Is there a real you? This might seem to you like a very odd question. Because, you might ask, how do we find the real you, how do you know what the real you is? And so forth.
ตัวตนที่แท้จริง มีจริงหรือเปล่า? มันอาจจะเป็นคำถามที่ฟังดูแปลกๆ เพราะ คุณอาจจะเคยถามว่า เราจะหาตัวตนของเราได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนของเราคืออะไร เป็นต้น
But the idea that there must be a real you, surely that's obvious. If there's anything real in the world, it's you. Well, I'm not quite sure. At least we have to understand a bit better what that means. Now certainly, I think there are lots of things in our culture around us which sort of reinforce the idea that for each one of us, we have a kind of a core, an essence. There is something about what it means to be you which defines you, and it's kind of permanent and unchanging. The most kind of crude way in which we have it, are things like horoscopes. You know, people are very wedded to these, actually. People put them on their Facebook profile as though they are meaningul, you even know your Chinese horoscope as well. There are also more scientific versions of this, all sorts of ways of profiling personality type, such as the Myers-Briggs tests, for example. I don't know if you've done those. A lot of companies use these for recruitment. You answer a lot of questions, and this is supposed to reveal something about your core personality. And of course, the popular fascination with this is enormous. In magazines like this, you'll see, in the bottom left corner, they'll advertise in virtually every issue some kind of personality thing. And if you pick up one of those magazines, it's hard to resist, isn't it? Doing the test to find what is your learning style, what is your loving style, or what is your working style? Are you this kind of person or that?
ความคิดว่าตัวตนที่แท้มีจริง ดูชัดเจน ถ้าจะมีอะไรที่แท้ในโลกนี้ มันก็คือตัวคุณนั่นแหล่ะ ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก อย่างน้อย เราเข้าใจมันมากขึ้นหน่อย แน่นอนว่า สิ่งต่างๆ รอบตัวเรา หล่อหลอมความคิดให้เราเชื่อมั่น ว่าแต่ละคนมีแก่นความเชื่อ มีบางอย่างที่บอกตัวตน ให้คำจำกัดความ ความเป็นตัวเรา เหมือนจะดูแน่แท้ และไม่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ดวงชะตาราศี คนทั่วไปยึดถือกับเรื่องนี้มากๆ บางคนก็ใส่ราศีเกิดไว้ในเฟซบุ๊ก ราวกับมันมีความหมาย เรารู้กระทั่งปีนักษัตรจีน แล้วยังมีการทำนายแบบวิทยาศาสตร์ หลายหลากวิธี เช่นการประเมินบุคลิกตัวตน เช่น การทดสอบของไมเออร์ส-บริกส์ ผมไม่รู้ว่าคุณเคยลองทดสอบไหม บริษัทมากมายใช้แบบทดสอบนี้ในการรับสมัครงาน ด้วยการตอบคำถามมากมาย ซึ่งมันจะบ่งบอกบุคลิกนิสัยตัวตนของคุณ แน่นอน มันเป็นที่นิยมมาก ตามนิตยสาร จะเห็นได้ว่า ตรงมุมซ้ายของเล่ม จะมีโฆษณาไว้เกือบทุกเล่ม การทำนายบุคลิกนิสัย แล้วเราก็ชอบหยิบมันขึ้นมา มันยากจะห้ามใจ ที่จะลองทำแบบทดสอบเพื่อประเมินว่า เรามีสไตล์การเรียนแบบไหน ลักษณะความรัก หรือ สไตล์การทำงานเป็นอย่างไร? คุณเป็นคนลักษณะแบบไหน
So I think that we have a common-sense idea that there is a kind of core or essence of ourselves to be discovered. And that this is kind of a permanent truth about ourselves, something that's the same throughout life. Well, that's the idea I want to challenge. And I have to say now, I'll say it a bit later, but I'm not challenging this just because I'm weird, the challenge actually has a very, very long and distinguished history. Here's the common-sense idea. There is you. You are the individuals you are, and you have this kind of core. Now in your life, what happens is that you, of course, accumulate different experiences and so forth. So you have memories, and these memories help to create what you are. You have desires, maybe for a cookie, maybe for something that we don't want to talk about at 11 o'clock in the morning in a school. You will have beliefs. This is a number plate from someone in America. I don't know whether this number plate, which says "messiah 1," indicates that the driver believes in the messiah, or that they are the messiah. Either way, they have beliefs about messiahs. We have knowledge. We have sensations and experiences as well. It's not just intellectual things. So this is kind of the common-sense model, I think, of what a person is. There is a person who has all the things that make up our life experiences.
ผมว่า เราต่างมีความเข้าใจโดยสามัญสำนึกว่า มันเป็นสิ่งที่บอกแก่นแท้ตัวตน ที่เราค้นหา และความจริงแท้เกี่ยวกับตัวเรานี้ จะเป็นเช่นนี้ไป ไม่เปลี่ยนตลอดชีวิต และนี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เชื่อนัก แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่เชื่อแนวคิดนี้ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนแปลก แต่มันมีเรื่องราวที่ยาวนาน นี่คือแนวคิดแบบพื้นๆ คุณมีตัวตนของคุณ มีความเป็นปัจเจกบุคคล ในชีวิตของคุณ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณก็คือ คุณสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ มีความทรงจำ และความทรงจำก็ช่วยสร้างความเป็นคุณ สมมติ คุณอยากทานคุ้กกี้ หรือจะเป็นสิ่งอื่นที่เราไม่อยากพูดถึงก็ตาม ตอน 11 โมงเช้า ที่โรงเรียน คุณจะมีความเชื่อ นี่คือหมายเลขทะเบียน จากคนในอเมริกา ผมไม่ทราบว่าหมายเลขทะเบียน ที่เขียนว่า "messiah 1" เป็นการบอกได้ว่าคนขับศรัทธาในพระเมสสิยาห์ หรือว่าคนขับคือพระเมสสิยาห์ ทั้งสองแบบ ก็คือเชื่อว่ามีพระเมสสิยาห์จริง ๆ เรามีความรู้ เรามีความรู้สึกและประสบการณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ความฉลาดทางปัญญา ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของสามัญสำนึก ของบุคคลนั้น คนที่เข้ามาในชีวิตเราก็มาเป็น ส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของเรา
But the suggestion I want to put to you today is that there's something fundamentally wrong with this model. And I can show you what's wrong with one click. Which is there isn't actually a "you" at the heart of all these experiences. Strange thought? Well, maybe not. What is there, then? Well, clearly there are memories, desires, intentions, sensations, and so forth. But what happens is these things exist, and they're kind of all integrated, they're overlapped, they're connected in various different ways. They're connecting partly, and perhaps even mainly, because they all belong to one body and one brain. But there's also a narrative, a story we tell about ourselves, the experiences we have when we remember past things. We do things because of other things. So what we desire is partly a result of what we believe, and what we remember is also informing us what we know. And so really, there are all these things, like beliefs, desires, sensations, experiences, they're all related to each other, and that just is you. In some ways, it's a small difference from the common-sense understanding. In some ways, it's a massive one.
ผมอยากจะบอกว่า มันมีความผิดพลาดที่กับความคิดเช่นนี้ และผมจะแสดงให้เห็นด้วยสไลด์แผ่นเดียว มันไม่ใช่ตัวตนของคุณเป็นศูนย์กลาง ประสบการณ์ทั้งหลายเหล่านี้หรอก ผมคิดแปลกใช่ไหม ถ้าไม่ใช่แล้วอะไรล่ะ ความทรงจำ ความต้องการ เจตนา การรับรู้ต่างๆ เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ เพราะมีสิ่งเหล่านี้ เป็นองค์ประกอบรวมกันขึ้น มันหล่อรวมกันในหลายรูปแบบ มันรวมกันเป็นบางส่วน หรือว่า เกือบทุกส่วน เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และสมอง แต่ยังมีการเล่าเรื่อง เรื่องราวที่เราบอกเกี่ยวกับตัวเอง บอกเล่าประสบการณ์ เวลาเรานึกถึงอดีต เราทำสิ่งนี้เพราะสิ่งนั้น ดังนั้นสิ่งที่เราโหยหา ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เราเชื่อถือ ศรัทธา และสิ่งที่เราจำได้ ก็บอกเราว่าเรารู้ มันมีหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ความเชื่อ ความต้องการ การรับรู้ความรู้สึก ประสบการณ์ มันเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน และมันก็คือคุณ มองในมุมหนึ่ง มันก็เป็นแตกต่างจาก แนวคิดแบบพื้นๆ เล็กน้อย ในอีกมุม มันก็ต่างกันมากมาย
It's the shift between thinking of yourself as a thing which has all the experiences of life, and thinking of yourself as simply that collection of all experiences in life. You are the sum of your parts. Now those parts are also physical parts, of course, brains, bodies and legs and things, but they aren't so important, actually. If you have a heart transplant, you're still the same person. If you have a memory transplant, are you the same person? If you have a belief transplant, would you be the same person? Now this idea, that what we are, the way to understand ourselves, is as not of some permanent being, which has experiences, but is kind of a collection of experiences, might strike you as kind of weird.
การสลับสับเปลี่ยนระหว่างความคิดของตัวเอง ว่ามันคือ ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมด หรือเป็นแค่การรวบรวม เอาทุกๆ ประสบการณ์ไว้ด้วยกัน คุณก็เป็นผลรวมจากทุกๆ ส่วน ทุกส่วนเหล่านั้นก็เป็นส่วนทางกายภาพ สมอง ร่างกาย ขา แขน แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ต่อให้คุณผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ คุณก็ยังเป็นคนเดิม แต่ถ้าคุณผ่าตัดเปลี่ยนความทรงจำ คุณจะยังเป็นคนเดิมอยู่ไหม ถ้าคุณผ่าตัดเปลี่ยนความเชื่อ คุณจะเป็นคนเดิมอยู่ไหม มันเป็นวิธีที่เราเข้าใจว่าอะไรคือตัวเราเอง ไม่ใช่กายภาพที่ถาวรที่มีประสบการณ์ แต่เป็นการสะสมประสบการณ์ต่างๆ ทั้งหมด อาจจะฟังดูแปลกนะ
But actually, I don't think it should be weird. In a way, it's common sense. Because I just invite you to think about, by comparison, think about pretty much anything else in the universe, maybe apart from the very most fundamental forces or powers. Let's take something like water. Now my science isn't very good. We might say something like water has two parts hydrogen and one parts oxygen, right? We all know that. I hope no one in this room thinks that what that means is there is a thing called water, and attached to it are hydrogen and oxygen atoms, and that's what water is. Of course we don't. We understand, very easily, very straightforwardly, that water is nothing more than the hydrogen and oxygen molecules suitably arranged. Everything else in the universe is the same. There's no mystery about my watch, for example. We say the watch has a face, and hands, and a mechanism and a battery, But what we really mean is, we don't think there is a thing called the watch to which we then attach all these bits. We understand very clearly that you get the parts of the watch, you put them together, and you create a watch. Now if everything else in the universe is like this, why are we different?
แต่ผมว่ามันไม่แปลก ฟังดูธรรมดาเข้าใจได้นะ เพราะผมเพียงอยากให้คุณ คิดโดยการเปรียบเทียบ คิดถึงสิ่งไหนก็ได้ในจักรวาล เว้นจากแรงโน้มถ่วงหรือพลังงานพื้นฐาน ก่อนนะ ลองคิดถึงน้ำดูสิ ผมไม่เก่งวิทยาศาสตร์หรอก เราอาจจะบอกได้ว่าน้ำมีไฮโดรเจนสองส่วน และออกซิเจนหนึ่งส่วน ใครๆ ก็คงรู้จักดี ผมหวังว่าคงไม่มีใครในห้องนี้ เวลานึกถึงน้ำแล้ว มองเห็นว่าน้ำ เป็นอะตอมของไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ซึ่งมันก็เป็นส่วนประกอบของน้ำ แน่นอน ไม่มีใครคิด เราก็รู้และเข้าใจว่า น้ำก็มาจาก การรวมตัวของไฮโดรเจนและออกซิเจน ทุกๆ สิ่งในจักรวาลก็เหมือนกัน ลองดูตัวอย่างเช่น นาฬิการผมก็ได้ มันมีหน้าปัด มีเข็มนาฬิกา มีกลไก และ แบตเตอรี แต่ชิ้นส่วนเหล่านี้ เราไม่คิดว่า สิ่งนี้เรียกว่านาฬิกา จากการเอาส่วนประกอบเหล่านี้มารวมกัน แต่เรารู้ชัดว่าถ้าเราเอา ส่วนประกอบของนาฬิกา มารวมกัน เราก็ประกอบเป็นนาฬิกาได้ ทุกสิ่งในจักรวาล ก็เป็นเช่นนี้ เราก็ไม่ต่างกันหรอก
Why think of ourselves as somehow not just being a collection of all our parts, but somehow being a separate, permanent entity which has those parts? Now this view is not particularly new, actually. It has quite a long lineage. You find it in Buddhism, you find it in 17th, 18th-century philosophy going through to the current day, people like Locke and Hume. But interestingly, it's also a view increasingly being heard reinforced by neuroscience. This is Paul Broks, he's a clinical neuropsychologist, and he says this: "We have a deep intuition that there is a core, an essence there, and it's hard to shake off, probably impossible to shake off, I suspect. But it's true that neuroscience shows that there is no centre in the brain where things do all come together." So when you look at the brain, and you look at how the brain makes possible a sense of self, you find that there isn't a central control spot in the brain. There is no kind of center where everything happens. There are lots of different processes in the brain, all of which operate, in a way, quite independently. But it's because of the way that they relate that we get this sense of self. The term I use in the book, I call it the ego trick. It's like a mechanical trick. It's not that we don't exist, it's just that the trick is to make us feel that inside of us is something more unified than is really there.
ทำไมถึงมองว่า เราไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของส่วนต่าง ๆ แต่เป็นสิ่งถาวร ที่ประกอบไปด้วยส่วนๆ ต่างๆ ความคิดนี้ไม่ใช่ของใหม่หรอก มันสืบทอดมายาวนาน คุณพบความคิดนี้ในศาสนาพุทธ พบในปรัชญาศตวรรษที่ 17 และ 18 ในปัจจุบัน คนชอบคิด แบบล็อค และ ฮูม (Locke and Hume) แต่ก็น่าสนใจว่า ยังมีความคิดหนึ่ง ที่ได้รับการยืนยันจากวิชาประสาทวิทยา อย่าง พอล บร็อคส์ (Paul Broks) เขาเป็นนักจิตวิทยาคลินิกด้านประสาท เขากล่าวว่า "เรามีสัญชาตญาณอยู่ลึก ๆ ว่ามี เรามีตัวตน, มี แก่นสารสำคัญ และยากที่จะแปรเปลี่ยน" ผมคิดว่า อาจจะขจัดออกไปไม่ได้ด้วย แต่ความรู้ทางประสาทวิทยา ได้ชี้ให้เห็นว่าไม่มีศูนย์สั่งการของสมอง ที่เชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน ถ้าคุณสำรวจสมองดู ว่าสมองรับรู้เกี่ยวกับ ตัวตนของตัวเองอย่างไร คุณจะพบว่ามันไม่มี ส่วนใดส่วนหนึ่งในสมอง ไม่มีศูนย์กลางการสั่งงาน มันเป็นกระบวนการต่าง ๆ มากมายในสมองเรา ที่ทำงานของแต่ละส่วน ๆ ไปอย่างอิสระ แต่เพราะมันเชื่อมโยงกัน เราถึงรับรู้เกี่ยวกับตัวตนตัวเอง ผมใช้ศัพท์ว่ากลอุบายของอีโก้ (Ego trick) เช่นเดียวกับกลไกของจักรกล มันไม่ใช่ว่าเราไม่มีอยู่ มันเป็นเพียงกลลวง ที่ทำให้เรารู้สึกถึงข้างในตัวเองว่า มันอะไรบางอย่างที่ทำงานประสานกัน
Now you might think this is a worrying idea. You might think that if it's true, that for each one of us there is no abiding core of self, no permanent essence, does that mean that really, the self is an illusion? Does it mean that we really don't exist? There is no real you. Well, a lot of people actually do use this talk of illusion and so forth. These are three psychologists, Thomas Metzinger, Bruce Hood, Susan Blackmore, a lot of these people do talk the language of illusion, the self is an illusion, it's a fiction. But I don't think this is a very helpful way of looking at it. Go back to the watch. The watch isn't an illusion, because there is nothing to the watch other than a collection of its parts. In the same way, we're not illusions either. The fact that we are, in some ways, just this very, very complex collection, ordered collection of things, does not mean we're not real. I can give you a very sort of rough metaphor for this. Let's take something like a waterfall. These are the Iguazu Falls, in Argentina. Now if you take something like this, you can appreciate the fact that in lots of ways, there's nothing permanent about this. For one thing, it's always changing. The waters are always carving new channels. with changes and tides and the weather, some things dry up, new things are created. Of course the water that flows through the waterfall is different every single instance. But it doesn't mean that the Iguazu Falls are an illusion. It doesn't mean it's not real. What it means is we have to understand what it is as something which has a history, has certain things that keep it together, but it's a process, it's fluid, it's forever changing.
คุณอาจจะคิดว่า ความคิดนี้ไม่ถูกต้อง หรือคุณคิดว่าถ้ามันถูก ว่าแต่ละคนมีตัวตน เป็นสิ่งไม่เที่ยง หรือมันหมายความว่าตัวตน เป็นเพียงภาพมายา มันหมายถึงเราไม่มีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง หลายคนก็พูดถึงมันว่าเป็นเพียงภาพมายา นักจิตวิทยาสามท่าน โทมัส เมทซิงเกอร์, บรูซ ฮูด ซูซาน แบล็คมอร์ ต่างกล่าวถึงภาษามายา ตัวตนเป็นภาพลวงตา มันเรื่องไม่มีอยู่จริง แต่ผมว่ามันเปล่าประโยชน์ ที่จะคิดแบบนี้ กลับมาที่นาฬิกา นาฬิกาไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นการรวมตัวของส่วนต่างๆ เช่นกัน เราก็ไม่ใช่ภาพมายา จริงๆแล้ว เราคือการรวมกัน ของส่วนประกอบอันซับซ้อน จากส่วนต่างๆ รวมกัน ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีอยู่จริง ผมขอเปรียบเปรยอย่างนี้ ลองคิดถึงน้ำตก ในอาร์เจนตินา มีน้ำตก อิกัวซู (Iguazu) ตัวอย่างเช่นนี้ สามารถบอกได้หลายอย่าง ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันมองได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงตลอด น้ำก็เซาะไหลไปตามช่องทางใหม่ ๆ ตามกระแสและสภาพอากาศ บางที่อาจจะแห้งไป น้ำก็ไหลไปที่ใหม่ น้ำในน้ำตก ก็ต่างกันไปในแต่ละหยด น้ำตกอิกัวซูก็ไม่ใช่ภาพมายา ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง เราต้องพยายามเข้าใจมัน อย่างเป็นสิ่งที่มีประวัติศาสตร์ ที่ทำให้มันคงอยู่ แต่มันเป็น กระบวนการ เป็นของไหล ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
Now that, I think, is a model for understanding ourselves, and I think it's a liberating model. Because if you think that you have this fixed, permanent essence, which is always the same, throughout your life, no matter what, in a sense you're kind of trapped. You're born with an essence, that's what you are until you die, if you believe in an afterlife, maybe you continue. But if you think of yourself as being, in a way, not a thing as such, but a kind of a process, something that is changing, then I think that's quite liberating. Because unlike the the waterfalls, we actually have the capacity to channel the direction of our development for ourselves to a certain degree. Now we've got to be careful here, right? If you watch the X-Factor too much, you might buy into this idea that we can all be whatever we want to be. That's not true. I've heard some fantastic musicians this morning, and I am very confident that I could in no way be as good as them. I could practice hard and maybe be good, but I don't have that really natural ability. There are limits to what we can achieve. There are limits to what we can make of ourselves. But nevertheless, we do have this capacity to, in a sense, shape ourselves. The true self, as it were then, is not something that is just there for you to discover, you don't sort of look into your soul and find your true self, What you are partly doing, at least, is actually creating your true self. And this, I think, is very, very significant, particularly at this stage of life you're at. You'll be aware of the fact how much of you changed over recent years. If you have any videos of yourself, three or four years ago, you probably feel embarrassed because you don't recognize yourself.
ผมคิดว่า กรอบความเข้าใจนี้ ทำให้เราเข้าใจตัวเอง เป็นแบบจำลองอิสระ เพราะถ้าคุณคิดว่าคุณเป็น อะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง และเหมือนเดิมตลอด ชีวิตคุณแล้วละก็ คุณอาจจะติดกับดักมันอยู่ คุณเกิดมาพร้อมแก่นแท้ คุณจะเป็นเช่นนั้นจนกว่าจะตาย ถ้าเชื่อในชีวิตหลังความตาย บางทีก็อาจจะคงมีต่อไป ถ้าคุณคิดแบบนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่ง แต่เป็น กระบวนการ ที่เปลี่ยนแปลงได้ ผมคิดว่ามันค่อนข้างจะเป็นอิสระ ต่างจากน้ำตกนะ พวกเรามีความสามารถ ในการพัฒนาตัวเอง ตอนนี้ เราต้องใคร่ครวญซักหน่อย ถ้าเราดู X-factor มากไป เราอาจจะเข้าใจไปว่า เราสามารถป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น มันไม่จริงเลย เมื่อเช้านี้ ผมเจอนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมมาก ผมมั่นใจว่า ผมไม่สามารถเล่นได้แบบเขา ถ้าผมฝึกฝนมากๆ บางทีก็คงจะเก่งขึ้น แต่มันไม่มีความสามารถนี้ตั้งแต่เกิด มันมีขอบเขตที่เราจะฝึกฝนได้ มันมีขอบเขตที่เราจะสร้างตัวเราได้ แต่ยังไงเราก็มีความสามารถ ที่จะหล่อหลอมตัวเราเอง ตัวเราที่แท้จริง มันไม่ใช่อะไรที่เราต้องไปค้นพบ คุณไม่ต้องไปมองวิญญาณ แล้วจะเจอตัวเอง อย่างน้อย ส่วนที่คุณกำลังทำอยู่ ก็เป็นการสร้างตัวตนคุณเอง และนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในแต่ละช่วงชีวิตที่กำลังเป็น คุณจะตระหนักว่า คุณเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดในช่วงไม่กี่ปี ถ้าคุณมีวีดิโอของตัวเองในช่วงสามสี่ปี คุณอาจจะรู้สึกอาย เพราะคุณจำตัวเองไม่ได้
So I want to get that message over, that what we need to do is think about ourselves as things that we can shape, and channel and change. This is the Buddha, again: "Well-makers lead the water, fletchers bend the arrow, carpenters bend a log of wood, wise people fashion themselves." And that's the idea I want to leave you with, that your true self is not something that you will have to go searching for, as a mystery, and maybe never ever find. To the extent you have a true self, it's something that you in part discover, but in part create. and that, I think, is a liberating and exciting prospect. Thank you very much.
ผมอยากฝากบอกว่า สิ่งที่เราควรทำ คือคิดว่าพวกเรา สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไขตัวเราเอง จากพุทธวจนะนี้ "คนขุดบ่อน้ำสร้างทางน้ำ คนทำลูกธนูทำลูกธนูงอ ช่างไม้ทำให้ท่อนไม้งอ คนฉลาดพัฒนาตัวเอง" นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากฝากไว้ ว่าตัวตนที่แท้ไม่ใช่สิ่งที่ คุณต้องไปค้นหา ไม่ใช่สิ่งลี้ลับที่คุณจะหาไม่เจอ สิ่งที่คุณเป็นอยู่ คือบางส่วนที่คุณได้ค้นเจอ และสิ่งที่คุณสร้างขึ้น ผมคิดว่ามันเป็นแง่มุมที่น่าสนใจนะครับ ขอบคุณมากครับ