I'm an ecologist, mostly a coral reef ecologist. I started out in Chesapeake Bay and went diving in the winter and became a tropical ecologist overnight. And it was really a lot of fun for about 10 years. I mean, somebody pays you to go around and travel and look at some of the most beautiful places on the planet. And that was what I did.
ผมเป็นนักนิเวศวิทยา ส่วนใหญ่เป็นนักนิเวศวิทยาแนวปะการัง ผมเริ่มในอ่าวชีซาพีค ไปดำน้ำในฤดูหนาว แล้วข้ามคืนก็กลายเป็นนักนิเวศเขตร้อน ซึ่งมันก็สนุกมากๆ เลยครับ ประมาณ 10 ปี ลองคิดดู ใครบางคนให้เงินคุณ เดินทางไปรอบโลก ไปยังหลายที่ที่ สวยงามที่สุดในโลก นั่นคือสิ่งที่ผมทำ
And I ended up in Jamaica, in the West Indies, where the coral reefs were really among the most extraordinary, structurally, that I ever saw in my life. And this picture here, it's really interesting, it shows two things: First of all, it's in black and white because the water was so clear and you could see so far, and film was so slow in the 1960s and early 70s, you took pictures in black and white. The other thing it shows you is that, although there's this beautiful forest of coral, there are no fish in that picture.
แล้วผมก็ไปลงเอยที่จาไมกา ในหมู่เกาะเวสต์อินดีส แนวปะการังที่นั่นเป็นแนว ที่น่าทึ่งที่สุด ในแง่ของโครงสร้าง ที่ผมเคยพบเจอในชีวิต รูปนี้ น่าสนใจมาก มันแสดงสองอย่าง อย่างแรก มันมีแต่ขาวดำ เพราะน้ำที่นั้นใสมาก คุณมองไปได้ไกลมาก และฟิลม์สมัยนั้นสปีดต่ำ แสงน้อยถ่ายไม่ได้ ปลายทศวรรษ 1960 และต้น 1970 คุณถ่ายรูปขาวดำเป็นหลัก อย่างที่สองที่ภาพนี้แสดง คือถึงแม้ว่าจะมีป่าปะการัง ที่สวยงามป่านี้ ก็ไม่มีปลาอยู่ในรูปเลย
Those reefs at Discovery Bay, Jamaica were the most studied coral reefs in the world for 20 years. We were the best and the brightest. People came to study our reefs from Australia, which is sort of funny because now we go to theirs. And the view of scientists about how coral reefs work, how they ought to be, was based on these reefs without any fish. Then, in 1980, there was a hurricane, Hurricane Allen. I put half the lab up in my house. The wind blew very strong. The waves were 25 to 50 feet high. And the reefs disappeared, and new islands formed, and we thought, "Well, we're real smart. We know that hurricanes have always happened in the past." And we published a paper in Science, the first time that anybody ever described the destruction on a coral reef by a major hurricane. And we predicted what would happen, and we got it all wrong. And the reason was because of overfishing, and the fact that a last common grazer, a sea urchin, died. And within a few months after that sea urchin dying, the seaweed started to grow. And that is the same reef; that's the same reef 15 years ago; that's the same reef today. The coral reefs of the north coast of Jamaica have a few percent live coral cover and a lot of seaweed and slime. And that's more or less the story of the coral reefs of the Caribbean, and increasingly, tragically, the coral reefs worldwide.
แนวปะการังที่อ่าวดิสคอเวอรี จาไมกา เป็นแนวปะการังที่คนศึกษามากที่สุด ในโลก ตลอดระยะเวลา 20 ปี เราเป็นกลุ่มนักวิจัยที่เก่งที่สุดในตอนนั้น ผู้คนมาศึกษาแนวนี้จากออสเตรเลีย ซึ้งก็ตลกดี เพราะตอนนี้เราไปศึกษาแนวของพวกเขา และมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับวิธีทำงานของแนวปะการัง และสิ่งที่มันควรเป็น ก็ตั้งอยู่บนการศึกษาแนวปะการังเหล่านี้ ที่ไม่มีปลาอยู่เลย ทีนี้ ในปี 1980 เกิดพายุเฮอริเคน ชื่อพายุอัลเลน ผมย้ายคนครึ่งห้องแล็บ ไปอยู่ในบ้านผม ลมพัดแรงมาก คลื่นสูงถึง 25 ถึง 50 ฟุต แนวปะการังหายไป เกาะใหม่ๆ เกิดขึ้น และเราก็คิดว่า "นี่เราฉลาดมากเลย เรารู้ว่าพายุเฮอริเคน เกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต" เราตีพิมพ์บทความในวารสาร ไซแอนซ์ เป็นครั้งแรกที่มีคน อธิบายหายนะ ของแนวปะการังที่เกิดจากเฮอริเคนลูกใหญ่ และเราก็พยากรณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เราพยากรณ์พลาดหมด และเหตุผลที่เราพลาด คือการประมงเกินขนาด และข้อเท็จจริงที่ว่าสัตว์กินพืชที่พบบ่อยที่สุด คือเม่นทะเล ได้สูญพันธุ์ไป ภายในไม่กี่เดือน หลังจากที่เม่นทะเลตายหมด สาหร่ายก็เริ่มเติบโต รูปนี้คือแนวปะการังเดียวกัน แนวเดียวกัน 15 ปีถัดมา แนวเดียวกันกับปัจจุบัน แนวปะการังที่ชายฝั่งตอนเหนือของจาไมกา มีปะการังที่มีชีวิตเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ มีสาหร่ายและเมือกเยอะมาก นี่คือเรื่องปกติของ แนวปะการังในคาริบเบียน และที่น่าเศร้ามากคือเป็นเรื่องปกติ ของแนวปะการังทั่วโลกด้วย
Now, that's my little, depressing story. All of us in our 60s and 70s have comparable depressing stories. There are tens of thousands of those stories out there, and it's really hard to conjure up much of a sense of well-being, because it just keeps getting worse. And the reason it keeps getting worse is that after a natural catastrophe, like a hurricane, it used to be that there was some kind of successional sequence of recovery, but what's going on now is that overfishing and pollution and climate change are all interacting in a way that prevents that. And so I'm going to sort of go through and talk about those three kinds of things.
โอเค นั่นคือเรื่องหดหูเรื่องเล็กๆ ของผม คนรุ่นเราที่อายุเลย 60 และ 70 ปี ล้วนแต่มีเรื่องราวที่น่าหดหู่ทำนองนี้ มีเรื่องราวแบบนี้นับพันนับหมื่น ในโลกนี้ และก็ยากมากที่ผมจะถ่ายทอด ความรู้สึกที่ว่าเราอยู่ดีมีสุข เพราะสถานการณ์กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ และเหตุผลที่มันเลวร้ายลง ก็คือ หลังเกิดภัยธรรมชาติ อย่างเฮอริเคน ในอดีตเราเคยมี กระบวนการฟื้นฟูที่ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ ประมงเกินขนาด มลภาวะ และภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง กำลังมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในทางที่ขวางกั้นการฟื้นฟู ฉะนัั้นผมจะเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องราว สามเรื่องนี้
We hear a lot about the collapse of cod. It's difficult to imagine that two, or some historians would say three world wars were fought during the colonial era for the control of cod. Cod fed most of the people of Western Europe. It fed the slaves brought to the Antilles, the song "Jamaica Farewell" -- "Ackee rice salt fish are nice" -- is an emblem of the importance of salt cod from northeastern Canada. It all collapsed in the 80s and the 90s: 35,000 people lost their jobs. And that was the beginning of a kind of serial depletion from bigger and tastier species to smaller and not-so-tasty species, from species that were near to home to species that were all around the world, and what have you. It's a little hard to understand that, because you can go to a Costco in the United States and buy cheap fish. You ought to read the label to find out where it came from, but it's still cheap, and everybody thinks it's okay.
เราได้ยินกันมามากแล้ว ว่าปลาค็อดสูญพันธุ์ ยากที่ใครจะเห็นภาพว่า สงครามโลก 2 ครั้ง หรือนักประวัติศาสตร์บางคนอาจว่ามี 3 ครั้ง เคยเกิดขึ้นในยุคล่าอาณานิคม เพื่อการควบคุมค็อด ปลาค็อดเคยเลี้ยงคนยุโรปตะวันตกทั้งทวีป เลี้ยงทาส ที่ถูกส่งมาหมู่เกาะแอนทิลลีส เพลง "อำลาจาไมกา" "ข้าวอากิปลาเค็มอร่อยดี" -- นั้นสะท้อนให้เห็นความสำคัญ ของปลาค็อดเค็มจากตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดา ธุรกิจนี้พังพินาศในทศวรรษ 1980 และ 1990 คน 35,000 คนตกงาน นั่นคือจุดเริ่มต้นเท่านั้น ของการสูญพันธุ์เป็นทอดๆ จากปลาพันธุ์ที่ตัวใหญ่และอร่อย ไปสู่พันธุ์ที่ตัวเล็กกว่าและไม่อร่อยเท่า จากพันธุ์ที่อยู่ใกล้บ้าน ไปสู่พันธุ์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก เป็นทอดๆ นะครับ ยากนิดหน่อยที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะในอเมริกา คุณเดินไปที่ร้านคอสท์โก ซื้อปลาราคาถูกได้ คุณน่าจะอ่านฉลากเพื่อดูว่ามันมาจากไหน แต่มันก็ยังถูก และทุกคนคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร
It's hard to communicate this, and one way that I think is really interesting is to talk about sport fish, because people like to go out and catch fish. It's one of those things. This picture here shows the trophy fish, the biggest fish caught by people who pay a lot of money to get on a boat, go to a place off of Key West in Florida, drink a lot of beer, throw a lot of hooks and lines into the water, come back with the biggest and the best fish, and the champion trophy fish are put on this board, where people take a picture, and this guy is obviously really excited about that fish. Well, that's what it's like now, but this is what it was like in the 1950s from the same boat in the same place on the same board on the same dock. The trophy fish were so big that you couldn't put any of those small fish up on it. And the average size trophy fish weighed 250 to 300 pounds, goliath grouper, and if you wanted to go out and kill something, you could pretty much count on being able to catch one of those fish. And they tasted really good. And people paid less in 1950 dollars to catch that than what people pay now to catch those little, tiny fish. And that's everywhere.
ยากที่จะสื่อสารเรื่องนี้กับคน ดังนั้น ผมคิดว่าวิธีหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ คือการพูดถึงกีฬาตกปลา เพราะคนชอบออกไปตกปลา ด้วยหลากหลายเหตุผล รูปนี้แสดงปลาใหญ่ที่ตกได้ ปลาตัวใหญ่ที่สุดที่ตกได้ โดยคนที่จ่ายเงินเยอะมาก เพื่อออกเรือ แล่นไปนอกชายฝั่งคีย์เวสท์ในฟลอริดา ดื่มเบียร์กันมากมาย โยนเบ็ดลงไปในน้ำหลายเที่ยว และกลับขึ้นฝั่งมาพร้อมกับปลาที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุด เขาจะเอาตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ตกได้ มาขึ้นกระดานนี้ ให้คนถ่ายรูปคู่ ชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้ ตื่นเต้นมากเกี่ยวกับปลาตัวนี้ โอเค นี่คือสถานการณ์ปัจจุบัน แต่นี่คือสถานการณ์ในทศวรรษ 1950 จากเรือลำเดียวกันในที่เดียวกัน จากกระดานเดียวกันบนท่าเดียวกัน ปลาตัวใหญ่ที่สุดนั้น ใหญ่มหึมา จนคุณเอาปลาตัวเล็กไปเทียบไม่ได้เลย ขนาดโดยเฉลี่ยของปลาใหญ่นี้ ปลาเก๋าโกไลแอธ หนัก 250-300 ปอนด์ และถ้าคุณอยากจะออกไปฆ่าอะไรสักอย่าง คุณก็พนันได้เลยว่า จะตกเจ้าปลาตัวใหญ่นี่ได้ รสชาติของมันก็ดีมากด้วย ในปี 1950 คนจ่ายเงินตกปลา ตัวนี้น้อยกว่า เงินที่คนจ่ายทุกวันนี้ เพื่อตกปลาตัวจิ๋วๆ พวกนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นทุกแห่ง
It's not just the fish, though, that are disappearing. Industrial fishing uses big stuff, big machinery. We use nets that are 20 miles long. We use longlines that have one million or two million hooks. And we trawl, which means to take something the size of a tractor trailer truck that weighs thousands and thousands of pounds, put it on a big chain, and drag it across the sea floor to stir up the bottom and catch the fish. Think of it as being kind of the bulldozing of a city or of a forest, because it clears it away. And the habitat destruction is unbelievable. This is a photograph, a typical photograph, of what the continental shelves of the world look like. You can see the rows in the bottom, the way you can see the rows in a field that has just been plowed to plant corn. What that was, was a forest of sponges and coral, which is a critical habitat for the development of fish. What it is now is mud, and the area of the ocean floor that has been transformed from forest to level mud, to parking lot, is equivalent to the entire area of all the forests that have ever been cut down on all of the earth in the history of humanity. We've managed to do that in the last 100 to 150 years.
และไม่ได้มีแต่ปลาเท่านั้น ที่กำลังหายไป อุตสาหกรรมประมงใช้ของใหญ่ๆ ใช้เครื่องจักรยักษ์ เราใช้ตาข่ายที่ยาว 20 ไมล์ ใช้สายตกปลายาวเหยียด มีเงี่ยงเบ็ด 1-2 ล้านอัน และเราก็ลากอวน ซึ่งหมายถึงการเอาอวน ขนาดเท่ากับรถแทรกเตอร์แบบพ่วง ที่หนักหลายพันปอนด์ แขวนมันเข้ากับโซ่ยักษ์ แล้วก็ลากไปบนพื้นทะเล เพื่อขูดเอาข้างใต้ขึ้นมา ลากปลาขึ้นมา ลองนึกว่านี่มัน เหมือนกับการไถเมืองทั้งเมือง หรือป่าทั้งป่า เพราะอวนลากทำลายราบ การทำลายล้างที่อยู่อาศัย แบบนี้เหลือเชื่อมาก นี่คือภาพถ่าย ภาพถ่ายปกติ นี่คือหน้าตาของชั้นทวีปใต้ทะเล ของโลกตอนนี้ คุณเห็นแถวข้างใต้ เหมือนกับที่คุณเห็นแถว ในไร่ที่เพิ่งถูกไถ เพื่อปลูกข้าวโพด ที่เห็นอยู่นี่คือป่าของฟองน้ำและปะการัง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยจำเป็น ของการเติบโตของปลา กลายเป็นโคลนไปแล้ว และพื้นทะเลบริเวณที่ ถูกแปลงจากป่า ให้กลายเป็นโคลน เป็นที่จอดรถ มีเนื้อที่เท่ากับเนื้อที่ทั้งหมด ของป่าทั้งหมดในโลก ที่คนตัดทำลาย ทุกแห่งในโลก ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และเราทำลายขนาดนี้ได้ แค่ในรอบ 100-150 ปีที่ผ่านมา
We tend to think of oil spills and mercury and we hear a lot about plastic these days. And all of that stuff is really disgusting, but what's really insidious is the biological pollution that happens because of the magnitude of the shifts that it causes to entire ecosystems. And I'm going to just talk very briefly about two kinds of biological pollution: one is introduced species and the other is what comes from nutrients. So this is the infamous Caulerpa taxifolia, the so-called killer algae. A book was written about it. It's a bit of an embarrassment. It was accidentally released from the aquarium in Monaco, it was bred to be cold tolerant to have in peoples aquaria. It's very pretty, and it has rapidly started to overgrow the once very rich biodiversity of the northwestern Mediterranean. I don't know how many of you remember the movie "The Little Shop of Horrors," but this is the plant of "The Little Shop of Horrors." But, instead of devouring the people in the shop, what it's doing is overgrowing and smothering virtually all of the bottom-dwelling life of the entire northwestern Mediterranean Sea. We don't know anything that eats it, we're trying to do all sorts of genetics and figure out something that could be done, but, as it stands, it's the monster from hell, about which nobody knows what to do.
เรามักจะนึกถึงน้ำมันรั่ว และสารปรอท และเราก็ได้ยินเรื่องพลาสติกบ่อยมาก ทั้งหมดนั้นน่ารังเกียจมาก แต่สิ่งที่เลวร้ายจริงๆ คือมลพิษทางชีววิทยาที่เกิดขึ้น เพราะขนาดของการเปลี่ยนแปลง ที่มันก่อ ต่อระบบนิเวศทั้งระบบ ผมอยากจะพูดแค่สั้นๆ เกี่ยวกับมลพิษทางชีววิทยาสองชนิด ชนิดแรกคือพันธุ์ต่างถิ่น และชนิดที่สองมาจากธาตุอาหาร นี่คือสัตว์ที่อื้อฉาวมาก คอเลอร์ปา แท็กซิโฟเลีย ที่คนเรียกว่า สาหร่ายพิฆาต มีคนเขียนถึงมันเป็นเล่ม มันเป็นเรื่องน่าอับอายไม่น้อย ที่ถูกปล่อยโดยบังเอิญ จากอะควาเรียมในโมนาโค มันถูกเลี้ยงให้ทนอากาศหนาว จะได้เลี้ยงในตู้ปลาตามบ้านได้ มันสวยงามมาก และก็เริ่มโตอย่างรวดเร็ว จนโตเกิน ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เคยรุ่มรวยมากของ ทะเลเมดิเตอเรเนียนตะวันตกเฉียงเหนือ ผมไม่รู้ว่ามีพวกคุณกี่คนที่จำหนังเรื่อง "ลิตเติ้ล ช็อป ออฟ ฮอร์เรอร์ส" ได้ แต่นี่คือพืชจาก "ลิตเติ้ล ช็อป ออฟ ฮอร์เรอร์ส" แต่แทนที่มันจะกินคนในร้าน มันกำลังโตเร็วเกิน และกดทับ ชีวิตทั้งมวลที่อาศัยบนพื้นทะเล ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ของทะเลเมดิเตอเรเนียนทั้งหมด เราไม่รู้ว่ามีอะไรที่กินสาหร่ายนี้ได้ เรากำลังทดลองทางพันธุกรรมทุกรูปแบบ เพื่อดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ มันยังเป็นอสูรจากนรก ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี
Now another form of pollution that's biological pollution is what happens from excess nutrients. The green revolution, all of this artificial nitrogen fertilizer, we use too much of it. It's subsidized, which is one of the reasons we used too much of it. It runs down the rivers, and it feeds the plankton, the little microscopic plant cells in the coastal water. But since we ate all the oysters and we ate all the fish that would eat the plankton, there's nothing to eat the plankton and there's more and more of it, so it dies of old age, which is unheard of for plankton. And when it dies, it falls to the bottom and then it rots, which means that bacteria break it down. And in the process they use up all the oxygen, and in using up all the oxygen they make the environment utterly lethal for anything that can't swim away. So, what we end up with is a microbial zoo dominated by bacteria and jellyfish, as you see on the left in front of you. And the only fishery left -- and it is a commercial fishery -- is the jellyfish fishery you see on the right, where there used to be prawns. Even in Newfoundland where we used to catch cod, we now have a jellyfish fishery.
ทีนี้ มลพิษอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่ามลพิษทางชีววิทยา คือสิ่งที่เกิดจากธาตุอาหารส่วนเกิน จากการปฏิวัติเขียว เราใช้ปุ๋ยไนโตรเจนสังเคราะห์มากเกินไป และเหตุผลหนึ่งที่เราใช้มากเกินไปคือ รัฐให้เงินอุดหนุน มันไหลไปตามแม่น้ำ เป็นอาหารให้กับแพลงตอน เซลล์พืชตัวจิ๋ว ในทะเลชายฝั่ง แต่ในเมื่อเรากินหอยนางรมไปหมดแล้ว และกินปลาที่กินแพลงตอนหมดไปด้วย ก็ไม่มีอะไรมากินแพลงตอน และตอนนี้มันก็แพร่พันธุ์มหาศาล จนตายเพราะสิ้นอายุขัย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับแพลงตอน พอมันตาย แพลงตอนจะร่วงลงสู่พื้นทะเล แล้วก็เน่าเปื่อย ซึ่งแปลว่าแบคทีเรียย่อยสลายมัน และในกระบวนการย่อยนี้ มันก็ใช้อ็อกซิเจนจนหมด และการใช้อ็อกซิเจนจนหมด ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษขั้นถึงฆาต สำหรับทุกอย่างที่ว่ายหนีไปไม่ได้ ดังนั้นผลลัพธ์ที่เราเห็น คือสวนสัตว์จุลินทรีย์ มีแบคทีเรียเป็นเจ้าอาณาจักร และแมงกะพรุน ที่คุณเห็น ทางซ้ายมือของคุณ ดังนั้นแหล่งประมงเดียวที่เหลืออยู่ นี่คือประมงเชิงพาณิชย์นะครับ ก็คือประมงแมงกะพรุน คุณเห็นทางด้านขวา ตรงนี้เคยเป็นแหล่งกุ้ง แม้แต่ในนิวฟาวน์แลนด์ ที่เราเคยจับปลาค็อดได้ ตอนนี้เรามีประมงแมงกะพรุนแทน
And another version of this sort of thing is what is often called red tides or toxic blooms. That picture on the left is just staggering to me. I have talked about it a million times, but it's unbelievable. In the upper right of that picture on the left is almost the Mississippi Delta, and the lower left of that picture is the Texas-Mexico border. You're looking at the entire northwestern Gulf of Mexico; you're looking at one toxic dinoflagellate bloom that can kill fish, made by that beautiful little creature on the lower right. And in the upper right you see this black sort of cloud moving ashore. That's the same species. And as it comes to shore and the wind blows, and little droplets of the water get into the air, the emergency rooms of all the hospitals fill up with people with acute respiratory distress. And that's retirement homes on the west coast of Florida. A friend and I did this thing in Hollywood we called Hollywood ocean night, and I was trying to figure out how to explain to actors what's going on. And I said, "So, imagine you're in a movie called 'Escape from Malibu' because all the beautiful people have moved to North Dakota, where it's clean and safe. And the only people who are left there are the people who can't afford to move away from the coast, because the coast, instead of being paradise, is harmful to your health."
อีกเวอร์ชันหนึ่งของเรื่องทำนองนี้ คือสิ่งที่เรียกกันว่า คลื่นแดง นั่นคือ พิษที่บานในน้ำ รูปนี้ทำให้ผมใจหายทุกครั้ง ผมพูดเรื่องนี้มาเป็นล้านครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่น่าเชื่อจริงๆ มุมขวาบนของรูปทางซ้าย คือปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี และทางมุมซ้ายล่าง คือพรมแดนระหว่างเท็กซัสกับเม็กซิโก คุณกำลังมองดูภาพถ่าย บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมดของอ่าวเม็กซิโก นี่คือทุ่งพิษแพลงตอน ไดโนแฟลเจลเลทที่ฆ่าปลาได้ สร้างโดยสิ่งมีชีวิตจิ๋วที่สวยงาม ในมุมขวาล่าง ที่มุมขวาบน คุณจะเห็น เมฆสีดำๆ กำลังเคลื่อนสู่ฝั่ง นี่คือพันธุ์เดียวกันครับ ระหว่างที่มันเข้าใกล้ชายฝั่ง ลมก็พัด หยดน้ำหยดเล็กๆ ระเหยสู่อากาศ ทำให้ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั้งหลาย เต็มไปด้วยผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจรุนแรง นี่คือบ้านพักคนชรา ทางชายฝั่งตะวันตกของฟลอริดา ผมกับเพื่อนคนหนึ่งทำกิจกรรมในฮอลลีวูด เราเรียกว่า คืนแห่งทะเลฮอลลีวูด ผมพยายามอธิบายให้นักแสดง เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ผมบอกว่า "โอเค นึกภาพว่าคุณอยู่ในหนังชื่อ 'หนีตายจากมาลิบู' เพราะคนเก๋เริ่ดทุกคนย้ายออกไป อยู่รัฐดาโกต้าเหนือ เพราะมันสะอาดและปลอดภัย คนที่ยังเหลืออยู่ที่มาลิบู คือคนที่ไม่มีกำลังพอ ที่จะย้ายออกจากชายฝั่ง เพราะชายฝั่ง แทนที่จะเป็นหาดสวรรค์ กลายเป็นหาดที่คุกคามสุขภาพคุณ"
And then this is amazing. It was when I was on holiday last early autumn in France. This is from the coast of Brittany, which is being enveloped in this green, algal slime. The reason that it attracted so much attention, besides the fact that it's disgusting, is that sea birds flying over it are asphyxiated by the smell and die, and a farmer died of it, and you can imagine the scandal that happened. And so there's this war between the farmers and the fishermen about it all, and the net result is that the beaches of Brittany have to be bulldozed of this stuff on a regular basis.
ต่อมา เรื่องนี้น่าทึ่งมาก ตอนที่ผมไปพักร้อน ต้นฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วในฝรั่งเศส รูปนี้มาจากชายฝั่งบริตตานี ซึ่งกำลังถูกกลืนหายไป ในเมือกสาหร่ายสีเขียวนี่ เหตุผลที่มันดึงดูดความสนใจมากมาย นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันน่าขยะแขยง ก็คือ นกทะเลที่บินข้ามมัน ดมกลิ่นเข้าไปแล้วขาดใจตาย ชาวนาคนหนึ่งตายด้วยสาเหตุเดียวกัน คุณนึกดูได้เลยว่าเรื่องนี้อื้อฉาวขนาดไหน ตอนนี้มันเลยกลายเป็นสงคราม ระหว่างเกษตรกร กับชาวประมง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ต้องเอารถไถมากำจัดสาหร่ายบนชายหาดของบริตตานี เป็นประจำ
And then, of course, there's climate change, and we all know about climate change. I guess the iconic figure of it is the melting of the ice in the Arctic Sea. Think about the thousands and thousands of people who died trying to find the Northwest Passage. Well, the Northwest Passage is already there. I think it's sort of funny; it's on the Siberian coast, maybe the Russians will charge tolls. The governments of the world are taking this really seriously. The military of the Arctic nations is taking it really seriously. For all the denial of climate change by government leaders, the CIA and the navies of Norway and the U.S. and Canada, whatever are busily thinking about how they will secure their territory in this inevitability from their point of view. And, of course, Arctic communities are toast.
ต่อมา เรื่องสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เราทุกคนรู้แล้วเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผมเดาว่าภาพที่กลายเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว คือน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย ลงทะเลไป นึกถึงคนหลายพันคนที่ตายไปตอน พยายามหาเส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่จริงตะวันตกเฉียงเหนือมีอยุ่แล้ว ผมว่าเรื่องนี้ตลกดี มันอยู่ที่ชายฝั่งไซบีเรีย บางทีรัสเซียจะเริ่มเก็บค่าผ่านทาง รัฐบาลทั้งหลายในโลก กำลังจริงจังกับเรื่องนี้มาก กองทัพของชาติที่อยู่ขั้วโลกเหนือ ก็กำลังจริงจังมากๆ เพราะไม่ว่าผู้นำรัฐบาลจะปฏิเสธ เรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงแค่ไหน ซีไอเอ กับกองทัพเรือของนอร์เวย์ และกองทัพสหรัฐ แคนาดา และที่อื่น กำลังยุ่งวุ่นวายกับการคิด ว่าพวกเขาจะประสบชัยชนะ ได้อย่างไรจากสภาพที่หนีไม่พ้น จากมุมมองของพวกเขา และแน่นอน ชุมชนแถบขั้วโลกเหนือแย่แน่ๆ
The other kinds of effects of climate change -- this is coral bleaching. It's a beautiful picture, right? All that white coral. Except it's supposed to be brown. What happens is that the corals are a symbiosis, and they have these little algal cells that live inside them. And the algae give the corals sugar, and the corals give the algae nutrients and protection. But when it gets too hot, the algae can't make the sugar. The corals say, "You cheated. You didn't pay your rent." They kick them out, and then they die. Not all of them die; some of them survive, some more are surviving, but it's really bad news. To try and give you a sense of this, imagine you go camping in July somewhere in Europe or in North America, and you wake up the next morning, and you look around you, and you see that 80 percent of the trees, as far as you can see, have dropped their leaves and are standing there naked. And you come home, and you discover that 80 percent of all the trees in North America and in Europe have dropped their leaves. And then you read in the paper a few weeks later, "Oh, by the way, a quarter of those died." Well, that's what happened in the Indian Ocean during the 1998 El Nino, an area vastly greater than the size of North America and Europe, when 80 percent of all the corals bleached and a quarter of them died.
ผลกระทบอื่นของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง คือการฟอกขาวของปะการัง มันเป็นภาพที่งดงาม ทางขวานี้ ปะการังสีขาวทั้งหมดนี้ เพียงแต่ว่ามันควรจะเป็นสีน้ำตาล สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ ปะการังอยู่แบบอาศัยพึ่งพากับชีวิตอื่น มันมีเซลล์สาหร่ายเล็กๆ ที่อาศัยในปะการัง สาหร่ายป้อนน้ำตาลให้กับปะการัง และปะการังก็มอบธาตุอาหาร และคุ้มกันความปลอดภัย แต่เมื่ออุณหภูมิขึ้นสูงเกินไป สาหร่ายก็ผลิตน้ำตาลไม่ได้ ปะการังบอกว่า "แกขี้โกง แกไม่จ่ายค่าเช่า" ก็เลยเตะสาหร่ายออกไป เสร็จแล้วมันก็ตาย มันไม่ตายหมด บางส่วนเอาตัวรอดได้ บางส่วนกำลังฟื้นคืนชีพ แต่โดยรวมก็เป็นข่าวร้ายมาก ถ้าคุณอยากเข้าใจว่าแย่แค่ไหน ลองนึกภาพว่าคุณไปแคมปิ้งเดือนกรกฎาคม ในยุโรปหรืออเมริกาเหนือ คุณตื่นมาตอนเช้า มองไปรอบตัว และพบว่าต้นไม้ร้อยละ 80 รอบตัวคุณสุดลูกหูลูกตา ใบไม้ร่วงลงมาหมดแล้ว ยืนต้นโกร๋นทั้งหมด เสร็จแล้วคุณกลับบ้านมาพบว่า ต้นไม้ร้อยละ 80 ของทั้งหมด ในอเมริกาเหนือและยุโรป ใบไม้ร่วงหมดต้น ไม่กี่สัปดาห์ให้หลัง คุณอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ ถึงบางอ้อว่าต้นไม้หนึ่งในสี่ตายไปแล้ว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย ในปรากฏการณ์เอลนิโญ ปี 1998 ในบริเวณที่กินเนื้อที่ กว้างกว่าอเมริกาเหนือและยุโรปรวมกัน ปะการังร้อยละ 80 ฟอกขาว หนึ่งในสี่ในจำนวนนั้นตายไปแล้ว
And then the really scary thing about all of this -- the overfishing, the pollution and the climate change -- is that each thing doesn't happen in a vacuum. But there are these, what we call, positive feedbacks, the synergies among them that make the whole vastly greater than the sum of the parts. And the great scientific challenge for people like me in thinking about all this, is do we know how to put Humpty Dumpty back together again? I mean, because we, at this point, we can protect it. But what does that mean? We really don't know.
สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ คือประมงเกินขนาด มลภาวะ และสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ก็คือแต่ละอย่างไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่มีสิ่งที่เราเรียกว่า ปฏิกิริยาตอบกลับเชิงบวก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมมหาศาล กว่าผลรวมของปัญหาทุกปัญหา ความท้าทายทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ สำหรับคนอย่างผมที่คิดเรื่องพวกนี้ คือคำถามที่ว่า เรารู้วิธี ประกอบชิ้นส่วนของตุ๊กตาให้เหมือนเดิมหรือเปล่า? คือผมรู้สึกว่า ณ จุดนี้ เราปกป้องทะเลได้ แต่นี่แปลว่าอะไรล่ะ? เราไม่รู้เลย
So what are the oceans going to be like in 20 or 50 years? Well, there won't be any fish except for minnows, and the water will be pretty dirty, and all those kinds of things and full of mercury, etc., etc. And dead zones will get bigger and bigger and they'll start to merge, and we can imagine something like the dead-zonification of the global, coastal ocean. Then you sure won't want to eat fish that were raised in it, because it would be a kind of gastronomic Russian roulette. Sometimes you have a toxic bloom; sometimes you don't. That doesn't sell.
ทะเลจะเป็นอย่างไร ในอีก 20 หรือ 50 ปี? ก่อนอื่น ปลาจะไม่มีเหลือ ยกเว้นพวกตัวเล็กๆ และน้ำก็จะสกปรกค่อนข้างมาก เป็นน้ำที่จะเต็มไปด้วย สารปรอท และอื่นๆ บริเวณที่ไร้สิ่งมีชีวิตจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจะมารวมกันเป็นผืนใหญ่ เสร็จแล้วเราก็สามารถนึกถึง การกลายสภาพเป็นโซนไร้ชีวิต ของมหาสมุทรระดับโลก คุณจะไม่อยากกินปลาอะไรเลยที่เลี้ยงในนี้ เพราะมันจะกลายเป็น เกมเสี่ยงทายที่เดิมพันด้วยชีวิต บางทีคุณจะมีทุ่งพิษ บางทีก็ไม่มี อย่างนี้ขายไม่ได้หรอก
The really scary things though are the physical, chemical, oceanographic things that are happening. As the surface of the ocean gets warmer, the water is lighter when it's warmer, it becomes harder and harder to turn the ocean over. We say it becomes more strongly stratified. The consequence of that is that all those nutrients that fuel the great anchoveta fisheries, of the sardines of California or in Peru or whatever, those slow down and those fisheries collapse. And, at the same time, water from the surface, which is rich in oxygen, doesn't make it down and the ocean turns into a desert.
แต่สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือปรากฏการณ์ทางกายภาพ ทางเคมี ในทะเลที่กำลังเกิดขึ้น ขณะที่พื้นผิวทะเลอุ่นขึ้น น้ำก็เบาลงเมื่อมันอุ่นขึ้น มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ที่ทะเลจะพลิกฟื้นคืนสภาพ เราใช้คำว่า ทะเล แบ่งเป็นชั้นๆ มากขึ้น ผลพวงของเรื่องนี้คือ ธาตุอาหารทั้งหลาย ที่หล่อเลี้ยงแหล่งเพาะพันธุ์ปลาแองโชวีตา ที่มาทำปลาซาร์ดีนในแคลิฟอร์เนีย หรือในเปรู หรือที่ไหนก็ตาม ธาตุอาหารจะผลิตได้ช้าลง จนแหล่งประมงเสื่อมสลาย และในเวลาเดียวกัน น้ำจากพื้นผิวทะเล ซึ่งเต็มไปด้วยอ็อกซิเจน ก็ทะลุลงไปข้างล่างไม่ได้ ทำให้ทะเลแล้งเหมือนทะเลทราย
So the question is: How are we all going to respond to this? And we can do all sorts of things to fix it, but in the final analysis, the thing we really need to fix is ourselves. It's not about the fish; it's not about the pollution; it's not about the climate change. It's about us and our greed and our need for growth and our inability to imagine a world that is different from the selfish world we live in today. So the question is: Will we respond to this or not? I would say that the future of life and the dignity of human beings depends on our doing that.
ฉะนั้นคำถามคือ เราทั้งหมด จะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร? เรามีวิธี หลายวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ แต่ท้ายที่สุดนะครับ สิ่งที่เราต้องแก้จริงๆ คือตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องของปลา ไม่ใช่เรื่องของมลภาวะ ไม่ใช่เรื่องของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเรื่องของเรา เรื่องของความโลภและความกระหายการเติบโต และความไร้ความสามารถของเราที่จะนึกภาพ โลกที่แตกต่างไปจากโลกที่เห็นแก่ตัว ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ฉะนั้นคำถามคือ เราจะรับมือกับเรื่องนี้หรือไม่? ผมจะบอกว่าอนาคตของชีวิต และศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ตั้งอยู่บนการทำเรื่องนี้เลยครับ.
Thank you. (Applause)
ขอบคุณครับ.