี ชื่อ อเล็กซ์
Now Alex walked into her first session wearing jeans and a big slouchy top, and she dropped onto the couch in my office and kicked off her flats and told me she was there to talk about guy problems. Now when I heard this, I was so relieved. My classmate got an arsonist for her first client.
อเล็กซ์ เดินเข้ามาในห้องปรึกษาเป็นครั้งแรก สวมกางเกงยีนส์ และเสื้อตัวหลวม เธอนั่งลงบนโซฟาในห้องทำงานของฉัน แล้วก็ถอดรองเท้าส้นเตี้ยของเธอออก บอกกับฉันว่า เธอต้องการมาปรึกษาปัญหาเรื่อง หนุ่ม พอฉันได้ยินอย่างนั้น ฉันโล่งใจมาก เพื่อนร่วมชั้นเรียนของฉันได้คนไข้วางเพลิงเป็นคนไข้คนแรก
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And I got a twentysomething who wanted to talk about boys. This I thought I could handle. But I didn't handle it. With the funny stories that Alex would bring to session, it was easy for me just to nod my head while we kicked the can down the road. "Thirty's the new 20," Alex would say, and as far as I could tell, she was right. Work happened later, marriage happened later, kids happened later, even death happened later. Twentysomethings like Alex and I had nothing but time.
แต่ฉันได้ผู้หญิงอายุยี่สิบกว่า ที่อยากคุยเรื่องหนุ่มๆ ฉันว่าฉันน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้สบาย แต่กลายเป็นว่า ฉันไม่ได้จัดการอะไร เพราะว่าเรื่องที่ อเล็กซ์ นำมาปรึกษา เต็มไปด้วยเรื่องตลก ขบขัน ก็เลยเป็นเรื่องง่าย ที่ฉันจะแค่พยักหน้า แล้วเราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย "อายุสามสิบ ก็คือวัยยี่สิบนั่นแหละ" อเล็กซ์บอก เท่าที่ฉันรู้ เธอก็พูดถูก เรื่องงานก็ยังไม่สำคัญ แต่งงานก็ยังไม่แต่ง ลูกก็ยังไม่มี ยิ่งความตายยิ่งดูไกลเข้าไปใหญ่ สาวอายุยี่สิบกว่าๆ อย่างอเล็กซ์กับฉัน มีเวลาเหลือเฟือ
But before long, my supervisor pushed me to push Alex about her love life. I pushed back. I said, "Sure, she's dating down, she's sleeping with a knucklehead, but it's not like she's going to marry the guy." And then my supervisor said, "Not yet, but she might marry the next one. Besides, the best time to work on Alex's marriage is before she has one."
แต่เมื่อผ่านไปไม่นาน อาจารย์ที่ปรึกษาก็เริ่มผลักดัน ให้ฉันให้คำแนะนำอเล็กซ์ เกี่ยวกับชีวิตรักของเธอ ฉันต่อต้าน ฉันบอกว่า "ใช่ เธอกำลังคบคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย แล้วเธอก็กำลังมีความสัมพันธ์กับผู้ชายโง่ๆ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้" แต่แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันก็พูดว่า "ยังหรอก แต่เธออาจจะแต่งกับคนถัดไป ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ดีที่สุดที่จะคุยกัน เรื่องการแต่งงานของอเล็กซ์ ก็คือก่อนที่มันจะเกิดขึ้น"
That's what psychologists call an "Aha!" moment. That was the moment I realized, 30 is not the new 20. Yes, people settle down later than they used to, but that didn't make Alex's 20s a developmental downtime. That made Alex's 20s a developmental sweet spot, and we were sitting there, blowing it. That was when I realized that this sort of benign neglect was a real problem, and it had real consequences, not just for Alex and her love life but for the careers and the families and the futures of twentysomethings everywhere.
มันคือชั่วขณะที่นักจิตวิทยาเรียกว่า "ปิ๊ง!" มันเป็นวินาทีที่ฉันรู้ว่า อายุ 30 ไม่ใช่ช่วงวัย 20 ที่เริ่มขึ้นใหม่ ใช่ ผู้คนมักจะลงหลักปักฐานช้ากว่าที่เคย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ช่วงอายุ 20 ของอเล็กซ์ เป็นช่วงเวลาเว้นว่างจากการพัฒนา มันกลับกลายเป็นว่า ช่วงวัย 20 ของอเล็กซ์ เป็นช่วงเวลาแสนพิเศษของพัฒนาการต่างๆ แล้วพวกเราก็นั่่งเปลืองเวลาไปวันๆ นั่นคือความจริงที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องของ การปฏิเสธความจริง ปัญหาที่แท้จริงคือการปฏิเสธความจริง ความจริงที่มีผลจริงๆตามมา ไม่ใช่แค่เรื่องของ อเล็กซ์ หรือชีวิตรักของเธอ แต่เป็นเรื่องของหน้าที่การงาน ครอบครัว และอนาคต ของคนอายุยี่สิบกว่า ทั่วไป
There are 50 million twentysomethings in the United States right now. We're talking about 15 percent of the population, or 100 percent if you consider that no one's getting through adulthood without going through their 20s first.
ซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 ล้านคน ในสหรัฐ ในขณะนี้ เรากำลังพูดถึงประชากร 15 เปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเราคิดรวม ว่าไม่มีใครที่ผ่านไปสู่วัยผู้ใหญ่
(Laughter)
โดยที่ไม่ได้ผ่านช่วงวัยยี่สิบกว่าไปก่อน
Raise your hand if you're in your 20s. I really want to see some twentysomethings here. Oh, yay! You are all awesome. If you work with twentysomethings, you love a twentysomething, you're losing sleep over twentysomethings, I want to see — Okay. Awesome, twentysomethings really matter.
ยกมือหน่อยค่ะ ถ้าคุณอายุยี่สิบกว่า ฉันอยากเห็นมือของคนอายุยี่สิบกว่าในที่นี้ โอ้ นั่นไง พวกคุณเยี่ยมมาก ถ้าคุณทำงานกับคนอายุยี่สิบกว่า หรือ คุณกำลังรักอยู่กับคนอายุยี่สิบกว่า หรือกำลังนอนไม่หลับเพราะคนอายุยี่สิบกว่า ฉันอยากเห็นมือของพวกคุณ โอเค นั่นเยี่ยมมากค่ะ เพราะคนอายุยี่สิบกว่า เป็นเรื่องที่สำคัญ
So, I specialize in twentysomethings because I believe that every single one of those 50 million twentysomethings deserves to know what psychologists, sociologists, neurologists and fertility specialists already know: that claiming your 20s is one of the simplest, yet most transformative, things you can do for work, for love, for your happiness, maybe even for the world.
ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัยยี่สิบกว่า เพราะฉันเชื่อว่า คนอายุยี่สิบกว่า ทั้ง 50 ล้านคน สมควรได้รับรู้เรื่องต่างๆที่ นักจิตวิทยา นักสังคมวิทยา นักประสาทวิทยา และผู้เขี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์ รู้ดีอยู่แล้ว ว่าการใช้ช่วงอายุยี่สิบกว่า เป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย แต่เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ ทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก และเรื่องความสุขของคุณ หรือบางทีอาจจะรวมเรื่องของโลกใบนี้ด้วย
This is not my opinion. These are the facts. We know that 80 percent of life's most defining moments take place by age 35. That means that eight out of 10 of the decisions and experiences and "Aha!" moments that make your life what it is will have happened by your mid-30s. People who are over 40, don't panic. This crowd is going to be fine, I think. We know that the first 10 years of a career has an exponential impact on how much money you're going to earn. We know that more than half of Americans are married or are living with or dating their future partner by 30. We know that the brain caps off its second and last growth spurt in your 20s as it rewires itself for adulthood, which means that whatever it is you want to change about yourself, now is the time to change it. We know that personality changes more during your 20s than at any other time in life, and we know that female fertility peaks at age 28, and things get tricky after age 35. So your 20s are the time to educate yourself about your body and your options.
นี่ไม่ใช่ความคิดของฉันคนเดียว แต่นี่คือความจริง เรารู้ว่า แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของช่วงเวลา ที่ส่งผลกับชีวิตของเรามากที่สุด เกิดขึ้นก่อนที่เราจะอายุ 35 นั่นหมายความว่า แปดในสิบของการตัดสินใจ ทั้งหมดของเรา และช่วงเวลาที่เรา "ปิ๊ง!" อะไรบางอย่าง ที่ทำให้ชีวิตของคุณเป็นอย่างที่เป็น ก็จะเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะอายุสามสิบกลางๆ สำหรับพวกคุณที่อายุเกิน 40 อย่าพึ่งตกใจนะคะ ฉันเชื่อว่าทุกคนในห้องนี้น่าจะไม่เป็นไร เรารู้ว่า ข่วงสิบปีแรกของการทำงาน มีผลอย่างมาก กับปริมาณเงินที่คุณจะหาได้ เรารู้ว่ามากกว่าครึ่งของคนอเมริกัน แต่งงาน หรืออาศัยอยู่ร่วมกัน หรือกำลังเป็นแฟนอยู่ กับคนที่พวกเขาจะแต่งงานด้วย ก่อนอายุ 30 เรารู้ว่า สมอง ปลดล๊อกการเจริญเติบโตครั้่งที่สอง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงที่คุณอายุยี่สิบกว่า ในขณะที่มันเตรียมพร้อมตัวมันเอง เพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งหมายความว่า เรื่องใดก็ตามที่คุณอยากจะเปลี่ยนแปลง เวลานี้แหละ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่จะเปลี่ยน เราทราบว่า ความเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพ ของคุณมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในช่วงอายุยี่สิบปี มากกว่าช่วงอื่นๆในชีวิตของคุณ และเรายังรู้อีกว่า ช่วงการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง มีช่วงที่ดีที่สุดคือตอนที่พวกเธออายุ 28 และการให้กำเนิดบุตรอาจเริ่มเป็นเรื่องลำบาก หลังอายุ 35 ดังนั้นช่วงเวลาที่คุณอายุ ยี่สิบ เป็นช่วงเวลา ที่คุณควรให้ข้อมูลกับตัวเอง เกี่ยวกับร่างกายของคุณ และทางเลือกของคุณ
So when we think about child development, we all know that the first five years are a critical period for language and attachment in the brain. It's a time when your ordinary, day-to-day life has an inordinate impact on who you will become. But what we hear less about is that there's such a thing as adult development, and our 20s are that critical period of adult development.
เวลาที่เรานึกถึงพัฒนาการของเด็ก เราทุกคนรู้ดีว่า ช่วงห้าปีแรกของเด็ก เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ที่เด็กๆจะมีพัฒนาการด้านภาษา และเลือกภาษาในสมอง มันเป็นช่วงเวลาที่ ชีวิตประจำวันแสนจะธรรมดา นั้นส่งผลอย่างมากต่อตัวตนของคุณในอนาคต แต่สิ่งที่เราไม่ค่อยจะทราบกันก็คือ มันมีช่วงเวลาแบบเดียวกันนั้น เป็นช่วงพัฒนาการของวัยผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือช่วงอายุยี่สิบปีของเรานี่เอง ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญ ของการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่
But this isn't what twentysomethings are hearing. Newspapers talk about the changing timetable of adulthood. Researchers call the 20s an extended adolescence. Journalists coin silly nicknames for twentysomethings like "twixters" and "kidults."
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนอายุยี่สิบได้รับทราบ หนังสือพิมพ์พูดถึงการเปลี่ยนแปลงช่วงเวลา เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ นักวิจัยเรียกกลุ่มอายุยี่สิบปีว่า เป็นช่วงวัยรุ่นที่ขยายออกมา นักข่าว ตั้งชื่อเล่นตลกๆให้กับคนอายุยี่สิบกว่า อย่าง "พวกครึ่งๆกลางๆ (twixters)" หรือ "ลูกครึ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ (kidults)"
(Laughing) It's true!
มันก็จริง
As a culture, we have trivialized what is actually the defining decade of adulthood.
ที่ว่า วัฒนธรรมของเราได้ทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องเล็ก ทั้งๆที่ช่วงเวลาสิบปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่จะกำหนดทิศทาง ของการเป็นผู้ใหญ่ในเวลาต่อมา
Leonard Bernstein said that to achieve great things, you need a plan and not quite enough time.
ลีโอนาร์ด เบรินสไตน์ กล่าวว่า การที่เราจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ คุณต้องมีการวางแผน แต่เวลามักจะมีไม่พอเสมอ
(Laughing) Isn't that true?
มันก็จริงอย่างนั้นใช่ไหมคะ?
So what do you think happens when you pat a twentysomething on the head and you say, "You have 10 extra years to start your life"? Nothing happens. You have robbed that person of his urgency and ambition, and absolutely nothing happens.
แล้วคุณคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อคุณตบหัวคนอายุยี่สิบกว่าๆคนนึง แล้วพูดว่า "เธอมีเวลาเพิ่มอีก 10 ปีในการเริ่มต้นชีวิต" ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คุณได้ปล้นเอาความเร่งรีบ และความทะเยอทะยานไปจากเขาแล้ว แล้วก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
And then every day, smart, interesting twentysomethings like you or like your sons and daughters come into my office and say things like this: "I know my boyfriend's no good for me, but this relationship doesn't count. I'm just killing time." Or they say, "Everybody says as long as I get started on a career by the time I'm 30, I'll be fine."
เพราะฉะนั้นในทุกๆวัน ยังมีคนอายุยี่สิบกว่ามากมาย ที่ทั้งฉลาด และน่าสนใจ อย่างเช่นพวกคุณ หรือ ลูกชาย ลูกสาวของพวกคุณ ที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของฉันแล้ว พูดอะไรประมาณว่า "ฉันรู้ว่าแฟนของฉันไม่เหมาะกับฉัน แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่สำคัญอะไรนี่ ฉันแค่คบเค้าฆ่าเวลา" หรือพวกเค้าอาจจะพูดว่า "ทุกคนบอกว่า ตราบใดที่ฉันเริ่มต้น หาอาชีพอะไรของตัวเองก่อนอายุ 30 ฉันก็จะไม่มีปัญหาอะไร"
But then it starts to sound like this: "My 20s are almost over, and I have nothing to show for myself. I had a better résumé the day after I graduated from college." And then it starts to sound like this: "Dating in my 20s was like musical chairs. Everybody was running around and having fun, but then sometime around 30 it was like the music turned off and everybody started sitting down. I didn't want to be the only one left standing up, so sometimes I think I married my husband because he was the closest chair to me at 30."
แต่บางทีมันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องแบบนี้ "วัยยี่สิบของฉันกำลังจะจบลงอยู่แล้ว แต่ฉันยังไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจเลย วันที่ฉันเรียนจบ เรซูเม่ฉันยังดูดีกว่าตอนนี้ซะอีก" แล้วบางทีมันก็จะกลายเป็น "การคบแฟนในช่วงอายุยี่สิบกว่าของฉัน เหมือนการเล่นเก้าอี้ดนตรี ทุกคนวิ่งวุ่นไปมาอย่างสนุกสนาน แต่พอคุณเริ่มอายุ 30 มันเหมือนจู่ๆ ก็มีคนปิดเพลง แล้วทุกคนก็เริ่มนั่งลง ฉันไม่อยากเป็นคนที่ยืนอยู่คนเดียว บางครั้งฉันคิดว่าฉันแต่งงานกับสามีของฉัน เพียงเพราะว่าเขาเป็นเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุด ตอนฉันอายุ 30"
Where are the twentysomethings here? Do not do that.
ใครในที่นี้ที่อายุยี่สิบกว่าบ้างคะ อย่าทำอย่างนั้นล่ะ
(Laughter)
Okay, now that sounds a little flip, but make no mistake, the stakes are very high. When a lot has been pushed to your 30s, there is enormous thirtysomething pressure to jump-start a career, pick a city, partner up, and have two or three kids in a much shorter period of time. Many of these things are incompatible, and as research is just starting to show, simply harder and more stressful to do all at once in our 30s.
เอาล่ะ นี่อาจจะดูเหมือนฉันเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน แต่มันเกี่ยวกัน สิ่งที่เราจะสูญเสียไปนั้นใหญ่หลวงมาก เมื่อเราพยายามผลักการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไปอยู่ในช่วงวัย 30 ความกดดันมหาศาลที่กดดันคนอายุสามสิบกว่า ให้เริ่มต้นทำงานทำการ เลือกเมืองที่จะอาศัยอยู่ หาคู่ และมีลูกสองหรือสามคน ในช่วงเวลาที่สั้นกว่ามาก ความไม่เหมาะสมหลายๆอย่างจะเกิดขึ้น และผลการวิจัยก็เริ่มที่จะบอกกับเรา ว่ามันทั้งยากกว่า และเครียดกว่า ที่จะทำทุกอย่างพร้อมๆกัน ในช่วงอายุ 30
The post-millennial midlife crisis isn't buying a red sports car. It's realizing you can't have that career you now want. It's realizing you can't have that child you now want, or you can't give your child a sibling. Too many thirtysomethings and fortysomethings look at themselves, and at me, sitting across the room, and say about their 20s, "What was I doing? What was I thinking?" I want to change what twentysomethings are doing and thinking.
ช่วงวิกฤตเมื่อเวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตผ่านไป ไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อรถสปอร์ตสีแดง มันคือการที่คุณตระหนักว่า คุณไม่ได้ทำงานที่คุณต้องการ หรือรู้ว่า คุณไม่สามารถมีลูกได้ ในตอนที่คุณเริ่มอยากมี หรือการที่คุณไม่สามารถมีลูกคนที่สอง ให้เป็นพี่น้องกับลูกของคุณได้ ยังมีเรื่องของคนอายุสามสิบกว่า และสี่สิบกว่า อีกมากมาย ที่คนเหล่านั้นกำลังคิด อย่างที่ฉันเป็น หรืออย่างที่คน ที่นั่งอยู่อีกด้านนึงของห้อง จะพูดเกี่ยวกับวัยยี่สิบของเขา "ฉันทำอะไรอยู่นะตอนนั้น" "ไม่รู้ฉันคิดยังไง" ฉันอยากที่จะเปลี่ยนสิ่งที่คนอายุยี่สิบกว่า
Here's a story about how that can go.
กำลังคิดและทำอยู่
It's a story about a woman named Emma. At 25, Emma came to my office because she was, in her words, having an identity crisis. She said she thought she might like to work in art or entertainment, but she hadn't decided yet, so she'd spent the last few years waiting tables instead. Because it was cheaper, she lived with a boyfriend who displayed his temper more than his ambition. And as hard as her 20s were, her early life had been even harder. She often cried in our sessions, but then would collect herself by saying, "You can't pick your family, but you can pick your friends."
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของหนทางแก้ นี่เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเอมม่า ตอนอายุยี่สิบห้า เอมม่า มาพบฉัน เพราะ เธอว่า เธอกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ของการหาตัวตน เธอบอกว่า เธอคิดว่าเธออยากทำงานด้านศิลปะ หรือด้านบันเทิง แต่เธอยังตัดสินใจไม่ได้ เธอเลยใช้เวลาสองสามปีที่ผ่านมา เสริฟอาหารไปก่อน และเพราะว่ามันประหยัด เธอเลยอาศัยอยู่กับแฟนของเธอ ซึ่งเป็นคนที่มีอารมณ์มากกว่า ความทะเยอทะยาน และทั้งๆที่วัยยี่สิบของเธอเป็นเรื่องยากแล้ว ชีวิตวัยเด็กของเธอก็ยิ่งแย่กว่า เธอมักจะร้องไห้ในระหว่างที่เราคุยกัน แต่แล้วเธอก็จะปลอบใจตัวเอง ด้วยการพูดว่า "เราไม่สามารถเลือกครอบครัวของเราได้ แต่เราเลือกเพื่อนของเราได้"
Well one day, Emma comes in and she hangs her head in her lap, and she sobbed for most of the hour. She'd just bought a new address book, and she'd spent the morning filling in her many contacts, but then she'd been left staring at that empty blank that comes after the words "In case of emergency, please call ..." She was nearly hysterical when she looked at me and said, "Who's going to be there for me if I get in a car wreck? Who's going to take care of me if I have cancer?"
วันหนึ่ง เอมม่า มาหาฉัน แล้วก็ก้มหน้าลงบนตักของตัวเอง ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นเวลาเกือบชั่วโมง เธอพึ่งจะซื้อสมุดโทรศัพท์เล่มใหม่มา เธอใช้เวลาช่วงเช้าของวันเขียนเบอร์คนที่เธอรู้จัก แต่พอเธอจ้องมองช่องว่าง ที่มาหลังคำที่ว่า "ในกรณีฉุกเฉิน กรุณาโทรหา..." เธอบอกว่าเธอเกือบเสียสติ เมื่อเธอมองมาที่ฉัน แล้วพูดว่า "ใครจะอยู่กับฉัน ถ้าฉันรถคว่ำ ใครจะเป็นคนดูแลฉัน ถ้าฉันเป็นมะเร็ง"
Now in that moment, it took everything I had not to say, "I will." But what Emma needed wasn't some therapist who really, really cared. Emma needed a better life, and I knew this was her chance. I had learned too much since I first worked with Alex to just sit there while Emma's defining decade went parading by.
ตอนนั้น ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะไม่พูดว่า "ฉันจะอยู่กับคุณ" เพราะสิ่งที่เอมม่าต้องการไม่ใช่นักจิตวิทยา ที่ใส่ใจเธออย่างมากๆ แต่สิ่งทีเธอต้องการคือชีวิตที่ดีขึ้น และฉันรู้ดีว่านี่คือโอกาสของเธอ ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย ตั้งแต่ตอนที่ฉันให้คำปรึกษาอเล็กซ์ ว่าฉันไม่ควรนั่งรอดูช่วงเวลาสิบปีที่สำคัญต่อชีวิตของเอมม่า ผ่านเลยไป
So over the next weeks and months, I told Emma three things that every twentysomething, male or female, deserves to hear.
ดังนั้น ในช่วงหลายอาทิตย์ และหลายเดือนต่อมา ฉันบอกกับเอมม่าว่า สามอย่างที่คนอายุยี่สิบกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ควรจะรู้ก็คือ
First, I told Emma to forget about having an identity crisis and get some identity capital. By "get identity capital," I mean do something that adds value to who you are. Do something that's an investment in who you might want to be next. I didn't know the future of Emma's career, and no one knows the future of work, but I do know this: Identity capital begets identity capital. So now is the time for that cross-country job, that internship, that startup you want to try. I'm not discounting twentysomething exploration here, but I am discounting exploration that's not supposed to count, which, by the way, is not exploration. That's procrastination. I told Emma to explore work and make it count.
อย่างแรก ฉันบอกให้เอมม่าลืมเรื่องการแสวงหาตัวตน แล้วพยายามสร้างตัวตนที่ยอดเยี่ยม ด้วยการสร้างตัวตน ฉันหมายถึงการลงมือทำอะไรบางอย่าง ที่สร้างคุณค่าให้กับตัวตนของคุณ ทำอะไรที่เป็นการลงทุน ในสิ่งที่คุณอยากจะเป็นในอนาคต ฉันไม่รู้ว่าอนาคตของเอมม่าจะเป็นอย่างไร และก็ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตในการทำงานจะเป็นอย่างไร แต่ฉันรู้ว่า ตัวตนที่ยอดเยี่ยมก็จะนำมาซึ่งสิ่งที่ยอดเยี่ยม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะลองไปทำงานต่างประเทศ ไปฝึกงาน ตั้งกิจการแบบที่คุณอยากจะลองทำ ฉันไม่ได้พยายามลดค่าของการทดลองอะไรใหม่ๆ ของคนอายุยี่สิบต้นๆ นะคะ แต่ฉันพยายามที่จะลดการเดินทางเสาะแสวงหาหนทาง ที่ไม่ค่อยก่อให้เกิดผลต่างๆ ซึ่งก็คงเรียกว่าเป็นการแสวงหาไม่ได้ เรียกว่าเป็นการฆ่าเวลาจะตรงกว่า ฉันบอกกับเอมม่า ให้เธอทดลองทำงานอย่างจริงจัง
Second, I told Emma that the urban tribe is overrated. Best friends are great for giving rides to the airport, but twentysomethings who huddle together with like-minded peers limit who they know, what they know, how they think, how they speak, and where they work. That new piece of capital, that new person to date almost always comes from outside the inner circle. New things come from what are called our weak ties, our friends of friends of friends. So yes, half of twentysomethings are un- or under-employed. But half aren't, and weak ties are how you get yourself into that group. Half of new jobs are never posted, so reaching out to your neighbor's boss is how you get that unposted job. It's not cheating. It's the science of how information spreads.
อย่างที่สอง ฉันบอกเธอว่า เธอให้คุณค่ากับกลุ่มเพื่อนมากเกินไป เพื่อนสนิทเป็นคนที่เหมาะจะวานให้ไปส่งเราที่สนามบิน แต่คนอายุยี่สิบกว่า ที่เกาะกลุ่มกันแน่น คบแต่เพื่อนที่คิดเหมือนๆกัน รู้อะไรเหมือนๆกัน คิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน ทำงานคล้ายกัน แต่งานใหม่ที่ยิ่งใหญ่ท้าทาย หรือคนที่คุณสนใจจะคบ ก็มักจะมาจากคนนอกวงการเดิมของคุณเสมอ สิ่งใหม่ๆมาจาก คนรู้จักกันห่างๆ เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกที ก็จริงที่ครึ่งหนึ่งของคนอายุยี่สิบกว่า ไม่มีงานทำ แต่อีกครึ่งมีงานทำ และคนรู้จักแบบห่างๆนี่แหละ ก็คือวิธีที่จะทำให้คุณเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนมีงานทำ ครึ่งหนึ่งของตำแหน่งงานใหม่ๆ ไม่เคยถูกประกาศ ดังนั้นการขยายวงออกไปรู้จักเจ้านาย ของเพื่อนบ้าน ก็อาจจะเป็นวิธีการที่ทำให้คุณได้งาน ที่ไม่ได้ประกาศออกไปเหล่านั้น มันไม่ใช้การโกง แต่เป็นหลักการวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเดินทางของข้อมูล
Last but not least, Emma believed that you can't pick your family, but you can pick your friends. Now this was true for her growing up, but as a twentysomething, soon Emma would pick her family when she partnered with someone and created a family of her own. I told Emma the time to start picking your family is now.
อย่างสุดท้าย เอมม่าเชื่อว่า คุณไม่สามารถเลือกครอบครัวของคุณได้ แต่คุณสามารถเลือกเพื่อนของคุณได้ มันก็เป็นเรื่องจริง สำหรับภูมิหลังการเติบโตมาของเธอ แต่เมื่อเธอเป็นคนอายุยี่สิบกว่า อีกไม่นาน เอมม่าจะต้องเลือกครอบครัวของเธอ เมื่อเธอคบกับใครซักคน และสร้างครอบครัวของเธอเอง ฉันบอกเอมม่าว่า นี่คือเวลาที่เธอควรจะเริ่มเลือกครอบครัว
Now you may be thinking that 30 is actually a better time to settle down than 20, or even 25, and I agree with you. But grabbing whoever you're living with or sleeping with when everyone on Facebook starts walking down the aisle is not progress. The best time to work on your marriage is before you have one, and that means being as intentional with love as you are with work. Picking your family is about consciously choosing who and what you want rather than just making it work or killing time with whoever happens to be choosing you.
คุณอาจจะคิดว่า อายุ 30 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการลงหลักปักฐานมากกว่า อายุ 20 หรือ 25 ฉันเห็นด้วยกับคุณ แต่การคว้าเอาใครก็ได้ ที่คุณอยู่ด้วย หรือนอนด้วย มาแต่งงาน ในตอนที่ทุกคนในเฟสบุก เริ่มแต่งงานกันหมด ไม่ใช่ความก้าวหน้า เวลาที่ดีที่สุด ในการคิดเรื่องการแต่งงาน ก็คือก่อนที่คุณจะแต่งงาน มันหมายถึง การจริงจังกับเรื่องความรัก แบบเดียวกับที่คุณจริงจังกับเรื่องงาน การเลือกครอบครัว คือการเลือกอย่างมีสติ ว่าคุณต้องการอยู่กับใคร ต้องการอะไร แทนที่จะคบใครด้วยความพยายามทำให้มันราบรื่น หรือคบใครฆ่าเวลา เลือกอยู่กับใครก็ตาม ที่บังเอิญเลือกที่จะอยู่กับคุณเช่นกัน
So what happened to Emma? Well, we went through that address book, and she found an old roommate's cousin who worked at an art museum in another state. That weak tie helped her get a job there. That job offer gave her the reason to leave that live-in boyfriend. Now, five years later, she's a special events planner for museums. She's married to a man she mindfully chose. She loves her new career, she loves her new family, and she sent me a card that said, "Now the emergency contact blanks don't seem big enough."
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ เอมม่า เราก็ดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ของเธอเล่มนั้น เธอเจอลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนร่วมห้องคนก่อน ที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ อีกรัฐ คนรู้จักห่างๆนี่เอง ทำให้เธอได้งานทำที่นั่น งานนั้นทำให้เธอมีเหตุผล ที่จะเลิกกับแฟนที่เธออยู่ด้วย ตอนนี้ ห้าปีต่อมา เธอเป็นเจ้าหน้าที่ออกแบบจัดงาน ของพิพิธภัณฑ์แห่งนั้น เธอแต่งงานกับผู้ชายที่เธอเลือกอย่างตั้งใจ เธอรักงานที่เธอทำ รักครอบครัวใหม่ของเธอ แล้วเธอก็ส่งการ์ดมาให้ฉัน ในนั้นเขียนว่า "ตอนนี้ช่อง กรณีฉุกเฉิน ที่เคยว่างเปล่า ดูเหมือนจะมีที่ไม่พอ"
Now Emma's story made that sound easy, but that's what I love about working with twentysomethings. They are so easy to help. Twentysomethings are like airplanes just leaving LAX, bound for somewhere west. Right after takeoff, a slight change in course is the difference between landing in Alaska or Fiji. Likewise, at 21 or 25 or even 29, one good conversation, one good break, one good TED Talk, can have an enormous effect across years and even generations to come.
เรื่องของเอมม่าอาจทำให้มันฟังดูง่ายๆ แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา กับคนอายุยี่สิบกว่า เพราะมันง่ายเหลือเกิน ที่จะช่วยพวกเขา คนอายุยี่สิบต้นๆ ก็เหมือนกับเครื่องบินที่พึ่งออก จากสนามบิน LAX มุ่งหน้าไปที่ไหนซักที่ทางตะวันตก หลังจากเครื่องขึ้น เพียงแค่เราเบนหัวเปลี่ยนทิศนิดหน่อย ความแตกต่างอาจจะมากมาย เทียบได้กับเครื่อง ที่จะไปเบนหัวไปลงที่อลาสก้า หรือ หมู่เกาะฟิจิ เช่นเดียวกัน ในตอนที่คุณอายุ 21 หรือ 25 หรือ 29 บทสนทนาบทหนึ่ง โอกาสหนึ่งครั้ง หรือ TED ทอล์ก ดีๆซักอันหนึ่ง สามารถจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ในช่วงเวลาอีกหลายปีที่ตามมา หรือ ในอีกชั่วอายุที่ตามมาเลยทีเดียว
So here's an idea worth spreading to every twentysomething you know. It's as simple as what I learned to say to Alex. It's what I now have the privilege of saying to twentysomethings like Emma every single day: Thirty is not the new 20, so claim your adulthood, get some identity capital, use your weak ties, pick your family. Don't be defined by what you didn't know or didn't do. You're deciding your life right now.
นี่แหละค่ะ ข้อคิดที่น่าบอกต่อ ให้กับคนอายุยี่สิบกว่าทุกคน ที่คุณรู้จัก มันง่ายๆ แบบเดียวกับที่ฉันเรียนรู้ที่จะพูดกับ อเล็กซ์ นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้พูดกับคนอายุยี่สิบต้นๆ แบบเอมม่า ในทุกๆวัน อายุสามสิบไม่ใช่ช่วง 20 ที่วนกลับมา ดังนั้น จงโตเป็นผู้ใหญ่ สร้างตัวตนที่ยอดเยี่ยมของคุณเอง ใช้เครือข่ายคนรู้จักที่คุณมี เลือกครอบครัวของคุณ และอย่าถูกบังคับ ด้วยสิ่งที่คุณยังไม่รู้ หรือยังไม่ได้ทำ คุณกำลังกำหนดชีวิตของคุณอยู่
Thank you.
ขอบคุณค่ะ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)