As a software developer and technologist, I've worked on a number of civic technology projects over the years. Civic tech is sometimes referred to as tech for good, using technology to solve humanitarian problems.
ในฐานะนักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักเทคโนโลยี ผมได้ทำงานในโครงการเกี่ยวกับ เทคโนโลยีภาคประชาชนมากมาย ตลอดเวลาหลายปี เทคโนโลยีภาคประชาชน บางครั้งก็ถูกพูดถึง ว่าเป็นเทคโนโลยีในทางที่ดี ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านมนุษยธรรม
This is in 2010 in Uganda, working on a solution that allowed local populations to avoid government surveillance on their mobile phones for expressing dissent. That same technology was deployed later in North Africa for similar purposes to help activists stay connected when governments were deliberately shutting off connectivity as a means of population control.
ในปีค.ศ. 2010 ในประเทศยูกันดา ผมทำงานเพื่อหาวิธีที่จะทำให้ประชากรท้องถิ่น สามารถหลีกเลี่ยงการสอดส่องโทรศัพท์มือถือ จากรัฐบาล เพื่อแสดงความเห็นต่าง เทคโนโลยีเดียวกันนี้ ถูกปรับใช้ภายหลังในแอฟริกาเหนือ เพื่อวัตถุประสงค์ที่คล้ายกัน คือช่วยให้นักกิจกรรมสามารถติดต่อกันได้ เมื่อรัฐบาลจงใจปิดการเชื่อมต่อสัญญาณ เพื่อควบคุมมวลชน
But over the years, as I have thought about these technologies and the things that I work on, a question kind of nags in the back of my mind, which is, what if we're wrong about the virtues of technology, and if it sometimes actively hurts the communities that we're intending to help? The tech industry around the world tends to operate under similar assumptions that if we build great things, it will positively affect everyone. Eventually, these innovations will get out and find everyone. But that's not always the case. I like to call this blind championing of technology "trickle-down techonomics," to borrow a phrase. (Laughter) We tend to think that if we design things for the select few, eventually those technologies will reach everyone, and that's not always the case. Technology and innovation behaves a lot like wealth and capital. They tend to consolidate in the hands of the few, and sometimes they find their way out into the hands of the many.
แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อผมคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้ และสิ่งที่ผมได้ทำลงไป มีคำถามหนึ่งที่ออกจะรบกวนใจผม คือ สมมติว่าเราคิดผิดเกี่ยวกับ คุณประโยชน์ของเทคโนโลยี และสมมติว่าบางครั้งเทคโนโลยีกลับทำร้าย ประชาคมที่เราตั้งใจจะช่วยเหลือแทนล่ะ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก มีแนวโน้ม ที่จะทำงานภายใต้สมมติฐานที่คล้ายคลึงกัน คือ ถ้าเราสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันจะส่งผลดีต่อทุก ๆ คน ท้ายที่สุดแล้ว นวัตกรรมเหล่านี้ จะแพร่หลายไปสู่ทุกคน แต่นั่นก็ไม่เสมอไป ผมขอเรียกการปกป้องด้วยเทคโนโลยีมืดบอดนี้ว่า "เศรษฐศาสตร์เทคโนโลยีแบบไหลรินลงสู่เบื้องล่าง" ผมยืมคำคนอื่นมา (หัวเราะ) เรามักจะคิดว่า ถ้าเราออกแบบสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนกลุ่มน้อย ในที่สุดแล้วเทคโนโลยีเหล่านั้นจะถึงมือทุกคน แต่นั่นก็ไม่เสมอไปในทุกกรณี เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำตัวเหมือนความมั่งคั่งและเงินทุน พวกมันมักจะรวมตัวกันอยู่ในมือของคนส่วนน้อย และอาจมีบางครั้งที่พวกมันหาทางออก ไปสู่มือของคนส่วนใหญ่ได้
And so most of you aren't tackling oppressive regimes on the weekends, so I wanted to think of a few examples that might be a little bit more relatable.
เนื่องจากพวกคุณส่วนใหญ่ไม่ได้กำลังต่อกรกับ การปกครองแบบเผด็จการในวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นผมจะขอยกตัวอย่าง ที่พอจะคิดตามได้ง่าย ๆ แล้วกัน
In the world of wearables and smartphones and apps, there's a big movement to track people's personal health with applications that track the number of calories that you burn or whether you're sitting too much or walking enough. These technologies make patient intake in medical facilities much more efficient, and in turn, these medical facilities are starting to expect these types of efficiencies. As these digital tools find their way into medical rooms, and they become digitally ready, what happens to the digitally invisible? What does the medical experience look like for someone who doesn't have the $400 phone or watch tracking their every movement? Do they now become a burden on the medical system? Is their experience changed?
ในโลกที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์สวมใส่ สมาร์ทโฟน และแอปพลิเคชัน มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ในการติดตามสุขภาพส่วนบุคคล ด้วยแอปที่สามารถติดตามได้ว่า คุณเผาผลาญไปกี่แคลอรีแล้ว หรือคุณนั่งมากเกินไปรึเปล่า หรือเดินเพียงพอแล้วหรือยัง เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้รับมือกับจำนวนผู้ป่วย ในสถานรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และในทางกลับกัน สถานรักษาพยาบาลเหล่านี้ ก็เริ่มจะคาดหวังต่อประสิทธิภาพ จากเครื่องมือพวกนี้ ขณะเดียวกันที่อุปกรณ์ดิจิตัลพวกนี้ ได้เข้ามาสู่วงการการแพทย์ และทุกอย่างได้ถูกบันทึกในรูปแบบดิจิตัล เกิดอะไรขึ้นกับพวกที่ไม่มีข้อมูลดิจิตัลล่ะ บริการทางการแพทย์จะมีหน้าตาแบบไหน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ หรือนาฬิการาคา 400 ดอลล่าร์ ที่คอยบันทึกการเคลื่อนไหวทุกย่างก้าว พวกเขาจะกลายเป็นภาระของ ระบบทางการแพทย์หรือเปล่า สิ่งที่พวกเขาประสบได้เปลี่ยนไปหรือไม่
In the world of finance, Bitcoin and crypto-currencies are revolutionizing the way we move money around the world, but the challenge with these technologies is the barrier to entry is incredibly high, right? You need access to the same phones, devices, connectivity, and even where you don't, where you can find a proxy agent, usually they require a certain amount of capital to participate. And so the question that I ask myself is, what happens to the last community using paper notes when the rest of the world moves to digital currency?
ในโลกของการเงินกันบ้าง เมื่อบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิตัล กำลังพลิกโฉมวิธีการที่เราเคลื่อนย้ายเงิน ไปทั่วโลก แต่สิ่งท้าทายของเทคโนโลยีเหล่านี้ คือกำแพงในการเข้าถึงนั้น สูงอย่างเหลือเชื่อ ใช่ไหมครับ คุณต้องมีโทรศัพท์ อุปกรณ์ การเชื่อมต่อแบบเดียวกัน และถึงแม้คุณจะไม่มีของพวกนั้น คุณก็ต้องหาคนกลาง ซึ่งปกติจะต้องมีเงินขั้นต่ำที่จะใช้บริการ นั่นเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับประชาคมสุดท้าย ที่ยังคงใช้เงินกระดาษ ขณะที่ส่วนอื่นของโลก ย้ายไปใช้เงินดิจิตัลกันหมดแล้ว
Another example from my hometown in Philadelphia: I recently went to the public library there, and they are facing an existential crisis. Public funding is dwindling, they have to reduce their footprint to stay open and stay relevant, and so one of the ways they're going about this is digitizing a number of the books and moving them to the cloud. This is great for most kids. Right? You can check out books from home, you can research on the way to school or from school, but these are really two big assumptions, that one, you have access at home, and two, that you have access to a mobile phone, and in Philadelphia, many kids do not. So what does their education experience look like in the wake of a completely cloud-based library, what used to be considered such a basic part of education? How do they stay competitive?
อีกตัวอย่างหนึ่งจากบ้านเกิดของผม ฟิลาเดเฟีย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมไปที่ห้องสมุดประชาชนที่นั่น และพวกเขากำลังเผชิญกับ วิกฤติของการมีตัวตนอยู่ เงินอุดหนุนสาธารณะน้อยลง พวกเขาต้องลดรายจ่ายเพื่อที่จะเปิดทำการ และคงความสำคัญต่อไปได้ หนึ่งในวิธีการที่พวกเขาใช้เพื่อการนี้คือ การแปลงหนังสือจำนวนหนึ่งเป็นรูปแบบดิจิตัล และจัดเก็บพวกมันไว้ที่คลาวด์ ฟังดูยอดเยี่ยมสำหรับเด็ก ๆ ใช่ไหมครับ คุณสามารถค้นหาหนังสือจากที่บ้านก็ได้ สามารถหาข้อมูลระหว่างทางไปโรงเรียน หรือกลับจากโรงเรียนก็ได้ แต่นั่นอยู่บนข้อสมมติฐานใหญ่ ๆ สองข้อ ข้อหนึ่ง คุณสามารถเข้าถึงจากที่บ้านได้ และข้อสอง คือคุณเข้าถึงข้อมูล จากโทรศัพท์มือถือได้ แต่ในฟิลาเดเฟีย เด็กส่วนมากไม่ได้เป็นเช่นนั้น แล้วประสบการณ์ทางการศึกษาของพวกเขา จะมีหน้าตาเป็นอย่าไร เมื่อเข้าสู่โลกที่ห้องสมุดอยู่บนคลาวด์ โดยสมบูรณ์ สิ่งไหนที่เคยถูกมองว่าเป็นขั้นพื้นฐาน ของการศึกษาหรือครับ พวกเขาจะสามารถแข่งขันได้อย่างไร
A final example from across the world in East Africa: there's been a huge movement to digitize land ownership rights, for a number of reasons. Migrant communities, older generations dying off, and ultimately poor record-keeping have led to conflicts over who owns what. And so there was a big movement to put all this information online, to track all the ownership of these plots of land, put them in the cloud, and give them to the communities. But actually, the unintended consequence of this has been that venture capitalists, investors, real estate developers, have swooped in and they've begun buying up these plots of land right out from under these communities, because they have access to the technologies and the connectivity that makes that possible.
ตัวอย่างสุดท้าย จากอีกซีกโลกที่แอฟริกาตะวันออก มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จะจัดเก็บ สิทธิการถือครองที่ดินในรูปแบบดิจิตัล ด้วยหลาย ๆ เหตุผล ชุมชนผู้อพยพ คนรุ่นเก่าที่ค่อย ๆ ตายจากไป และการจัดเก็บที่ย่ำแย่อย่างที่สุด ได้นำไปสู่ความขัดแย้งว่าใครเป็นเจ้าของอะไร ดังนั้น จึงมีการการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ให้มีการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในสารบบออนไลน์ เพื่อบันทึกกรรมสิทธิ์ของที่ดินทุก ๆ แปลง ส่งพวกมันเข้าไปในคลาวด์ แล้วส่งกลับไปยังชุมชน แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์อย่างไม่เจตนาของสิ่งนี้คือ กลุ่มผู้ร่วมลงทุน นักลงทุน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้เข้ามาและพวกเขาก็กว้านซื้อแปลงที่ดินเหล่านี้ ไปจากชุมชนจนหมดสิ้น เพราะพวกเขาเข้าถึงเทคโนโลยี การเชื่อมต่อทำให้สิ่งพวกนี้เป็นไปได้
So that's the common thread that connects these examples, the unintended consequences of the tools and the technologies that we make. As engineers, as technologists, we sometimes prefer efficiency over efficacy. We think more about doing things than the outcomes of what we are doing. This needs to change. We have a responsibility to think about the outcomes of the technologies we build, especially as they increasingly control the world in which we live. In the late '90s, there was a big push for ethics in the world of investment and banking. I think in 2014, we're long overdue for a similar movement in the area of tech and technology.
และนั่นคือลักษณะร่วม ที่เชื่อมโยงตัวอย่างเหล่านี้นั่นเอง นี่คือผลที่ตามมาโดยไม่เจตนาของเครื่องมือ และเทคโนโลยีเหล่านี้เราได้สร้างขึ้น ในฐานะวิศวกร ในฐานะนักเทคโนโลยี บางครั้งเราก็ชอบประสิทธิภาพ มากกว่าประสิทธิผล เราคิดถึงสิ่งที่เราจะทำ มากกว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่เรากำลังทำ ถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยน เรามีภาระหน้าที่ที่จะต้องคิดถึง ผลลัพธ์ของเทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกมันกำลังควบคุมโลก ที่เราอาศัยอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปลายยุค 90 มีการผลักดันทางด้านจริยธรรมครั้งใหญ่ ในโลกของการลงทุนและการธนาคาร ผมคิดว่าในปี 2014 เราช้าไปมากแล้ว ที่จะผลักดันการเคลื่อนไหวลักษณะเดียวกัน ในโลกของเทคโนโลยี
So, I just encourage you, as you are all thinking about the next big thing, as entrepreneurs, as CEOs, as engineers, as makers, that you think about the unintended consequences of the things that you're building, because the real innovation is in finding ways to include everyone.
ผมขอกระตุ้นพวกคุณทั้งหมด ให้คิดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ชิ้นในภายหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ซีอีโอ วิศวกร ผู้ผลิต ให้พวกคุณคิดถึงผลสืบเนื่องที่ไม่ได้เจตนา ของสิ่งที่คุณกำลังสร้างขึ้น เพราะนวัตกรรมที่แท้จริง คือการหาหนทางที่เข้าถึงได้ทุกคน
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)