I want to talk to you about my kids. Now, I know everyone thinks that their kid is the most fantastic, the most beautiful kid that ever lived. But mine really are.
ฉันต้องการพูดคุยกับคุณเกี่ยวกับ เด็ก ๆ ของฉัน ตอนนี้ฉันรู้ว่า ทุกคนคิดว่าเด็กของตน เป็นที่ยอดเยี่ยมที่สุด เด็กที่น่ารักที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ แต่เด็กของฉันเป็นแบบนั้นจริง
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
I have 696 kids, and they are the most intelligent, inventive, innovative, brilliant and powerful kids that you'll ever meet.
ฉันมีเด็ก ๆ 696 คน และพวกเด็กฉลาดที่สุด สร้างสรรค์ มีนวัตกรรม เด็กฉลาดและทรงพลังที่คุณจะได้พบ
Any student I've had the honor of teaching in my classroom is my kid. However, because their "real" parents aren't rich and, I argue, because they are mostly of color, they will seldom get to see in themselves the awesomeness that I see in them. Because what I see in them is myself -- or what would have been myself.
นักเรียนคนไหนที่ฉันได้สอนใน ชั้นเรียนจะเป็นเด็กของฉัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพ่อแม่ "จริง" ของพวกเด็กไม่ร่ำรวย และฉันอธิบายว่า เพราะพวกเด็กเป็น คนผิวสีเป็นส่วนใหญ่ พวกนั้นจะไม่ค่อยได้เห็นในตัวเอง ถึงความมหัศจรรย์ที่ฉันเห็นในพวกเด็ก เพราะสิ่งที่ฉันเห็นในตัวพวกเด็ก คือตัวฉันเอง - หรือสิ่งที่จะเป็นตัวของฉัน
I am the daughter of two hardworking, college-educated, African-American parents who chose careers as public servants: my father, a minister; my mother, an educator. Wealth was never the primary ambition in our house. Because of this lack of wealth, we lived in a neighborhood that lacked wealth, and henceforth a school system that lacked wealth. Luckily, however, we struck the educational jackpot in a voluntary desegregation program that buses inner-city kids -- black and brown -- out to suburban schools -- rich and white.
ฉันเป็นลูกสาวของ พ่อแม่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน อเมริกันทำงานหนัก ที่เลือกอาชีพเป็นข้าราชการ: พ่อของฉันเป็นรัฐมนตรี แม่ของฉัน เป็นนักการศึกษา ความมั่งคั่งไม่เคยเป็นความใฝ่ฝัน หลักในบ้านของเรา เนื่องจากการขาดความมั่งคั่งนี้ เราอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ที่ขาดความมั่งคั่ง และต่อจากนี้ ระบบโรงเรียน ก็ขาดความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เราถูกแจ๊คพ็อต ด้านการศึกษา ในโครงการเลิกการแบ่งแยกโดยสมัครใจ ที่ขนเด็กในเมือง ทั้งคนผิวดำ และผิวสีน้ำตาล ออกไปที่โรงเรียนชานเมือง คนรวยและผิวขาว
At five years old, I had to take an hour-long bus ride to a faraway place to get a better education. At five years old, I thought everyone had a life just like mine. I thought everyone went to school and were the only ones using the brown crayons to color in their family portraits, while everyone else was using the peach-colored ones. At five years old, I thought everyone was just like me. But as I got older, I started noticing things, like: How come my neighborhood friend don't have to wake up at five o'clock in the morning, and go to a school that's an hour away? How come I'm learning to play the violin while my neighborhood friends don't even have a music class? Why were my neighborhood friends learning and reading material that I had done two to three years prior?
ตอนอายุห้าขวบ ฉันต้องนั่งรถเมล์ นานหนึ่งชั่วโมง ไปยังที่ไกล ๆ เพื่อให้ได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น ตอนอายุห้าขวบ ฉันคิดว่าทุกคน มีชีวิตเหมือนฉัน ฉันคิดว่า ทุกคนไปโรงเรียน และเป็นคนกลุ่มเดียวที่ใช้ดินสอ สีน้ำตาล เพื่อระบายสีภาพคนในครอบครัว ของพวกเด็ก ขณะที่คนอื่นกำลังใช้สีลูกพีช ตอนอายุห้าขวบ ฉันคิดว่าทุกคนก็เหมือนกับฉัน แต่เมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็เริ่มสังเกต เห็นสิ่งต่าง ๆ เช่น เพื่อนบ้านของฉันไม่ต้องตื่นขึ้นมา เวลาตีห้า และไปโรงเรียนที่ห่างออกไปหนึ่งชั่วโมง ทำไมฉันถึงเรียนไวโอลิน ในขณะที่เพื่อนบ้านของฉันไม่มี แม้แต่วิชาดนตรี ทำไมเพื่อนบ้านของฉันเพิ่งเรียนรู้ และอ่านเนื้อหา ที่ฉันเรียนไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน
See, as I got older, I started to have this unlawful feeling in my belly, like I was doing something that I wasn't supposed to be doing; taking something that wasn't mine; receiving a gift, but with someone else's name on it. All these amazing things that I was being exposed to and experiencing, I felt I wasn't really supposed to have. I wasn't supposed to have a library, fully equipped athletic facilities, or safe fields to play in. I wasn't supposed to have theatre departments with seasonal plays and concerts -- digital, visual, performing arts. I wasn't supposed to have fully resourced biology or chemistry labs, school buses that brought me door-to-door, freshly prepared school lunches or even air conditioning. These are things my kids don't get.
ต่อมา เมื่อฉันอายุมากขึ้น ฉันเริ่มมีความรู้สึกผิดในใจ ในแบบที่ฉันกำลังทำอะไรบางอย่าง ที่ฉันไม่ควรจะทำ เอาอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ของฉัน รับของขวัญ ที่มีชื่อคนอื่นอยู่ ทุกสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ที่ฉันได้สัมผัส และได้ประสบการณ์ ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่ควรจะได้จริงๆ ฉันไม่ควรจะมีห้องสมุด สิ่งอำนวย ความสะดวกที่มีอุปกรณ์ครบครัน หรือสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย ฉันไม่ควรจะมีแผนกละคร กับละครตามฤดูกาลและคอนเสิร์ต ดิจิตอล ภาพ ศิลปะการแสดง ฉันไม่ควรจะมีแหล่งข้อมูลทางชีววิทยา หรือห้องปฏิบัติการเคมีอย่างเต็มรูปแบบ รถโรงเรียนที่ส่งฉันถึงประตูบ้าน อาหารกลางวันที่โรงเรียนที่เตรียมไว้อย่างดี หรือแม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศ นี่เป็นสิ่งที่เด็กๆ ของฉันไม่ได้รับ
You see, as I got older, while I was grateful for this amazing opportunity that I was being given, there was this ever-present pang of: But what about everyone else? There are thousands of other kids just like me, who deserve this, too. Why doesn't everyone get this? Why is a high-quality education only exclusive to the rich?
คุณเห็นว่า เมื่อฉันโตขึ้น ในขณะที่ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาส ที่น่าอัศจรรย์นี้ ที่ฉันได้รับ ฉันคิดเสมอว่า แล้วคนอื่นๆ ล่ะ มีเด็กอีกหลายพันคนเช่นเดียวกับฉัน ใครสมควรได้รับอภิสิทธิ์นี้เช่นกัน ทำไมทุกคนไม่ได้รับสิ่งนี้ ทำไมการศึกษาที่มีคุณภาพสูง จึงมีให้เฉพาะคนรวยเท่านั้น
It was like I had some sort of survivor's remorse. All of my neighborhood friends were experiencing an educational train wreck that I was saved from through a bus ride. I was like an educational Moses screaming, "Let my people go ... to high-quality schools!"
ประหนึ่งว่าฉันเป็นผู้รอดชีวิต จากโศกนาฏกรรม เพื่อนบ้านทั้งหมดของฉัน กำลังประสบ ความพังพินาศทางการศึกษา ที่ฉันรอดมา เพียงเพราะนั่งรถมาคนละคัน ฉันเป็นเหมือนการกรีดร้องของ โมเสสทางการศึกษา "ให้คนของฉันไป ... ยังโรงเรียนที่มีคุณภาพสูง!"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
I'd seen firsthand how the other half was being treated and educated. I'd seen the educational promised land, and I could not for the life of me justify the disparity.
ฉันเห็นทันทีว่า เด็กอีกครึ่งหนึ่งกำลัง ได้รับการปฏิบัติและการศึกษาอย่างไร ฉันเห็นสวรรค์ของการศึกษา และฉันก็ไม่สามารถหาคำบรรยายได้ๆ มาแก้ต่างความเหลื่อมล้ำนี้ได้เลย
I now teach in the very same school system from which I sought refuge. I know firsthand the tools that were given to me as a student, and now as a teacher, I don't have access to those same tools to give my students. There have been countless nights when I've cried in frustration, anger and sorrow, because I can't teach my kids the way that I was taught, because I don't have access to the same resources or tools that were used to teach me. My kids deserve so much better.
ตอนนี้ ฉันสอนในระบบโรงเรียนที่ เหมือนกันซึ่งฉันขอไปเอง ฉันได้สัมผัสเครื่องมือทางการศึกษา ที่ฉันได้รับสมัยยังเป็นนักเรียน และตอนนี้เป็นครู ฉันไม่สามารถจัดหา เครื่องมือแบบเดียวกันนี้ได้ ให้แก่นักเรียนของฉัน มีหลายคืนที่ฉันร้องไห้ด้วย ความหงุดหงิด ความโกรธ และความเสียใจ เพราะฉันไม่สามารถสอนเด็กๆ ของฉันให้ได้ เหมือนที่ฉันเคยได้รับการสอน เนื่องจากฉันไม่มีสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากร หรือเครื่องมือแบบเดียวกัน กับที่ฉันเคยใช้เรียน เด็กๆๆ ของฉันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่ามาก
We sit and we keep banging our heads against this term: "Achievement gap, achievement gap!" Is it really that hard to understand why these kids perform well and these kids don't? I mean, really. I think we've got it all wrong. I think we, as Gloria Ladson-Billings says, should flip our paradigm and our language and call it what it really is. It's not an achievement gap; it's an education debt, for all of the foregone schooling resources that were never invested in the education of the black and brown child over time.
เรานั่งและเรายังคงต่อสู้ หัวชนฝากับคำนี้ "ช่องว่างทางความสำเร็จ ช่องว่างทางความสำเร็จ!" เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ ทำไมเด็กเหล่านั้นทำได้ดีและเด็กๆ เหล่านี้ทำไม่ได้ล่ะ เอาจริงนะ ฉันคิดว่า เราเข้าใจผิด ฉันคิดว่าเรา ดังที่ Gloria Ladson-Billings กล่าวไว้ ว่าเราควรจะพลิกกระบวนทัศน์และภาษาของเรา และเรียกมันตามความเป็นจริง ไม่ใช่ช่องว่างความสำเร็จ แต่เป็นหนี้ทางการศึกษา หนี้ทางทรัพยากรการศึกษา ที่ถูกทิ้งไว้ ไม่เคยถูกลงทุน ลงในการศึกษาของเด็กผิวดำและผิวสีน้ำตาล ตลอดเวลาที่ผ่านมา
A little-known secret in American history is that the only American institution created specifically for people of color is the American slave trade -- and some would argue the prison system, but that's another topic for another TED Talk.
ความลับที่รู้จักกันน้อยใน ประวัติศาสตร์อเมริกัน คือสถาบันเพียงแห่งเดียวในอเมริกา ที่สร้างขึ้นมาเฉพาะสำหรับคนผิวสี คือการค้าทาสชาวอเมริกัน และบางคนจะเถียงว่ามีระบบเรือนจำ แต่นั่นเป็นหัวข้อสำหรับ TED Talk ได้อีกเรื่องหนึ่ง
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
The public school system of this country was built, bought and paid for using commerce generated from the slave trade and slave labor. While African-Americans were enslaved and prohibited from schooling, their labor established the very institution from which they were excluded. Ever since then, every court case, educational policy, reform, has been an attempt to retrofit the design, rather than just stopping and acknowledging: we've had it all wrong from the beginning.
ระบบโรงเรียนของประเทศนี้ถูกสร้างขึ้น ถูกซื้อและจ่ายเงิน ด้วยการค้าที่เกิดจากการค้าทาส และแรงงานทาส ในขณะที่ชาวแอฟริกันอเมริกันถูกกดขี่ และไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการศึกษา แรงงานเหล่านั้นคือผู้สร้างที่แท้จริง ของสถาบันที่พวกเขาถูกกีดกันออกมา ตั้งแต่นั้นมา ทุกคดีความ นโยบาย การศึกษา การปฏิรูป มีความพยายามเพียงแค่ปรับเปลี่ยน แต่ไม่หยุดมองแล้วยอมรับเสียว่า เราทำผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว
An oversimplification of American educational history. All right, just bear with me. Blacks were kept out -- you know, the whole slavery thing. With the help of philanthropic white people, they built their own schools. Separate but equal was OK. But while we all know things were indeed separate, they were in no ways equal. Enter Brown v. the Board of Education of Topeka, Kansas in 1954; legal separation of the races is now illegal. But very few people pay attention to all of the court cases since then, that have undone the educational promised land for every child that Brown v. Board intended. Some argue that today our schools are now more segregated than they ever were before we tried to desegregate them in the first place.
ยกตัวอย่างการศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกา อย่างง่ายๆ ทนฟังฉันเล่าหน่อยนะ คนผิวดำถูกกีดกันภายใต้ระบบทาส อย่างที่เรารู้ๆ กัน แต่ด้วยความช่วยเหลือของ คนขาวผู้ใจบุญสุนทาน พวกนั้นจึงได้สร้างโรงเรียนของตน การแบ่งแยกแต่เท่าเทียมกัน เป็นเรื่องยอมรับได้ ในขณะที่เราทุกคนรู้ว่า สิ่งต่างๆ ถูกแบ่งแยกออกอย่างชัดเจน แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่เท่าเทียม ด้วยคดีระหว่าง Enter Brown กับคณะกรรมการการศึกษา ของเมืองโทเปก้า รัฐแคนซัสในปี 1954 การแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ทางกฎหมายนี้ ถึงได้กลายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความสนใจ กับคดีอื่นๆ ตั้งแต่นั้นมา ที่ได้ล้มล้างความหวังทางการศึกษา ของเด็กทุกคน ที่ Brown และคณะกรรมการการศึกษาฯ ตั้งใจทำ บางคนแย้งว่า วันนี้ในตอนนี้ โรงเรียนของเรา แบ่งแยกออกจากกันมากขึ้น ยิ่งกว่าที่เราพยายามลดการแบ่งแยก ในตอนแรกเสียอีก
Teaching my kids about desegregation, the Little Rock Nine, the Civil Rights Movement, is a real awkward moment in my classroom, when I have to hear the voice of a child ask, "If schools were desegregated in 1954, how come there are no white kids here?"
การสอนเด็กเกี่ยวกับการขจัดการแบ่งแยก ทั้งเหตุการณ์ Little Rock Nine และขบวนการสิทธิของพลเมือง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจ ที่จะถูกสอนในห้องเรียนของฉัน เมื่อฉันต้องได้ยินเสียงของเด็กถามว่า "ถ้าโรงเรียนถูกขจัดการแบ่งแยก ในปี พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) ทำไมไม่มีเด็กสีขาวที่นี่ล่ะ"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
These kids aren't dumb. They know exactly what's happening, and what's not. They know that when it comes to schooling, black lives don't matter and they never have.
เด็กเหล่านี้ไม่โง่ พวกเด็กรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น อะไรไม่ได้เกิดขึ้น พวกเด็กรู้ว่า เมื่อมาถึงการศึกษา ชีวิตคนผิวดำไม่สำคัญ และไม่เคยมีความสำคัญ
For years, I tried desperately to cultivate in my kids a love of reading. I'd amassed a modest classroom library of books I'd accumulated from secondhand shops, thrift stores, attics -- you know. But whenever I said those dreadful words, "Take out a book and read," you'd think I'd just declared war. It was torture. One day, after I'd heard about this website called DonorsChoose, where classroom teachers create wish lists of items they need for their classroom and anonymous donors fulfill them, I figured I'd go out on a limb and just make a wish list of the teenager's dream library. Over 200 brand-new books were sent to my room piece by piece. Every day there were new deliveries and my kids would exclaim with glee, "This feels like Christmas!"
หลายปีที่ผ่านมา ฉันพยายามอย่างมาก ที่จะปลูกฝังให้เด็กๆ ของฉันรักการอ่าน ฉันสร้างห้องสมุดในห้องเรียน ขนาดพอประมาณ มีหนังสือที่ฉันรวบรวมมาจาก ร้านค้าหนังสือเก่า เก็บจากร้านมือสอง ของทิ้งแล้วต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่ฉันพูดว่า "เอาหนังสือออกมาและอ่านซะ" คุณจะคิดว่าฉันเพิ่งประกาศสงคราม เพราะมันคือการทรมาน วันหนึ่ง หลังจากที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับ เว็บไซต์ที่เรียกว่า DonorsChoose ที่ครูในชั้นเรียนสร้างรายการ ของสิ่งที่ต้องการ สำหรับใช้ห้องเรียน และให้ผู้ไม่ประสงค์ออกนามมาบริจาค ฉันจึงลองเสี่ยงเขียนความต้องการลงไป ว่าต้องการห้องสมุดในฝันของวัยรุ่น มีหนังสือใหม่ๆ กว่า 200 เล่มถูกส่งไปที่ ห้องของฉันทีละเล่ม ทุกๆ วัน จะมีหนังสือเข้ามาใหม่ และเด็กของฉันจะตะโกนด้วยความสุข "นี่มันเหมือนวันคริสต์มาสเลย!"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Then they'd say, "Ms. Sumner, where did these books come from?"
จากนั้น พวกเด็กก็จะพูดว่า "ครูซัมเนอร์คะ หนังสือเหล่านี้ มาจากไหน"
And then I'd reply, "Strangers from all over the country wanted you to have these."
แล้วฉันจะตอบ "คนแปลกหน้าจากทั่วประเทศต้องการ ให้หนูๆ มีสิ่งเหล่านี้"
And then they'd say, almost suspiciously, "But they're brand-new."
แล้วพวกเขาก็พูดด้วยความสงสัยว่า "แต่พวกนี้เป็นหนังสือใหม่เอี่ยมเลยนะ"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
To which I'd reply, "You deserve brand-new books."
ฉันจะตอบว่า "เธอสมควรได้รับหนังสือใหม่เอี่ยม"
The whole experience hit home for me when one of my girls, as she peeled open a crisp paperback said, "Ms. Sumner -- you know, I figured you bought these books, 'cause you teachers are always buying us stuff. But to know that a stranger, someone I don't even know, cares this much about me is pretty cool."
มีเหตุการณ์ประทับใจครั้งหนึ่ง เมื่อนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เปิดหนังสือขึ้นมาแล้วพูดว่า "ครูซัมเนอร์คะ หนูคิดว่าครู ซื้อหนังสือเหล่านี้มาเอง เพราะคุณครูมักจะซื้อสิ่งต่างๆ มาให้พวกเรา แต่พอรู้ว่ามีคนแปลกหน้า คนที่ฉันไม่รู้จัก ใส่ใจฉันมาก นี่มันยอดเยี่ยมมาก"
Knowing that strangers will take care of you is a privilege my kids aren't afforded.
การที่รู้ว่าคนแปลกหน้าจะดูแลคุณ เป็นอภิสิทธิ์ที่เด็กๆ ของฉันไม่เคยได้รับ
Ever since the donation, there has been a steady stream of kids signing out books to take home, and then returning them with the exclamation, "This one was good!"
นับตั้งแต่การบริจาคครั้งนั้น เด็กๆ จะยืมหนังสือกลับบ้านกันเป็นเรื่องปกติ แล้วส่งคืนพร้อมกับอุทานว่า "เล่มนี้ดีมาก!"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Now when I say, "Take out a book and read," kids rush to my library. It wasn't that they didn't want to read, but instead, they'd gladly read if the resources were there.
ตอนนี้ เมื่อฉันพูดว่า "เอาหนังสือ ออกมาอ่านซะ" เด็กๆ จะวิ่งไปที่ห้องสมุดของฉัน ไม่ใช่ว่าพวกเด็กไม่ต้องการอ่าน พวกเด็กยินดีที่จะอ่าน ถ้ามีหนังสือดีๆ ให้เขาอ่าน
Institutionally speaking, our public school system has never done right by the black and brown child. We keep focusing on the end results or test results, and getting frustrated. We get to a catastrophe and we wonder, "How did it get so bad? How did we get here?" Really? If you neglect a child long enough, you no longer have the right to be surprised when things don't turn out well.
ถ้าพูดในเชิงระบบการศึกษา ระบบโรงเรียนของเราไม่เคยทำ สิ่งถูกต้องให้เด็กผิวดำและผิวสีน้ำตาล เราให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ได้ หรือผลการทดสอบ และต้องผิดหวัง เราพบความหายนะแล้วก็สงสัยว่า มันแย่ขนาดนี้ได้อย่างไร จริงๆ นะ หากคุณละเลยเด็กนานพอ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะแปลกใจ เมื่อสิ่งต่างๆ ออกมาไม่ดี
Stop being perplexed or confused or befuddled by the achievement gap, the income gap, the incarceration rates, or whatever socioeconomic disparity is the new "it" term for the moment. The problems we have as a country are the problems we created as a country. The quality of your education is directly proportionate to your access to college, your access to jobs, your access to the future.
อย่างง หรือสับสน หรือตีมึน โดยช่องว่างความสำเร็จ ช่องว่างรายได้ อัตราการจำคุก หรืออะไรก็ตาม ที่เราใช้เรียกความแตกต่าง ทางสังคมและเศรษฐกิจในขณะนี้ ปัญหาที่เรามีในระดับประเทศ เป็นปัญหาที่เราสร้างขึ้นในระดับประเทศ คุณภาพของการศึกษาของคุณ สอดคล้องกับ โอกาสการเข้าถึงปริญญาของคุณ โอกาสหางานของคุณ โอกาสในอนาคตของคุณ
Until we live in a world where every kid can get a high-quality education no matter where they live, or the color of their skin, there are things we can do on a macro level. School funding should not be decided by property taxes or some funky economic equation where rich kids continue to benefit from state aid, while poor kids are continuously having food and resources taken from their mouths. Governors, senators, mayors, city council members -- if we're going to call public education public education, then it should be just that. Otherwise, we should call it what it really is: poverty insurance. "Public education: keeping poor kids poor since 1954."
จนกว่าเราจะอยู่ในโลกที่เด็กทุกคนจะได้รับ การศึกษาที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าพวกเด็กอาศัยอยู่ที่ไหน หรือสีผิวเป็นแบบใด มีหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ใน ระดับมหภาค การให้ทุนสนับสนุนโรงเรียนไม่ควร ยึดตามภาษีทรัพย์สิน หรือสมการทางเศรษฐกิจต่างๆ นาๆ ที่เด็กที่ร่ำรวยยังคงได้รับประโยชน์ จากการช่วยเหลือของรัฐ ในขณะที่เด็กยากจนมีปัญหา ถูกริดรอนอาหารและทรัพยากร จากปากของเด็กๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้ว่าการ วุฒิสมาชิก นายกเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล ถ้าเราจะเรียกการศึกษาของรัฐว่า การศึกษาสาธารณะ มันก็ควรจะเป็นไปตามชื่อนั้นๆ มิฉะนั้น เราควรเรียกสิ่งที่เป็นจริง การรับประกันว่าจะยากจน "การศึกษาของรัฐ ทำให้เด็กมีความยากจนมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2497"
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
If we really, as a country, believe that education is the "great equalizer," then it should be just that: equal and equitable. Until then, there's no democracy in our democratic education.
ถ้าเราเป็นประเทศที่เชื่อว่า การศึกษา คือ "ตัวสร้างความเสมอภาคอันยิ่งใหญ่" มันก็ควรเป็นตามนั้น เท่าเทียม และเป็นธรรม จนถึงขณะนี้เราไม่มีประชาธิปไตย ในการศึกษาแบบประชาธิปไตยของเรา
On a mezzo level: historically speaking, the education of the black and brown child has always depended on the philanthropy of others. And unfortunately, today it still does. If your son or daughter or niece or nephew or neighbor or little Timmy down the street goes to an affluent school, challenge your school committee to adopt an impoverished school or an impoverished classroom. Close the divide by engaging in communication and relationships that matter. When resources are shared, they're not divided; they're multiplied.
ในระดับกลางระหว่างมหภาคและจุลภาค เมื่อพูดถึงอดีต การศึกษาของ เด็กผิวดำและผิวสีน้ำตาล ขึ้นอยู่กับการทำบุญของคนอื่นเสมอ และน่าเสียดายที่ วันนี้ยังเป็นแบบนี้ ถ้าลูกชายหรือลูกสาวหรือหลานสาว หรือหลานชายหรือเพื่อนบ้าน หรือน้องทิมมี่ตัวเล็ก ๆ ในซอย ไปที่โรงเรียนร่ำรวย จงท้าทายให้คณะกรรมการโรงเรียนของคุณ อุปถัมภ์โรงเรียนที่ยากจน หรือห้องเรียนยากจน ปิดการแบ่งแยกโดยการเริ่มสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์ที่สำคัญ เมื่อมีการแบ่งปันทรัพยากร ทรัพยากรไม่ได้ถูกแบ่ง แต่ทรัพยากรถูกทวีคูณ
And on a micro level: if you're a human being, donate. Time, money, resources, opportunities -- whatever is in your heart. There are websites like DonorsChoose that recognize the disparity and actually want to do something about it.
และในระดับจุลภาค ถ้าคุณเป็นมนุษย์ จงบริจาค เวลา เงิน ทรัพยากร โอกาส ไม่ว่าอะไรที่อยู่ในใจของคุณ มีเว็บไซต์เช่น DonorsChoose ที่ตระหนักถึงความแตกต่าง และอยากจะทำอะไร สักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง
What is a carpenter with no tools? What is an actress with no stage? What is a scientist with no laboratory? What is a doctor with no equipment? I'll tell you: they're my kids. Shouldn't they be your kids, too?
ช่างไม้จะทำไม้อย่างไรหากไร้ครื่องมือ นักแสดงจะแสดงอย่างไรหากไร้เวที นักวิทยาศาสตร์จะวิจัยอย่างไร หากไม่มีห้องปฏิบัติการ และหมอจะรักษาคนอย่างไรหากไร้อุปกรณ์ ฉันจะบอกคุณ พวกเขาเป็นเด็ก ๆ ของฉัน พวกเด็กก็ควรเป็นลูกของคุณด้วยมิใช่หรือ
Thank you.
ขอขอบคุณ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)