When I was growing up in Montana, I had two dreams. I wanted to be a paleontologist, a dinosaur paleontologist, and I wanted to have a pet dinosaur. And so that's what I've been striving for all of my life. I was very fortunate early in my career. I was fortunate in finding things. I wasn't very good at reading things. In fact, I don't read much of anything. I am extremely dyslexic, and so reading is the hardest thing I do. But instead, I go out and I find things. Then I just pick things up. I basically practice for finding money on the street. (Laughter) And I wander about the hills, and I have found a few things.
ครั้งที่ผมโตขึ้นในมอนทานา ผมมีความฝันอยู่สองอย่าง ผมต้องการเป็นนักบรรพชีวินวิทยา ผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับไดโนเสาร์ และผมอยากมีไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลี้ยง และนั่นเป็นสิ่งที่ผมพยายามทำอยู่ ตลอดทั้งชีวิต ผมโชคดีตั้งแต่ ช่วงที่ผมเริ่มต้นสายงานนี้ ผมมีความสามารถ ในการค้นหาสิ่งต่างๆ ผมไม่เก่งเรื่องการอ่านเอาซะเลย จริงๆแล้ว ผมไม่ค่อยชอบอ่านอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมมีความบกพร่องทางการอ่าน การอ่านหนังสือ เลยเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม เพราะฉะนั้น ผมเลยออกไปค้นหาสิ่งต่างๆ แล้วก็หยิบมันขึ้นมาเฉยๆ พูดง่ายๆ ผมฝึกเก็บเหรียญตามท้องถนนนั่นแหละ (เสียงหัวเราะ) ผมตระเวนไปตามเนินตามเขาต่างๆ และค้นพบบางสิ่งบางอย่าง
And I have been fortunate enough to find things like the first eggs in the Western hemisphere and the first baby dinosaurs in nests, the first dinosaur embryos and massive accumulations of bones. And it happened to be at a time when people were just starting to begin to realize that dinosaurs weren't the big, stupid, green reptiles that people had thought for so many years. People were starting to get an idea that dinosaurs were special.
ผมโชคดีมาก ที่เจอไข่ไดโนเสาร์ใบแรก ในซีกโลกเหนือ และไดโนเสาร์ทารกตัวแรกที่ยังอยู่ในรังของมัน เจอตัวอ่อนตัวแรกของไดโนเสาร์ และเจอโครงกระดูกอีกมากมาย และในช่วงนั้นแหละ ที่ผู้คนเริ่มเข้าใจ ว่าไดโนเสาร์ไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ๆ ทึ่มๆ โง่ๆ อย่างที่เข้าใจผิดมาเป็นเวลานาน ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจกันแล้ว ว่าไดโนเสาร์เป็นสิ่งพิเศษ
And so, at that time, I was able to make some interesting hypotheses along with my colleagues. We were able to actually say that dinosaurs -- based on the evidence we had -- that dinosaurs built nests and lived in colonies and cared for their young, brought food to their babies and traveled in gigantic herds. So it was pretty interesting stuff. I have gone on to find more things and discover that dinosaurs really were very social. We have found a lot of evidence that dinosaurs changed from when they were juveniles to when they were adults. The appearance of them would have been different -- which it is in all social animals. In social groups of animals, the juveniles always look different than the adults. The adults can recognize the juveniles; the juveniles can recognize the adults. And so we're making a better picture of what a dinosaur looks like. And they didn't just all chase Jeeps around.
ดังนั้น ในช่วงนั้น ผมได้ตั้งสมมติฐานที่น่าสนใจหลายอัน ร่วมกับเพื่อนร่วมงานของผม เราสามารถกล่าว ด้วยหลักฐานที่เรามี ได้ว่า ไดโนเสาร์สร้างรัง และอาศัยร่วมกันเป็นกลุ่ม และดูแลลูกหลานของมัน หาอาหารมาให้ลูกๆของมัน และเดินทางกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งมันน่าสนใจมาก และผมก็ได้ออกตามหาข้อมูลเพิ่มเติม จนค้นพบว่า จริงๆแล้วไดโนเสาร์เป็นสัตว์สังคม เราพบหลักฐานหลายอย่าง ที่บอกได้ว่า ไดโนเสาร์มีพัฒนาการ จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ รูปร่างหน้าตาของมันจะเปลี่ยนไป เฉกเช่นเดียวกับสัตว์สังคมอื่นๆ ในสังคมของสัตว์นั้น ตัวที่เด็กกว่าจะมีหน้าตาต่างไปจากตัวที่โตแล้ว ตัวที่แก่กว่า จะรู้ว่าตัวไหนเด็กกว่า ตัวที่เด็กกว่า ก็จะรู้ว่าตัวไหนแก่กว่า แล้วเราก็เห็นภาพชัดเจนขึ้น ว่าไดโนเสาร์ควรมีหน้าตาอย่างไร และมันก็ไม่วิ่งไล่รถจี๊บเล่นในเวลาว่างแน่ๆ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
But it is that social thing that I guess attracted Michael Crichton. And in his book, he talked about the social animals. And then Steven Spielberg, of course, depicts these dinosaurs as being very social creatures. The theme of this story is building a dinosaur, and so we come to that part of "Jurassic Park." Michael Crichton really was one of the first people to talk about bringing dinosaurs back to life. You all know the story, right. I mean, I assume everyone here has seen "Jurassic Park."
แต่ผมว่านะ การเข้าสังคมนี่แหละ ที่ทำให้ ไมเคิล คริชตัน สนใจพวกมัน และในหนังสือ เขาก็พูดถึงสัตว์สังคม และแน่นอนว่า สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็นำเสนอไดโนเสาร์พวกนี้ ว่ามันเป็นสัตว์ที่เข้าสังคมมากๆ ธีมของเรื่องนี้ คือการสร้างไดโนเสาร์ ผมจะพูดถึงหนังเรื่อง "จูราสสิก ปาร์ค" สักหน่อยนะครับ ไมเคิล คริชตัน เป็นคนแรกๆ ที่พูดถึงการฟื้นชีวิตให้ไดโนเสาร์ คุณรู้เรื่องราวของมันอยู่แล้วใช่ไหม คือผมคิดว่า ทุกคนในที่นี้คงเคยดู "จูราสสิก ปาร์ค"
If you want to make a dinosaur, you go out, you find yourself a piece of petrified tree sap -- otherwise known as amber -- that has some blood-sucking insects in it, good ones, and you get your insect and you drill into it and you suck out some DNA, because obviously all insects that sucked blood in those days sucked dinosaur DNA out. And you take your DNA back to the laboratory and you clone it. And I guess you inject it into maybe an ostrich egg, or something like that, and then you wait, and, lo and behold, out pops a little baby dinosaur. And everybody's happy about that. (Laughter) And they're happy over and over again. They keep doing it; they just keep making these things. And then, then, then, and then ... Then the dinosaurs, being social, act out their socialness, and they get together, and they conspire. And, of course, that's what makes Steven Spielberg's movie -- conspiring dinosaurs chasing people around.
ถ้าคุณจะสร้างไดโนเสาร์ คุณต้องออกไปหาน้ำจากเนื้อไม้ ที่ถูกทำให้แข็ง -- หรือที่เราเรียกว่า ยางไม้ -- ที่มีแมลงดูดเลือดถูกฝังไว้ ในสภาพสมบูรณ์ แล้วคุณก็เจาะเข้าไป ดูดดีเอ็นเอออกมา โดยติ๊ต่างว่า แมลงดูดเลือดในยุคนั้นทุกตัว จะดูดดีเอ็นเอของไดโนเสาร์ออกมา แล้วคุณก็นำดีเอ็นเอนี้กลับไปที่ห้องทดลอง แล้วโคลนมันซะ ฉีดมันเข้าไปในไข่นกกระจอกเทศ หรืออะไรเทือกๆนั้น แล้วคุณก็รอ ทันใดนั้น ไดโนเสาร์น้อยๆก็จะกระเทาะเปลือกออกมา แล้วเราก็ฉลองกัน (เสียงหัวเราะ) ด้วยความสำเร็จนั้น เราก็ทำมันเพิ่มเรื่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วด้วยความที่ไดโนเสาร์เป็นสัตว์สังคม มันก็เริ่มแสดงอาการให้เห็น พวกมันรวมตัวกัน แล้วก็สมคบคิดกัน และแน่นอน เราก็ได้ภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก หนึ่งเรื่องถ้วน -- ไดโนเสาร์สมคบคิดกัน วิ่งไล่คนไปมา
So I assume everybody knows that if you actually had a piece of amber and it had an insect in it, and you drilled into it, and you got something out of that insect, and you cloned it, and you did it over and over and over again, you'd have a room full of mosquitos. (Laughter) (Applause) And probably a whole bunch of trees as well.
ผมคิดว่าทุกคนคงรู้ ว่าถ้าเรามีแมลงอยู่ในยางไม้ก้อนหนึ่ง เจาะลงไปในนั้น แล้วดูดแมลงนั้นออกมา คุณโคลนมันเรื่อยๆ เรื่อยๆ คุณก็จะได้ห้องที่เต็มไปด้วยยุง (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) อาจจะได้ต้นไม้เป็นของแถมด้วยนะ
Now if you want dinosaur DNA, I say go to the dinosaur. So that's what we've done. Back in 1993 when the movie came out, we actually had a grant from the National Science Foundation to attempt to extract DNA from a dinosaur, and we chose the dinosaur on the left, a Tyrannosaurus rex, which was a very nice specimen. And one of my former doctoral students, Dr. Mary Schweitzer, actually had the background to do this sort of thing. And so she looked into the bone of this T. rex, one of the thigh bones, and she actually found some very interesting structures in there. They found these red circular-looking objects, and they looked, for all the world, like red blood cells. And they're in what appear to be the blood channels that go through the bone. And so she thought, well, what the heck. So she sampled some material out of it. Now it wasn't DNA; she didn't find DNA. But she did find heme, which is the biological foundation of hemoglobin. And that was really cool. That was interesting. That was -- here we have 65-million-year-old heme. Well we tried and tried and we couldn't really get anything else out of it.
ถ้าคุณต้องการดีเอ็นเอของไดโนเสาร์จริงๆ ผมคิดว่าเราต้องไปหาจากไดโนเสาร์ และนั่นคือสิ่งที่เราทำ ย้อนกลับไปในปี 1993 ที่ จูราสสิก ปาร์ค เข้าฉาย เราได้รับเงินทุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เพื่อวิจัยการสกัดดีเอ็นเอจากไดโนเสาร์ เราเลือกใช้ไดโนเสาร์ด้านขวามือ ทีเร็กซ์ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี และหนึ่งในนักเรียนปริญญาเอกของผม ดอกเตอร์ แมรี่ ชไวท์เซอร์ ก็มีพื้นฐาน ในการทำสิ่งเหล่านี้ เธอจึงเข้าไปดูกระดูกของทีเร็กซ์ตัวนี้ ในกระดูกต้นขา และเธอก็ค้นพบ โครงสร้างที่น่าสนใจในกระดูกชิ้นนั้น พวกเขาค้นพบก้อนแดงๆเหล่านี้ ซึ่งดูเหมือน เซลล์เม็ดเลือดแดง แถมเรายังเจอมัน ในสิ่งที่ดูเหมือนเส้นเลือด ที่อยู่ในกระดูก ด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไร เธอจึงศึกษามัน มันไม่ใช่ดีเอ็นเอ แต่เธอค้นพบฮีม ซึ่งเป็นส่วนประกอบ ของฮีโมโกลบิน มันเจ๋งมากๆ มันน่าสนใจมากครับ เราได้ก็ค้นพบ ฮีม ที่มีอายุกว่า 65 ล้านปี เราลองแล้วลองอีก แต่ก็ไม่สามารถดึงอะไรออกมาได้อีก
So a few years went by, and then we started the Hell Creek Project. And the Hell Creek Project was this massive undertaking to get as many dinosaurs as we could possibly find, and hopefully find some dinosaurs that had more material in them. And out in eastern Montana there's a lot of space, a lot of badlands, and not very many people, and so you can go out there and find a lot of stuff. And we did find a lot of stuff. We found a lot of Tyrannosaurs, but we found one special Tyrannosaur, and we called it B-rex. And B-rex was found under a thousand cubic yards of rock. It wasn't a very complete T. rex, and it wasn't a very big T. rex, but it was a very special B-rex. And I and my colleagues cut into it, and we were able to determine, by looking at lines of arrested growth, some lines in it, that B-rex had died at the age of 16. We don't really know how long dinosaurs lived, because we haven't found the oldest one yet. But this one died at the age of 16.
หลายปีผ่านไป เราเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ ชื่อว่าโปรเจกต์ลำธารนรก โปรเจกต์ลำธารนรกนี้ ทุ่มเทพลังงานทั้งหมด เพื่อค้นหาไดโนเสาร์ให้ได้มากที่สุด และหวังว่าเราจะพบสักตัว ที่เราสามารถเล่นอะไรกับมันได้มากขึ้น และในมอนทาน่าตะวันออก มีพื้นที่มากมาย พื้นที่รกร้าง และมีคนอยู่ไม่มาก เราสามารถออกไปค้นหาอะไรได้มากมาย และเราก็ค้นพบอะไรเยอะแยะจริงๆ เราเจอ ไทแรนโนซอร์ จำนวนมาก แต่มีตัวหนึ่งที่มีความพิเศษ เราเรียกมันว่า บี-เรกซ์ เราพบ บี-เรกซ์ ตัวนี้ ภายใต้ชั้นหินกว่าพันหลา มันไม่ใช่ ทีเร็กซ์ที่สมบูรณ์นัก และก็ไม่ใช่ตัวที่ใหญ่มาก แต่มันเป็น บี-เร็กซ์ที่พิเศษมาก ผมและเพื่อนๆผมศึกษามัน และเราสามารถชี้ได้ โดยการดูเส้นต่างๆนี้ ว่า บี-เร็กซ์ตัวนี้ ตายตอนอายุ 16 เราไม่รู้ว่าไดโนเสาร์มีอายุได้กี่ปี เพราะเรายังไม่เจอตัวที่แก่ที่สุด แต่ตัวนี้ตายตอนอายุ 16
We gave samples to Mary Schweitzer, and she was actually able to determine that B-rex was a female based on medullary tissue found on the inside of the bone. Medullary tissue is the calcium build-up, the calcium storage basically, when an animal is pregnant, when a bird is pregnant. So here was the character that linked birds and dinosaurs. But Mary went further. She took the bone, and she dumped it into acid. Now we all know that bones are fossilized, and so if you dump it into acid, there shouldn't be anything left. But there was something left. There were blood vessels left. There were flexible, clear blood vessels. And so here was the first soft tissue from a dinosaur. It was extraordinary. But she also found osteocytes, which are the cells that laid down the bones. And try and try, we could not find DNA, but she did find evidence of proteins.
เราส่งตัวอย่างให้ แมรี่ ชไวท์เซอร์ และเธอก็สามารถบอกได้ว่า บี-เร็กซ์ตัวนั้น เป็นตัวเมีย โดยดูจากเนื้อเยื่อไขสันหลัง ที่พบในกระดูก เนื้อเยื่อไขสันหลังเป็นแหล่งสะสมแคลเซียม เป็นที่เก็บแคลเซียมเลยก็ว่าได้ สำหรับเวลาที่สัตว์ตั้งครรภ์ เวลาที่นกตั้งครรภ์ นั่นคืออีกสิ่งหนึ่ง ที่เชื่อมโยงนกกับไดโนเสาร์ แต่แมรี่ก็ยังค้นคว้าต่อไป เธอนำกระดูกไปใส่ในน้ำกรด เราทุกคนรู้ว่ากระดูกพวกนี้เป็นฟอสซิล ซึ่งถ้านำไปจุ่มในน้ำกรด ก็คงไม่มีอะไรเหลือให้เห็น แต่เราก็พบบางอย่าง เราพบเส้นเลือด มันคือเส้นเลือดที่ยืดหยุ่นและโปร่งแสง และนี่คือเนื้อเยื่อแรกที่เราได้จากไดโนเสาร์ มันน่าตื่นใจมาก และเธอก็พบ ออสติโอไซท์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่ประกอบเป็นกระดูก ด้วยความพยายามทั้งหมด เราก็ยังไม่เจอดีเอ็นเอ แต่เธอก็พบหลักฐานของโปรตีน
But we thought maybe -- well, we thought maybe that the material was breaking down after it was coming out of the ground. We thought maybe it was deteriorating very fast. And so we built a laboratory in the back of an 18-wheeler trailer, and actually took the laboratory to the field where we could get better samples. And we did. We got better material. The cells looked better. The vessels looked better. Found the protein collagen. I mean, it was wonderful stuff. But it's not dinosaur DNA. So we have discovered that dinosaur DNA, and all DNA, just breaks down too fast. We're just not going to be able to do what they did in "Jurassic Park." We're not going to be able to make a dinosaur based on a dinosaur.
เราคิดว่า ไม่แน่นะ อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้สลายตัวลงตอนถูกขุดขึ้นมา มันอาจจะสลายตัวเร็วเกินไป เราจึงสร้างห้องทดลอง ในรถเทรลเลอร์ 18 ล้อคันนี้ เราจะได้มีห้องทดลองนอกสถานที่ ไปยังที่ที่เราจะรักษาตัวอย่างได้ดีขึ้น แล้วเราก็ได้ตัวอย่างที่ดีขึ้น เซลล์ดูดีกว่าเดิม เส้นเลือดดูดีกว่าเดิม แล้วเราก็พบคอลลาเจน ผมว่ามันเป็นสิ่งที่งดงามมาก แต่ก็ยังไม่ใช่ดีเอ็นเอไดโนเสาร์ เราจึงพบว่า ดีเอ็นเอของไดโนเสาร์ และสัตว์ทุกชนิด สลายตัวเร็วเกินไป เราจะไม่สามารถทำ อย่างที่ใน "จูราสสิก ปาร์ค" ทำได้ เราไม่สามารถสร้างไดโนเสาร์ จากซากไดโนเสาร์ที่เรามี
But birds are dinosaurs. Birds are living dinosaurs. We actually classify them as dinosaurs. We now call them non-avian dinosaurs and avian dinosaurs. So the non-avian dinosaurs are the big clunky ones that went extinct. Avian dinosaurs are our modern birds. So we don't have to make a dinosaur because we already have them.
แต่นกคือไดโนเสาร์ นกคือไดโนเสาร์ที่ยังมีชีวิต เราจำแนกประเภทมัน เป็นไดโนเสาร์ เดี๋ยวนี้เราเรียกมันว่า ไดโนเสาร์ที่บินไม่ได้ กับไดโนเสาร์ที่บินได้ ไดโนเสาร์ที่บินไม่ได้ คือพวกที่ตัวใหญ่ๆ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ไดโนเสาร์ที่บินได้ ก็คือนกในปัจจุบัน ดังนั้น เราไม่ต้องสร้างไดโนเสาร์ เพราะเรามีพวกมันอยู่แล้ว
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
I know, you're as bad as the sixth-graders. (Laughter) The sixth-graders look at it and they say, "No." (Laughter) "You can call it a dinosaur, but look at the velociraptor: the velociraptor is cool." (Laughter) "The chicken is not." (Laughter) So this is our problem, as you can imagine. The chicken is a dinosaur. I mean it really is. You can't argue with it because we're the classifiers and we've classified it that way. (Laughter) (Applause) But the sixth-graders demand it. "Fix the chicken." (Laughter) So that's what I'm here to tell you about: how we are going to fix a chicken.
ผมรู้น่ะว่าพวกคุณก็เหมือนเด็ก ป.6 นั่นแหละ (เสียงหัวเราะ) เด็ก ป.6 จะมองสัตว์พวกนี้ แล้วบอกว่า "ไม่!" (เสียงหัวเราะ) "พี่เรียกมันว่าไดโนเสาร์ก็ได้ แต่ดูพวก เวโลซิแรพเตอร์ สิ พวกเวโลซิแรพเตอร์น่ะ เจ๋ง" (เสียงหัวเราะ) "แต่นี่มัน... ไก่" (เสียงหัวเราะ) และนี่คือปัญหาของเรา อย่างที่ผมบอกไป ไก่ ก็คือไดโนเสาร์ ผมพูดจริงนะ คุณเถียงไม่ได้หรอก เพราะเราคือคนที่จำแนกมัน และเราก็จำแนกมันอย่างนั้น (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) แต่เด็ก ป.6 งอแง "นั่นมัน...ไก่" (เสียงหัวเราะ) และนี่คือสิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้ เราจะทำไก่ให้เป็นไดโนเสาร์อย่างไร
So we have a number of ways that we actually can fix the chicken. Because evolution works, we actually have some evolutionary tools. We'll call them biological modification tools. We have selection. And we know selection works. We started out with a wolf-like creature and we ended up with a Maltese. I mean, that's -- that's definitely genetic modification. Or any of the other funny-looking little dogs. We also have transgenesis. Transgenesis is really cool too. That's where you take a gene out of one animal and stick it in another one. That's how people make GloFish. You take a glow gene out of a coral or a jellyfish and you stick it in a zebrafish, and, puff, they glow. And that's pretty cool. And they obviously make a lot of money off of them. And now they're making Glow-rabbits and Glow-all-sorts-of-things. I guess we could make a glow chicken. (Laughter) But I don't think that'll satisfy the sixth-graders either.
เรามีหลายวิธี ที่จะแปลงร่างไก่พวกนี้ เพราะว่าวิวัฒนาการเกิดขึ้นจริง เราจึงมีอุปกรณ์ทางวิวัฒนาการ เราเรียกว่า อุปกรณ์ดัดแปลงพันธุกรรม เรามีการเลือก และเรารู้ว่าการเลือกนั้นได้ผล เราเริ่มจากสัตว์อย่างสุนัขจิ้งจอก แล้วเราก็แปลงร่างให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน นั่นแหละ คือการดัดแปลงพันธุกรรมของจริง ยกตัวอย่างสุนัขหน้าตาประหลาดๆตัวอื่นก็ได้ แถมเรายังมีการตัดต่อพันธุกรรม อันนี้ก็เจ๋งเหมือนกัน มันคือการที่เราดึงยีนจากสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วไปใส่ในอีกตัวหนึ่ง นั่นคือวิธีที่เราสร้างปลาเรืองแสง คุณเอายีนที่ทำให้เรืองแสง จากปะการัง หรือแมงกะพรุน แล้วยัดใส่ในปลาคาร์ฟ แล้วปลาก็เรืองแสงได้ มันเจ๋งดีนะ แน่นอนว่าเราทำเงินได้มหาศาล ตอนนี้เรากำลังจะมีกระต่ายเรืองแสง และอะไรต่อมิอะไรเรืองแสงอีกมากมาย ผมว่าเราก็น่าจะทำไก่เรืองแสงได้นะ (เสียงหัวเราะ) แต่มันคงไม่ทำให้เด็ก ป.6 พอใจหรอก
But there's another thing. There's what we call atavism activation. And atavism activation is basically -- an atavism is an ancestral characteristic. You heard that occasionally children are born with tails, and it's because it's an ancestral characteristic. And so there are a number of atavisms that can happen. Snakes are occasionally born with legs. And here's an example. This is a chicken with teeth. A fellow by the name of Matthew Harris at the University of Wisconsin in Madison actually figured out a way to stimulate the gene for teeth, and so was able to actually turn the tooth gene on and produce teeth in chickens. Now that's a good characteristic. We can save that one. We know we can use that. We can make a chicken with teeth. That's getting closer. That's better than a glowing chicken.
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งครับ มีสิ่งที่เราเรียกว่า atavism หรือการที่คนเรา เกิดมากับลักษณะทางพันธุกรรม ที่ขาดหายไปหลายช่วงคนแล้ว คุณคงเคยได้ยิน ว่ามีเด็กที่เกิดมาพร้อมกับหาง เพราะมันคือลักษณะทางพันธุกรรมตั้งแต่เก่าก่อน มีอาการแบบนี้ที่เกิดขึ้น ได้อีกหลายแบบครับ บางที งูเกิดมาพร้อมกับขา และนี่คือตัวอย่างหนึ่ง นี่คือไก่ ที่มีฟัน เพื่อนของผม แมทธิว แฮริส จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ในแมดิสัน ค้นพบวิธีการกระตุ้น ยีนของฟัน ทำให้เขาสามารถเปิดการทำงานของยีนตัวนี้ และทำให้ไก่มีฟันงอกได้ เราได้คุณสมบัติหนึ่งแล้ว เราเก็บมันไว้ก่อนนะครับ เรารู้แล้วว่าเราสามารถใช้มันได้ เราสร้างไก่ที่มีฟันได้แล้ว ใกล้ขึ้นมาอีกหนึ่งสเตป ใกล้เคียงกว่าไก่เรืองแสงแน่ๆ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
A friend of mine, a colleague of mine, Dr. Hans Larsson at McGill University, is actually looking at atavisms. And he's looking at them by looking at the embryo genesis of birds and actually looking at how they develop, and he's interested in how birds actually lost their tail. He's also interested in the transformation of the arm, the hand, to the wing. He's looking for those genes as well. And I said, "Well, if you can find those, I can just reverse them and make what I need to make for the sixth-graders." And so he agreed. And so that's what we're looking into.
เพื่อนของผม ดอกเตอร์ แฮนส์ ลาร์ซสัน จากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ก็ศึกษาเรื่อง atavism เหมือนกัน เขากำลังศึกษา จากตัวอ่อนของนก เพื่อดูว่ามันมีพัฒนาการอย่างไร และเขาก็สนใจว่า นกเสียหางของมันไปอย่างไร เขายังสนใจการเปลี่ยนแปลงของ แขน มือ ที่ทำให้มันกลายเป็นปีก เขากำลังมองหายีนเหล่านั้นอยู่เช่นกัน ผมเลยกล่าวว่า "ถ้าคุณหายีนพวกนั้นเจอ ผมก็ย้อนมันกลับได้นะ ผมก็จะได้สิ่งที่เด็ก ป.6 ต้องการ" เขาตอบตกลง และนี่คือสิ่งที่เรากำลังศึกษา
If you look at dinosaur hands, a velociraptor has that cool-looking hand with the claws on it. Archaeopteryx, which is a bird, a primitive bird, still has that very primitive hand. But as you can see, the pigeon, or a chicken or anything else, another bird, has kind of a weird-looking hand, because the hand is a wing. But the cool thing is that, if you look in the embryo, as the embryo is developing the hand actually looks pretty much like the archaeopteryx hand. It has the three fingers, the three digits. But a gene turns on that actually fuses those together. And so what we're looking for is that gene. We want to stop that gene from turning on, fusing those hands together, so we can get a chicken that hatches out with a three-fingered hand, like the archaeopteryx. And the same goes for the tails. Birds have basically rudimentary tails. And so we know that in embryo, as the animal is developing, it actually has a relatively long tail. But a gene turns on and resorbs the tail, gets rid of it. So that's the other gene we're looking for. We want to stop that tail from resorbing.
ถ้าคุณลองดูมือของไดโนเสาร์ เวโลซิแรพเตอร์ตัวนี้ มีมือกับกรงเล็บที่สวยงาม Archaeopteryx ซึ่งเป็นนกดึกดำบรรพ์ ก็มีมือลักษณะคล้ายๆกัน แต่ลองดูนกพิราบสิ หรือไก่ หรือนกสมัยใหม่ มือมันแปลกมาก เพราะมือของพวกมัน ก็คือปีกในปัจจุบัน แต่ที่เจ๋งกว่าก็คือ ถ้าคุณดูตั้งแต่มันเป็นตัวอ่อน ระหว่างที่ตัวอ่อนกำลังเจริญเติบโต มือของมัน ดูคล้ายนกดึกดำบรรพ์มากๆ มีนิ้วมือสามนิ้ว แต่มียีนตัวหนึ่ง ที่ทำให้นิ้วเหล่านั้นรวมตัวกัน เราจึงออกตามหายีนตัวนั้น แล้วหยุดการทำงานของมัน นิ้วมือจะได้ไม่ถูกรวมเข้าด้วยกัน เพื่อที่เราจะได้ไก่ ที่มีนิ้วสามนิ้ว เหมือนนกดึกดำบรรพ์ หางก็เหมือนกัน นกทั่วไป มีหางในช่วงแรก เรารู้ว่า ในตัวอ่อน ในขณะที่นกเจริญเติบโต มันมีหางที่ค่อนข้างยาว แต่ระหว่างนั้น มียีนตัวหนึ่งทำงาน แล้วหางก็หดลงเรื่อยๆ จนหายไป นั่นคืออีกยีนที่เราตามหา เราต้องการหยุดยั้งการหดตัวของหาง
So what we're trying to do really is take our chicken, modify it and make the chickenosaurus. (Laughter) It's a cooler-looking chicken. But it's just the very basics. So that really is what we're doing. And people always say, "Why do that? Why make this thing? What good is it?" Well, that's a good question. Actually, I think it's a great way to teach kids about evolutionary biology and developmental biology and all sorts of things. And quite frankly, I think if Colonel Sanders was to be careful how he worded it, he could actually advertise an extra piece. (Laughter)
พูดรวมๆ เรากำลังพยายาม ใช้ไก่ที่เรามี ดัดแปลงมัน แล้วสร้าง "ชิกเกนโนซอรัส" (เสียงหัวเราะ) มันเป็นไก่ที่ดูเท่ห์กว่าเดิมเยอะ แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น นั่นคือสิ่งที่เรากำลังพยายามอยู่ ผู้คนชอบถามผมว่า "ทำไปทำไม? ทำไมต้องทำด้วย? ทำแล้วได้อะไร?" เป็นคำถามที่ดีนะ ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดี ที่จะสอนเด็กเรื่องวิวัฒนาการ และชีววิทยาการเจริญเติบโต และอื่นๆอีกมากมาย ผมว่านะ ถ้าผู้พันแซนเดอร์ส สามารถร้อยเรียงถ้อยคำขึ้นมาได้ เขาอาจจะขายไก่เคเอฟซีได้เยอะขึ้นนะ (เสียงหัวเราะ)
Anyway -- When our dino-chicken hatches, it will be, obviously, the poster child, or what you might call a poster chick, for technology, entertainment and design.
อย่างไรก็ตาม -- เมื่อใดที่ ไก่ไดโนเสาร์ของเราฟักตัว มันจะเป็นหน้าเป็นตา หรือเป็นมาสคอตให้กับ เทคโนโลยี ความบันเทิง และการออกแบบ (ชื่อเต็มของ TED) แน่นอน
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)