One of my earliest memories is of trying to wake up one of my relatives and not being able to. And I was just a little kid, so I didn't really understand why, but as I got older, I realized we had drug addiction in my family, including later cocaine addiction.
หนึ่งในความทรงจำแรก ๆ ของผม คือการพยายามปลุกญาติผมคนหนึ่งให้ตื่น แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ตอนนั้นผมยังเด็ก จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ตระหนักว่าเรามีปัญหา การเสพติดยาภายในครอบครัว และต่อมาก็เสพติดโคเคน
I'd been thinking about it a lot lately, partly because it's now exactly 100 years since drugs were first banned in the United States and Britain, and we then imposed that on the rest of the world. It's a century since we made this really fateful decision to take addicts and punish them and make them suffer, because we believed that would deter them; it would give them an incentive to stop.
ผมคิดถึงเรื่องนี้หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ นี่นับเป็นเวลาครบ 100 ปี นับตั้งแต่ยาเสพติดกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในอเมริกาและอังกฤษ และต่อมาประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ก็เจริญรอยตาม หนึ่งศตวรรษที่เราตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะต้องจับกุมผู้เสพ ลงโทษ และสร้างความทรมานแก่พวกเขา เพราะเราเชื่อว่า นั่นจะยับยั้งพวกเขา มันจะปรามให้พวกเขาหยุด
And a few years ago, I was looking at some of the addicts in my life who I love, and trying to figure out if there was some way to help them. And I realized there were loads of incredibly basic questions I just didn't know the answer to, like, what really causes addiction? Why do we carry on with this approach that doesn't seem to be working, and is there a better way out there that we could try instead?
เมื่อสองสามปีที่แล้ว ผมศึกษาผู้ติดยา ที่ผมเคยรู้จัก และเป็นที่รักของผม และพยายามที่จะคิดหาหนทางเพื่อช่วยพวกเขา และผมก็ตระหนักว่า มันมีคำถามพื้น ๆ อย่างไม่น่าเชื่อมากมาย ที่ผมไม่รู้คำตอบ เช่น อะไรคือต้นเหตุของการเสพติด ทำไมเราจึงยังคงใช้วิธีจัดการ ที่ดูเหมือนจะไร้ผล และมันมีวิธีอื่น ๆ ที่ดีกว่านี้ ที่เราจะลองหรือไม่
So I read loads of stuff about it, and I couldn't really find the answers I was looking for, so I thought, okay, I'll go and sit with different people around the world who lived this and studied this and talk to them and see if I could learn from them. And I didn't realize I would end up going over 30,000 miles at the start, but I ended up going and meeting loads of different people, from a transgender crack dealer in Brownsville, Brooklyn, to a scientist who spends a lot of time feeding hallucinogens to mongooses to see if they like them -- it turns out they do, but only in very specific circumstances -- to the only country that's ever decriminalized all drugs, from cannabis to crack, Portugal. And the thing I realized that really blew my mind is, almost everything we think we know about addiction is wrong, and if we start to absorb the new evidence about addiction, I think we're going to have to change a lot more than our drug policies.
ผมจึงอ่านหนังสือเป็นตั้ง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ ผมจึงคิดว่า เอาล่ะ ผมจะออกไปพบ ผู้คนหลากหลายจากทั่วโลก ที่อยู่ในวงการนี้ และศึกษาเรื่องนี้ และคุยกับพวกเขา ลองดูว่าผมจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง ตอนแรกผมไม่ได้ตระหนักว่า ผมจะต้องเดินทางกว่า 30,000 ไมล์ แต่ท้ายสุดแล้ว ผมได้พบผู้คนหลากหลาย ตั้งแต่กะเทยแปลงเพศนักค้าโคเคน ในเมือง บราวส์วิลล์ บรูคลิน ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้ใช้เวลามากมาย ไปกับการป้อนยาหลอนประสาทให้พังพอน เพื่อดูว่าพวกมันชอบหรือเปล่า -- ปรากฏว่าพวกมันชอบ แต่เฉพาะในบางสถานการณ์เท่านั้น ผมยังเดินทางไปยังประเทศหนึ่งเดียว ที่ยกเลิกให้ยาเสพติดทุกประเภทเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตั้งแต่กัญชาไปจนถึงโคเคน นั่นคือโปรตุเกส และสิ่งที่ผมค้นพบ ซึ่งต้องทำให้ผมประหลาดใจ นั่นคือ เกือบทุกอย่างที่เรารู้มา เกี่ยวกับพฤติกรรมเสพติดนั้นผิด และถ้าเรายอมรับหลักฐานใหม่ ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมเสพติด ผมคิดว่าเราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ไม่เฉพาะแค่กับนโยบายเรื่องยาเสพติดเท่านั้น
But let's start with what we think we know, what I thought I knew. Let's think about this middle row here. Imagine all of you, for 20 days now, went off and used heroin three times a day. Some of you look a little more enthusiastic than others at this prospect. (Laughter) Don't worry, it's just a thought experiment. Imagine you did that, right? What would happen? Now, we have a story about what would happen that we've been told for a century. We think, because there are chemical hooks in heroin, as you took it for a while, your body would become dependent on those hooks, you'd start to physically need them, and at the end of those 20 days, you'd all be heroin addicts. Right? That's what I thought.
เรามาเริ่มกับสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ สิ่งที่ผมเคยคิดว่าผมรู้ ลองมาคิดดูกันเล่น ๆ กับผู้ฟังที่นั่งแถวกลางตรงนี้ จินตนาการว่าพวกคุณทั้งหมด เป็นผู้ใช้เฮโรอีน วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันมา 20 วันแล้ว พวกคุณบางคนดูกระตือรือล้นเป็นพิเศษ กับเรื่องนี้นะครับ (เสียงหัวเราะ) อย่ากังวลครับ นี่เป็นแค่การทดลองเชิงความติด จินตนาการแล้วใช่ไหมครับ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เราต่างได้ยินเรื่องราวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องซึ่งถูกเล่ากันนานเป็นศตวรรษ เราคิดว่า มันมีสารเคมีเสพติดบางอย่าง ในเฮโรอีน ที่เมื่อคุณใช้มันไปสักพัก ร่างกายคุณจะต้องพึ่งสารนั้น ในทางกายภาพ ร่างกายคุณต้องการมัน และหลังจากครบ 20 วัน พวกคุณทุกคนจะเสพติดเฮโรอีน ใช่ไหมครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด
First thing that alerted me to the fact that something's not right with this story is when it was explained to me. If I step out of this TED Talk today and I get hit by a car and I break my hip, I'll be taken to hospital and I'll be given loads of diamorphine. Diamorphine is heroin. It's actually much better heroin than you're going to buy on the streets, because the stuff you buy from a drug dealer is contaminated. Actually, very little of it is heroin, whereas the stuff you get from the doctor is medically pure. And you'll be given it for quite a long period of time. There are loads of people in this room, you may not realize it, you've taken quite a lot of heroin. And anyone who is watching this anywhere in the world, this is happening. And if what we believe about addiction is right -- those people are exposed to all those chemical hooks -- What should happen? They should become addicts. This has been studied really carefully. It doesn't happen; you will have noticed if your grandmother had a hip replacement, she didn't come out as a junkie. (Laughter)
สิ่งแรกที่ทำให้ผมเอะใจว่ามีบางอย่าง ที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือเมื่อมันถูกอธิบายให้ผมฟัง ถ้าผมก้าวลงจากเวที TED วันนี้ และถูกรถชน จนกระดูกสะโพกหัก ผมจะถูกนำส่งโรงพยาบาล และถูกฉีดยาไดอะมอร์ฟีนเป็นปริมาณนมาก ไดอะมอร์ฟีนคือเฮโรอีน มันเป็นเฮโรอีน ที่ดีกว่าแบบที่คุณหาซื้อตามข้างถนน เพราะสิ่งที่คุณซื้อจากพ่อค้ายานั้นปนเปื้อน จริง ๆ มันแล้วมีเฮโรอีนอยู่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่คุณได้รับจากหมอนั้นเป็นสารบริสุทธิ์ และคุณจะได้รับมันเป็นเวลานานทีเดียว มีคนมากมายในห้องนี้ คุณอาจไม่รู้ตัว คุณได้เสพเฮโรอีนเข้าไปแล้วเป็นปริมาณมาก และสำหรับผู้ที่กำลังดูวีดีโอนี้อยู่ ไม่ว่าที่ใดก็ตามในโลก สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น และถ้าความเชื่อของเรา เรื่องพฤติกรรมเสพติดนั้นถูกต้อง ผู้คนเหล่านั้นจะได้รับสารเคมีเสพติดที่ว่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นตามมา พวกเขาควรเป็นผู้เสพติด สิ่งนี้ได้รับการศึกษาอย่างละเอียด มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น คุณคงจะสังเกตเห็น หากคุณย่าของคุณต้องเปลี่ยนข้อสะโพก ท่านไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลในสภาพขี้ยา (เสียงหัวเราะ)
And when I learned this, it seemed so weird to me, so contrary to everything I'd been told, everything I thought I knew, I just thought it couldn't be right, until I met a man called Bruce Alexander. He's a professor of psychology in Vancouver who carried out an incredible experiment I think really helps us to understand this issue. Professor Alexander explained to me, the idea of addiction we've all got in our heads, that story, comes partly from a series of experiments that were done earlier in the 20th century. They're really simple. You can do them tonight at home if you feel a little sadistic. You get a rat and you put it in a cage, and you give it two water bottles: One is just water, and the other is water laced with either heroin or cocaine. If you do that, the rat will almost always prefer the drug water and almost always kill itself quite quickly. So there you go, right? That's how we think it works. In the '70s, Professor Alexander comes along and he looks at this experiment and he noticed something. He said ah, we're putting the rat in an empty cage. It's got nothing to do except use these drugs. Let's try something different. So Professor Alexander built a cage that he called "Rat Park," which is basically heaven for rats. They've got loads of cheese, they've got loads of colored balls, they've got loads of tunnels. Crucially, they've got loads of friends. They can have loads of sex. And they've got both the water bottles, the normal water and the drugged water. But here's the fascinating thing: In Rat Park, they don't like the drug water. They almost never use it. None of them ever use it compulsively. None of them ever overdose. You go from almost 100 percent overdose when they're isolated to zero percent overdose when they have happy and connected lives.
และเมื่อผมรู้เรื่องนี้ มันฟังดูแปลกมากสำหรับผม มันขัดแย้งกับทุกสิ่งที่ผมเคยได้ยินมา ทุกอย่างที่ผมคิดว่าผมรู้ ผมคิดว่ามันคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล จนกระทั่งผมได้พบชายชื่อ บรูซ อเล็กซานเดอร์ เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ในแวนคูเวอร์ ผู้ซึ่งได้ทำการทดลองอันน่าที่ง ซึ่งผมคิดว่ามันช่วยให้เราเข้าใจเรื่องนี้ได้ ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ อธิบายให้ผมฟังว่า แนวคิดเรื่องพฤติกรรมเสพติดที่เราถูกปลูกฝังมา เรื่องเล่าดังกล่าวนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการทดลองชุดหนึ่ง ซึ่งถูกทดลองเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 มันเป็นการทดลองที่ง่ายมาก คุณสามารถเอากลับไปทดลองที่บ้านคืนนี้ได้ ถ้าคุณเป็นพวกซาดิสอะนะ ให้คุณเอาหนูตัวหนึ่ง เอาใส่ไว้ในกรง แล้วเอาขวดน้ำสองขวดให้มัน ขวดหนึ่งเป็นน้ำเปล่า ส่วนอีกขวดหนึ่ง เป็นน้ำผสมเฮโรอีน หรือโคเคน ถ้าคุณทำเช่นนั้น หนูมักจะกินน้ำ ที่มียาผสมอยู่แทบทุกครั้ง และมักจะตายอย่างรวดเร็วเสมอ นั่นไงล่ะ ข้อสรุป นั่นคือสิ่งที่เราคิดว่ากลไกมันเป็น ในทศวรรษที่ 70 ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ ได้ศึกษาการทดลองนี้ และเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขากล่าวว่า เราเอาหนูไปขังไว้ในกรงเปล่า มันไม่มีอะไรจะทำ นอกเสียจาก การเสพยาเสพติดเหล่านี้ เรามาทดลองบางอย่าง ที่แตกต่างออกไปสักหน่อย ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์จึงสร้างกรง ซึ่งเขาเรียกมันว่า "สวนสำหรับหนู" ง่ายๆ คือ มันเป็นสวรรค์ของเหล่าหนู พวกมันมีชีสมากมาย พวกมันมีลูกบอลหลากสี และมีอุโมงค์มากมาย ที่สำคัญ พวกมันมีเพื่อนเยอะแยะ และพวกมันจะมีเซ็กซ์ได้บ่อย ๆ และพวกมันก็มีน้ำสองขวด น้ำเปล่า และน้ำผสมยา สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ ในสวนสำหรับหนู พวกมันไม่ชอบน้ำผสมยา พวกมันแทบไม่เคยดื่มมันเลย และไม่มีหนูตัวไหนที่ใช้มันจนเป็นนิสัย ไม่มีหนูตัวไหนได้รับยาเกินขนาด อัตราการตายจากการได้รับยาเกินขนาด ลดลงจาก 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อมันถูกขังแยก เหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์ เมื่อมันมีชีวิตที่มีความสุขและมีสังคม
Now, when he first saw this, Professor Alexander thought, maybe this is just a thing about rats, they're quite different to us. Maybe not as different as we'd like, but, you know -- But fortunately, there was a human experiment into the exact same principle happening at the exact same time. It was called the Vietnam War. In Vietnam, 20 percent of all American troops were using loads of heroin, and if you look at the news reports from the time, they were really worried, because they thought, my God, we're going to have hundreds of thousands of junkies on the streets of the United States when the war ends; it made total sense. Now, those soldiers who were using loads of heroin were followed home. The Archives of General Psychiatry did a really detailed study, and what happened to them? It turns out they didn't go to rehab. They didn't go into withdrawal. Ninety-five percent of them just stopped. Now, if you believe the story about chemical hooks, that makes absolutely no sense, but Professor Alexander began to think there might be a different story about addiction. He said, what if addiction isn't about your chemical hooks? What if addiction is about your cage? What if addiction is an adaptation to your environment?
เมื่อศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ เห็นผลการทดลองนี้ เขาคิดว่า นี่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหนู พวกมันแตกต่างจากเรามาก บางทีอาจไม่แตกต่างมากเท่าที่เราต้องการ แต่นับเป็นโชคดี ที่เคยมีการทดลองในมนุษย์ ตั้งอยู่บนหลักการเดียวกัน และเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน การทดลองนี้มีชื่อว่า สงครามเวียตนาม ในเวียตนาม 20 เปอร์เซ็นต์ ของทหารอเมริกัน ใช้เฮโรอีนจำนวนมาก และถ้าคุณดูรายงานข่าวจากช่วงเวลานั้น พวกเขาเป็นกังวลกันมาก เพราะพวกเขาคิดว่า พระเจ้า นี่เรากำลังจะมีขี้ยาเป็นแสน ๆ คน ตามท้องถนนในสหรัฐฯ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง และมันก็ฟังดูมีเหตุผล เมื่อกลับมายังบ้านเกิด ทหารผู้ใช้เฮโรอีน จำนวนมากเหล่านั้นถูกติดตามเฝ้าสังเกต วารสาร Archives of General Psychiatry ตีพิมพ์ผลศึกษาโดยละเอียด และเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาน่ะหรือ ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้เข้ารับการบำบัด พวกเขาไม่มีอาการถอนยา เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของพวกเขา เลิกใช้ยาเอาเสียเฉย ๆ ทีนี้ ถ้าคุณเชื่อในเรื่องสารเคมีเสพติด เรื่องนี้มันจะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ กลับเริ่มคิดว่า มันอาจมีเรื่องราวที่ต่างออกไป ที่อธิบายเรื่องพฤติกรรมเสพติด เขากล่าวว่า หากการเสพติด ไม่ได้เกิดจากสารเคมี หากแต่เกิดจากสภาพแวดล้อมของคุณล่ะ หากการเสพติด คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
Looking at this, there was another professor called Peter Cohen in the Netherlands who said, maybe we shouldn't even call it addiction. Maybe we should call it bonding. Human beings have a natural and innate need to bond, and when we're happy and healthy, we'll bond and connect with each other, but if you can't do that, because you're traumatized or isolated or beaten down by life, you will bond with something that will give you some sense of relief. Now, that might be gambling, that might be pornography, that might be cocaine, that might be cannabis, but you will bond and connect with something because that's our nature. That's what we want as human beings.
ลองดูทางนี้ มีศาสตราจารย์อีกท่านหนึ่ง ชื่อ ปีเตอร์ โคเฮน จากเนเธอแลนด์ ผู้กล่าวไว้ว่า บางทีเราไม่ควรเรียกมันว่า การเสพติด ด้วยซ้ำ บางทีเราควรเรียกมันว่า ความผูกพัน มนุษย์นั้น โดยธรรมชาติแล้วมีความต้องการลึก ๆ ที่จะสร้างความผูกพัน และเมื่อเรามีความสุข มีสุขภาพดี เราจะผูกพัน และสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่ถ้าคุณทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะคุณบาดเจ็บ หรือถูกโดดเดี่ยว หรือผิดหวังกับชีวิต คุณจะผูกพันกับบางอย่าง ซึ่งจะมอบความรู้สึกปลดปล่อยให้กับคุณ มันอาจเป็นการพนัน อาจเป็นหนังโป๊ อาจเป็นโคเคน อาจเป็นกัญชา แต่คุณจะต้องผูกพันกับบางอย่าง เพราะนั่นคือธรรมชาติของเรา นั่นคือสิ่งที่เราต้องการในฐานะมนุษย์
And at first, I found this quite a difficult thing to get my head around, but one way that helped me to think about it is, I can see, I've got over by my seat a bottle of water, right? I'm looking at lots of you, and lots of you have bottles of water with you. Forget the drugs. Forget the drug war. Totally legally, all of those bottles of water could be bottles of vodka, right? We could all be getting drunk -- I might after this -- (Laughter) -- but we're not. Now, because you've been able to afford the approximately gazillion pounds that it costs to get into a TED Talk, I'm guessing you guys could afford to be drinking vodka for the next six months. You wouldn't end up homeless. You're not going to do that, and the reason you're not going to do that is not because anyone's stopping you. It's because you've got bonds and connections that you want to be present for. You've got work you love. You've got people you love. You've got healthy relationships. And a core part of addiction, I came to think, and I believe the evidence suggests, is about not being able to bear to be present in your life.
ในตอนแรก มันยากสำหรับผม ที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้ แต่ทางหนึ่งที่ช่วยให้ผมเข้าใจมัน ก็คือ ผมเห็นว่า ผมมีขวดน้ำวางอยู่ข้างๆ เก้าอี้ของผม ใช่ไหมครับ และผมก็เห็นว่าพวกคุณหลาย ๆ คน ก็มีขวดน้ำเช่นกัน ลืมเรื่องยาเสพติด ลืมเรื่องสงครามต่อสู้กับยาเสพติด และขวดเหล่านั้นอาจเป็นขวดวอดก้า โดยไม่ผิดกฏหมายก็ได้ ถูกไหมครับ เราทุกคนอาจจะเมากันหมด ผมก็คงจะเมาด้วย หลังบรรยายเสร็จ (เสียงหัวเราะ) แต่เราก็ไม่เมา ถ้าพวกคุณต่างสามารถจ่ายเงินมหาศาล เพื่อเข้าร่วมฟังการบรรยาย TED ผมก็เดาว่าคุณคงจะสามารถจ่ายเงิน ซื้อวอดก้ามาดื่มได้สัก 6 เดือน คุณคงไม่กลายเป็นคนจรจัด คุณคงไม่ทำเช่นนั้น และสาเหตุที่คุณไม่ทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะมีใครมาห้ามคุณ นั่นเป็นเพราะคุณมีพันธะผูกพัน และความสัมพันธ์ ที่คุณอยากจะได้รับ คุณมีงานที่คุณรัก คุณมีผู้คนที่คุณรัก คุณมีความสัมพันธ์ที่ดี และหลักสำคัญของพฤติกรรมเสพติด ที่ผมคิดได้ และผมเชื่อว่า หลักฐานต่างๆ ได้ชี้ให้เห็น คือการไม่สามารถทนต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้
Now, this has really significant implications. The most obvious implications are for the War on Drugs. In Arizona, I went out with a group of women who were made to wear t-shirts saying, "I was a drug addict," and go out on chain gangs and dig graves while members of the public jeer at them, and when those women get out of prison, they're going to have criminal records that mean they'll never work in the legal economy again. Now, that's a very extreme example, obviously, in the case of the chain gang, but actually almost everywhere in the world we treat addicts to some degree like that. We punish them. We shame them. We give them criminal records. We put barriers between them reconnecting. There was a doctor in Canada, Dr. Gabor Maté, an amazing man, who said to me, if you wanted to design a system that would make addiction worse, you would design that system.
นี่มันมีนัยยะที่สำคัญ นัยยะที่ชัดเจนที่สุด ก็คือโครงการสงครามยาเสพติด ในอริโซนา ผมได้เดินทางไปกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ผู้ซึ่งถูกให้สวมใส่เสื้อยีดที่มีข้อความเขียนว่า "ฉันเคยติดยา" และถูกล่ามโซ่เข้าด้วยกันและส่งไปขุดศพในป่าช้า ในขณะที่ผู้คนต่างถากถางพวกเธอ และเมื่อหญิงเหล่านั้นพ้นคุกออกมา พวกเธอก็จะมีประวัติอาชญากร นั่นหมายความว่าพวกเธอจะไม่สามารถ ทำงานที่ถูกฎหมายได้อีกต่อไป นั่นคงเป็นตัวอย่างแบบสุดโต่ง ในกรณีของการล่ามโซ่แล้วส่งไปทำงานหนัก แต่จริงๆ แล้ว แทบทุกที่ในโลก เราปฏิบัติต่อผู้ติดยา ในลักษณะคล้ายๆ กัน เราลงโทษพวกเขา ทำให้อับอาย เราบันทึกประวัติอาชญากร เราสร้างกำแพงกั้นไม่ให้เขาเชื่อมสัมพันธ์ ในแคนาดา มีหมอที่ยอดเยี่ยมมากอยู่ท่านหนึ่ง ดร.กาบอร์ มาเท (Dr.Gabor Maté) เขากล่าวกับผมว่า ถ้าคุณจะออกแบบระบบ ที่ทำให้พฤติกรรมเสพติดนั้นแย่ลงกว่าเก่า คุณคงออกแบบระบบนั้น
Now, there's a place that decided to do the exact opposite, and I went there to see how it worked. In the year 2000, Portugal had one of the worst drug problems in Europe. One percent of the population was addicted to heroin, which is kind of mind-blowing, and every year, they tried the American way more and more. They punished people and stigmatized them and shamed them more, and every year, the problem got worse. And one day, the Prime Minister and the leader of the opposition got together, and basically said, look, we can't go on with a country where we're having ever more people becoming heroin addicts. Let's set up a panel of scientists and doctors to figure out what would genuinely solve the problem. And they set up a panel led by an amazing man called Dr. João Goulão, to look at all this new evidence, and they came back and they said, "Decriminalize all drugs from cannabis to crack, but" -- and this is the crucial next step -- "take all the money we used to spend on cutting addicts off, on disconnecting them, and spend it instead on reconnecting them with society." And that's not really what we think of as drug treatment in the United States and Britain. So they do do residential rehab, they do psychological therapy, that does have some value. But the biggest thing they did was the complete opposite of what we do: a massive program of job creation for addicts, and microloans for addicts to set up small businesses. So say you used to be a mechanic. When you're ready, they'll go to a garage, and they'll say, if you employ this guy for a year, we'll pay half his wages. The goal was to make sure that every addict in Portugal had something to get out of bed for in the morning. And when I went and met the addicts in Portugal, what they said is, as they rediscovered purpose, they rediscovered bonds and relationships with the wider society.
แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่ตัดสินใจจะทำในสิ่งตรงกันข้าม และผมก็ไปยังที่นั่น เพื่อศึกษาว่ามันได้ผลอย่างไร ในปี ค.ศ. 2000 โปรตุเกสเป็นประเทศ ที่มีปัญหายาเสพติดเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรเสพติดเฮโรอีน ฟังดูแล้วอาจน่าตกใจ ทุก ๆ ปี พวกเขาทดลอง ใช้วิธีแบบชาวอเมริกันมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาลงโทษผู้คน ตีตราบาปให้พวกเขา และทำให้อับอายยิ่งขึ้นไปอีก และทุก ๆ ปี ปัญหาก็แย่ลง แล้ววันหนึ่ง นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าฝ่ายค้านก็มานั่งคุยกัน และกล่าวทำนองว่า ดูสิ ประเทศเราจะดำเนินต่อไปไม่ได้ ถ้าผู้คนในประเทศเสพติดเฮโรอีนมากขึ้นเรื่อย ๆ เรามาจัดตั้งคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ เพื่อที่จะค้นหาวิธีแก้ปัญหาอย่างแท้จริง และพวกเขาก็ตั้งคณะกรรมการ นำโดย ดร. ฮัว กูลาว (Dr. João Goulão) เพื่อศึกษาหลักฐานใหม่ ๆ เหล่านี้ พวกเขากลับมาพร้อมกล่าวว่า "ให้ยาเสพติดทุกประเภทให้เป็นสิ่งถูกกฏหมาย ตั้งแต่กัญชาไปจนถึงโคเคน แต่" -- และนี่เป็นขั้นต่อไปที่สำคัญ "เอางบประมาณที่เคยใช้เพื่อปิดกั้นผู้ติดยา เพื่อตัดพวกเขาออกจากสังคม ไปใช้เพื่อเชื่อมพวกเขากลับเข้าสู่สังคม และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคิด เกี่ยวกับการรักษาผู้ติดยา ในสหรัฐฯ และอังกฤษ พวกเขามีศูนย์บำบัดยาเสพติด พวกเขาทำการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ซึ่งพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาทำ กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เราทำ นั่นคือโครงการขนาดใหญ่ เพื่อสร้างงานแก่ผู้ติดยา และสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ติดยา เพื่อตั้งธุรกิจขนาดย่อม สมมติว่าคุณเคยเป็นช่างเครื่องยนต์ เมื่อคุณพร้อม พวกเขาจะไปหาอู่รถสักแห่ง และบอกกับเจ้าของอู่ว่า ถ้าคุณจ้างหมอนี่เป็นเวลาหนึ่งปี เราจะช่วยคุณจ่ายเงินเดือนให้เขาครึ่งหนึ่ง เป้าหมายคือความมั่นใจ ว่าผู้ติดยาทุกคนในโปรตุเกส มีอะไรให้ทำในทุกเช้าที่เขาตื่นนอน และเมื่อผมไปยังโปรตุเกส และพบกับผู้ติดยา สิ่งที่พวกเขาพูดก็คือ ในขณะที่พวกเขา กลับมาค้นพบเป้าหมายในชีวิต พวกเขาได้ค้นพบความผูกพัน และความสัมพันธ์กับสังคมในวงกว้างขึ้น
It'll be 15 years this year since that experiment began, and the results are in: injecting drug use is down in Portugal, according to the British Journal of Criminology, by 50 percent, five-zero percent. Overdose is massively down, HIV is massively down among addicts. Addiction in every study is significantly down. One of the ways you know it's worked so well is that almost nobody in Portugal wants to go back to the old system.
มันจะครบรอบ 15 ปีในปีนี้ นับตั้งแต่การทดลองได้เริ่มขึ้น และผลการทดลองก็คือ การใช้ยาเสพติด ประเภทใช้เข็มฉีดในโปรตุเกสลดลง ตามวารสารอาชญาวิทยาแห่งอังกฤษ (British Journal of Criminology) ลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การใช้ยาเกินขนาดลดฮวบ เช่นเดียวกับการติดเชื้อ HIV ระหว่างผู้เสพ การเสพติดในทุก ๆ การศึกษา ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทางหนึ่งที่คุณจะรู้ว่ามันได้ผล ก็คือ แทบไม่มีใครในโปรตุเกส อยากกลับไปใช้ระบบแบบเก่า
Now, that's the political implications. I actually think there's a layer of implications to all this research below that. We live in a culture where people feel really increasingly vulnerable to all sorts of addictions, whether it's to their smartphones or to shopping or to eating. Before these talks began -- you guys know this -- we were told we weren't allowed to have our smartphones on, and I have to say, a lot of you looked an awful lot like addicts who were told their dealer was going to be unavailable for the next couple of hours. (Laughter) A lot of us feel like that, and it might sound weird to say, I've been talking about how disconnection is a major driver of addiction and weird to say it's growing, because you think we're the most connected society that's ever been, surely. But I increasingly began to think that the connections we have or think we have, are like a kind of parody of human connection. If you have a crisis in your life, you'll notice something. It won't be your Twitter followers who come to sit with you. It won't be your Facebook friends who help you turn it round. It'll be your flesh and blood friends who you have deep and nuanced and textured, face-to-face relationships with, and there's a study I learned about from Bill McKibben, the environmental writer, that I think tells us a lot about this. It looked at the number of close friends the average American believes they can call on in a crisis. That number has been declining steadily since the 1950s. The amount of floor space an individual has in their home has been steadily increasing, and I think that's like a metaphor for the choice we've made as a culture. We've traded floorspace for friends, we've traded stuff for connections, and the result is we are one of the loneliest societies there has ever been. And Bruce Alexander, the guy who did the Rat Park experiment, says, we talk all the time in addiction about individual recovery, and it's right to talk about that, but we need to talk much more about social recovery. Something's gone wrong with us, not just with individuals but as a group, and we've created a society where, for a lot of us, life looks a whole lot more like that isolated cage and a whole lot less like Rat Park.
นั่นมีความหมายในเชิงการเมือง จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันมีนัยแฝงอยู่หลายชั้น สำหรับงานวิจัยเหล่านี้ เราอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมที่ซึ่งผู้คน กำลังรู้สึกอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ต่อการเสพติดทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน การช้อปปิ้ง หรือการกิน ก่อนที่จะเริ่มการบรรยายนี้ -- พวกคุณก็รู้เรื่องเหล่านี้ -- พวกเราถูกห้ามไม่ให้เปิดโทรศัพท์ และผมขอบอกว่า พวกคุณหลายคนทำท่าทางเหมือนกับ คนติดยาที่ได้ข่าวมาว่า พ่อค้ายาของพวกคุณจะไม่ว่าง เป็นเวลาอีก 2-3 ชั่วโมง (เสียงหัวเราะ) พวกเราหลายคนรู้สึกเช่นนั้น และมันอาจฟังดูแปลกที่จะพูดว่า ผมได้พูดเกี่ยวกับการตัดขาดจากสังคม ว่าเป็นสาเหตุใหญ่ของการเสพติด และมันอาจฟังดูแปลก ที่พูดว่าปัญหากำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณคงติดว่าเราเป็นสังคม ที่เชื่อมโยงกันมากที่สุด แน่นอนล่ะ แต่ผมเริ่มคิดว่า เรามีการเชื่อโยงเหล่านั้น หรือที่เราคิดว่าเรามี เป็นแค่การล้อเลียนการเชื่อมโยงของมนุษย์ ถ้าคุณมีวิกฤตในชีวิตคุณ คุณจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จะไม่มีคนที่ติดตามทวิตเตอร์ของคุณ คนไหนมานั่งข้างคุณ จะไม่มีเพื่อเฟซบุ๊คคนไหนมาช่วยแก้วิกฤตนั้น จะมีก็แต่เพื่อตัวเป็น ๆ ของคุณ ที่คุณรู้จักกับเขา แบบคุ้นหน้าค่าตา รู้จักกันดี อย่างแน่นแฟ้น ลึกซึ้ง มีการศึกษาหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก บิล แม็คคิบเบน นักเขียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ผมคิดว่ามันบอกอะไรเราหลาย ๆ อย่าง การศึกษานี้พิจารณาที่ จำนวนเพื่อนสนิท ที่คนอเมริกันโดยเฉลี่ย เชื่อว่าพวกเขาสามารถโทรหาได้ในยามวิกฤต จำนวนที่ว่านั้นค่อย ๆ ลดลง อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค 1950 เนื้อที่ที่ผู้คนมีในบ้านของเขา มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่านั่นมันเป็นเหมือนอุปมาอุปมัย สิ่งที่เราเลือกเป็นวัฒนธรรมของเรา เราแลกที่ว่างในบ้านกับเพื่อน เราแลกข้าวของต่าง ๆ กับความสัมพันธ์ และผลก็คือ เรากลายเป็นสังคมที่โดดเดี่ยวที่สุด เท่าที่เคยมีมา และ บรูซ อเล็กซานเดอร์ ผู้ทำการทดลองเรื่องสวนสำหรับหนู กล่าวว่า เราพูดกันตลอด ในเรื่องปัญหาการเสพติด เกี่ยวกับการฟื้นฟูระดับบุคคล และมันก็ถูกต้องที่จะคุยกันเรื่องนั้น แต่เราต้องคุยกันมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการฟื้นฟูสังคม เกิดความผิดพลาดบางอย่างกับพวกเรา ไม่ใช่แค่ในระดับบุคคล แต่เป็นในระดับกลุ่ม เราได้สร้างสังคม ที่สำหรับพวกเราแล้ว ชีวิตยิ่งคล้ายกับกรงขังเดี่ยวมากขึ้นทุกวัน และนับวันยิ่งออกห่าง จากสภาพสวนสำหรับหนู
If I'm honest, this isn't why I went into it. I didn't go in to the discover the political stuff, the social stuff. I wanted to know how to help the people I love. And when I came back from this long journey and I'd learned all this, I looked at the addicts in my life, and if you're really candid, it's hard loving an addict, and there's going to be lots of people who know in this room. You are angry a lot of the time, and I think one of the reasons why this debate is so charged is because it runs through the heart of each of us, right? Everyone has a bit of them that looks at an addict and thinks, I wish someone would just stop you. And the kind of scripts we're told for how to deal with the addicts in our lives is typified by, I think, the reality show "Intervention," if you guys have ever seen it. I think everything in our lives is defined by reality TV, but that's another TED Talk. If you've ever seen the show "Intervention," it's a pretty simple premise. Get an addict, all the people in their life, gather them together, confront them with what they're doing, and they say, if you don't shape up, we're going to cut you off. So what they do is they take the connection to the addict, and they threaten it, they make it contingent on the addict behaving the way they want. And I began to think, I began to see why that approach doesn't work, and I began to think that's almost like the importing of the logic of the Drug War into our private lives.
ผมต้องสารภาพว่า จริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมศึกษาเรื่องนี้ ผมไม่ได้อยากค้นพบ เรื่องทางการเมืองและสังคมพวกนี้ ผมต้องการจะรู้ว่าผมจะช่วยผู้คน อันเป็นที่รักได้อย่างไร และเมื่อผมกลับมาจากการเดินทาง อันแสนยาวนาน ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ผมย้อนกลับมามองคนติดยาที่ผมรู้จัก และถ้าจะพูดตรง ๆ แล้วล่ะก็ มันยากที่จะรักคนติดยา และอีกหลายคนในห้องนี้ ก็คงจะรู้เช่นกัน คุณรู้สึกโมโหแทบตลอดเวลา และผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งว่าทำไมการโต้เถียงกันเรื่องนี้ ต้องเต็มไปด้วยอารมณ์ นั่นก็เพราะปัญหานี้ มันเสียดแทงใจพวกเราทุกคน ใช่ไหมครับ ทุก ๆ คนคงเคยรู้สึกแบบนี้ ที่เมื่อมองเห็นผู้ติดยา และคิดในใจว่า ฉันอยากให้ใครสักคนมาหยุดเธอ และบทแบบนี้แหละที่เราถูกปลูกฝัง ว่าควรจัดการกับผู้ติดยาอย่างไร มันกลายเป็นสูตรสำเร็จไปแล้ว โดยรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อ "การแทรกแซง" (Intervention) ผมคิดว่าทุกอย่างในชีวิตเราได้ถูกกำหนด โดยรายการเรียลลิตี้ไปเสียแล้ว แต่นั่นคงเป็นการบรรยาย TED อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ถ้าคุณเคยดูรายการที่ว่านี้ โครงเรื่องมีง่าย ๆ เอาผู้ติดยามาสักคนหนึ่ง พร้อมด้วยคนรอบข้างของบุคคลนั้น ให้มาเผชิญหน้ากัน โดยคนรอบข้างจะพูดทำนองว่า ถ้าคุณไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พวกเราจะตัดหางคุณ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ พวกเขาหยิบเอาความสัมพันธ์ขึ้นมา แล้วขู่จะตัดความสัมพันธ์นั้นทิ้ง พวกเขายกมันมาเป็นเงื่อนไข เพื่อให้ผู้ติดยาประพฤติตัว ตามที่พวกเขาต้องการ และผมเริ่มเห็นแล้วว่า ทำไมวิธีแบบนั้นจึงใช้ไม่ได้ผล นั่นมันเหมือนการเอาแนวคิด จากสงครามยาเสพติด เอามาใช้กับชีวิตส่วนตัวของเรา
So I was thinking, how could I be Portuguese? And what I've tried to do now, and I can't tell you I do it consistently and I can't tell you it's easy, is to say to the addicts in my life that I want to deepen the connection with them, to say to them, I love you whether you're using or you're not. I love you, whatever state you're in, and if you need me, I'll come and sit with you because I love you and I don't want you to be alone or to feel alone.
ผมเริ่มคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะเป็นได้อย่างชาวโปรตุเกส และสิ่งที่ผมพยามทำอยู่ตอนนี้ ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้ทำเป็นประจำ และมันไม่ง่ายนัก คือการบอกกับผู้ติดยาในครอบครัวผม ว่าผมอยากเชื่อมความสัมพันธ์ กับเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น บอกพวกเขาว่า ผมรักคุณ ไม่ว่าคุณจะเสพยาหรือไม่ก็ตาม ผมรักคุณ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาพไหน และถ้าคุณต้องการผม ผมจะคอยอยู่ข้าง ๆ เพราะผมรักคุณและไม่ต้องการ ให้คุณโดดเดี่ยว หรือรู้สึกโดดเดี่ยว
And I think the core of that message -- you're not alone, we love you -- has to be at every level of how we respond to addicts, socially, politically and individually. For 100 years now, we've been singing war songs about addicts. I think all along we should have been singing love songs to them, because the opposite of addiction is not sobriety. The opposite of addiction is connection.
และผมคิดว่าใจความสำคัญของข้อความ ก็คือ คุณไม่ได้อยู่ลำพัง เรารักคุณ หลักนี้ต้องอยู่ในทุกระดับ ของมาตรการที่เราใช้กับผู้ติดยา ไม่ว่าจะเป็นในระดับสังคม การเมือง หรือระดับบุคคล เป็นเวลา 100 ปีแล้ว ที่เราลั่นกลองรบกับผู้ติดยา ผมกลับคิดว่า นเราควรจะร้องเพลงรักให้พวกเขาแทน เพราะสิ่งที่ตรงข้ามกับการเสพติด ไม่ใช่การทำตัวสงบเสงี่ยม แต่สิ่งที่ตรงข้ามกับการเสพติด คือความสัมพันธ์
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)