Those of you who have seen the film "Moneyball," or have read the book by Michael Lewis, will be familiar with the story of Billy Beane. Billy was supposed to be a tremendous ballplayer; all the scouts told him so. They told his parents that they predicted that he was going to be a star.
ท่านทั้งหลายที่ได้ชมภาพยนต์เรื่องมันนี่บอลล์ (Moneyball) หรือได้อ่านหนังสือของ ไมเคิล หลุยส์ (Michael Lewis) จะคุ้นเคยกับเรื่องราวของบิลลี่ บีน (Billy Beane) บิลลี่ถูกทึกทักว่าเป็นนักเบสบอลที่ยิ่งใหญ่ พวกแมวมองบอกเขาอย่างนั้น พวกแมวมองบอกพ่อแม่เขาว่า แมวมองทำนายว่า เขาจะได้เป็นดาวเบสบอล
But what actually happened when he signed the contract -- and by the way, he didn't want to sign that contract, he wanted to go to college -- which is what my mother, who actually does love me, said that I should do too, and I did -- well, he didn't do very well. He struggled mightily. He got traded a couple of times, he ended up in the Minors for most of his career, and he actually ended up in management. He ended up as a General Manager of the Oakland A's.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเขาเซ็นสัญญา อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง เขาไม่ต้องการจะเซ็นสัญญา แต่ต้องการไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งเรื่องนี้แม่ของผม ซึ่งรักผมจริงๆ บอกว่าผมควรจะทำแบบนั้นเหมือนกัน และผมก็ทำตาม เอาละ ทีนี้เขาก็เรียนไม่ดี พยายามดิ้นรนอย่างมาก เขาถูกแลกเปลี่ยนทีมสองสามครั้ง แต่ลงท้ายเขาก็ได้แค่เป็นผู้เล่นทีมระดับสอง ในอาชีพเบสบอลของเขา และจริงๆแล้วเขาจบลงในตำแหน่งผู้บริหาร ลงท้ายเขาได้เป็นผู้จัดการทั่วไป ทีมเบสบอล โอคแลนด์ (Oakland Athletics)
Now for many of you in this room, ending up in management, which is also what I've done, is seen as a success. I can assure you that for a kid trying to make it in the Bigs, going into management ain't no success story. It's a failure.
ทีนี้ พวกคุณหลายคนในห้องนี้ ลงท้ายก็ได้ตำแหน่งผู้บริหาร ซึ่งก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมได้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นความสำเร็จ ผมสามารถให้คุณแน่ใจได้ว่า สำหรับเด็กที่ต้องการสร้างตัวเองให้ยิ่งใหญ่แล้ว การเป็นผู้จัดการไม่ได้เป็นเรื่องของความสำเร็จ มันเป็นความล้มเหลว
And what I want to talk to you about today, and share with you, is that our healthcare system, our medical system, is just as bad at predicting what happens to people in it -- patients, others -- as those scouts were at predicting what would happen to Billy Beane. And yet, every day thousands of people in this country are diagnosed with preconditions.
และสิ่งที่ผมต้องการจะพูดกับคุณในวันนี้ และบอกกล่าวกับคุณ ก็คือจะบอกว่า ระบบการสาธารณสุข หรือระบบการรักษาพยาบาลของเรานั้น ก็แย่ในเรื่องการทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้นกับคนในระบบนั้น ซึ่งได้แก่ คนไข้ และอื่นๆ ก็เหมือนๆกับที่พวกแมวมองทำนายว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับ บิลลี่ บีน แต่ ในทุกๆวัน ผู้คนหลายๆพันคนในประเทศนี้ ถูกวินิจฉัยว่ามีสภาวะก่อนเป็นโรค (precondition)
We hear about pre-hypertension, we hear about pre-dementia, we hear about pre-anxiety, and I'm pretty sure that I diagnosed myself with that in the green room.
เราได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับสภาวะ ก่อนเป็นความดัน (pre-hypertension) ก่อนเป็นโรคสมองเสื่อม (pre-dementia) เราได้ยินได้ฟังเรื่องสภาวะก่อนเป็น โรควิตกกังวล (pre-anxiety)และผมก็แน่ใจมากๆว่า ผมวินิจฉัยตัวเองได้ว่าเป็น สภาวะเหมือนอยู่ในห้องพักก่อนการแสดง (the green room)
We also refer to subclinical conditions. There's subclinical atherosclerosis, subclinical hardening of the arteries, obviously linked to heart attacks, potentially. One of my favorites is called subclinical acne. If you look up subclinical acne, you may find a website, which I did, which says that this is the easiest type of acne to treat. You don't have the pustules or the redness and inflammation. Maybe that's because you don't actually have acne.
เรายังโยงไปถึง สภาวะที่ยัง ไม่แสดงอาการ (subclinical condition) มีสภาวะที่ยังไม่แสดงอาการ ของโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว อย่างชัดเจนเชื่อมโยงกับโรคหัวใจวาย มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น เรื่องที่ผมชอบเรื่องหนึ่งคือ สภาวะที่ยังไม่แสดงอาการของสิว (subclinical acne) ถ้าคุณค้นหา สภาวะที่ยังไม่แสดงอาการของสิว คุณจะพบเว็บไซต์หนึ่ง ที่บอกว่า เป็นสิวชนิดหนึ่งที่รักษาได้ง่ายที่สุด คุณยังไม่มีตุ่มหนอง หรือสีแดงและอักเสบ อาจจะเป็นเพราะว่า จริงๆแล้วคุณไม่ได้มีสิว
I have a name for all of these conditions, it's another precondition: I call them preposterous. In baseball, the game follows the pre-game. Season follows the pre-season. But with a lot of these conditions, that actually isn't the case, or at least it isn't the case all the time. It's as if there's a rain delay, every single time in many cases.
ผมมีชื่อหนึ่งสำหรับทุกๆสภาวะเหล่านี้ มันเป็นสภาวะก่อนเป็นโรคอีกอย่างหนึ่ง ผมเรียกมันว่า ความไร้สาระที่สุด (preposterous) ในเรื่องของเบสบอล เกมที่เล่นหลังจากเกมแข่งจริง ฤดูกาลแข่งขันก็เล่นก่อนฤดูกาลแข่งจริง แต่พร้อมกับสภาวะมากมายเหล่านี้ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้เป็น ประเด็นสำคัญตลอดเวลา มันเหมือนกับว่ามีความล่าช้าที่เกิดจากฝนในทุกๆครั้ง ในหลายๆสถานการณ์
We have pre-cancerous lesions, which often don't turn into cancer. And yet, if you take, for example, subclinical osteoporosis, a bone thinning disease, the precondition, otherwise known as osteopenia, you would have to treat 270 women for three years in order to prevent one broken bone. That's an awful lot of women when you multiply by the number of women who were diagnosed with this osteopenia.
เรามีแผลที่มีสภาวะก่อนเป็นมะเร็ง ซึ่งบ่อยครั้งไม่ได้กลายมาเป็นมะเร็ง แต่ ตัวอย่างเช่นถ้าคุณพิจารณาเรื่องสภาวะที่ไม่ได้แสดงอาการของโรคกระดูกพรุน(subclinical osteoporosis) คือโรคที่กระดูกบางลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสภาวะก่อนเป็นโรค ที่รู้จักกันว่า โรคกระดูกพรุน คุณคงจะต้องให้การรักษากับผู้หญิง 270 คน ในเวลานานสามปี เพื่อป้องกันกระดูกหักหนึ่งท่อน ซึ่งนั่นเป็นผู้หญิงจำนวนมากเหลือเกิน เมื่อคุณเอาไปคูณกับจำนวนผู้หญิงที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็น โรคกระดูกพรุน
And so is it any wonder, given all of the costs and the side effects of the drugs that we're using to treat these preconditions, that every year we're spending more than two trillion dollars on healthcare and yet 100,000 people a year -- and that's a conservative estimate -- are dying not because of the conditions they have, but because of the treatments that we're giving them and the complications of those treatments?
ดังนั้น จะประหลาดใจหรือไม่ เมื่อต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและผลข้างเคียง จากยาที่เรากำลังใช้กันอยู่เพื่อรักษา สภาวะก่อนเป็นโรคนี้ ว่าทุกๆปี เราจะใช้เงินมากกว่าสองพัน พันล้านดอลลาร์ ทางด้านสาธารณสุข แต่ยังอีก คน 100,000 คนต่อปี การกะประมาณที่ใกล้ความเป็นจริงกำลังจะตาย ไม่ใช่เพราะว่าสภาวะของโรคที่เขาเป็น แต่เป็นเพราะการรักษาที่เรากำลังให้กับเขา และอาการแทรกซ้อนจากการรักษา
We've medicalized everything in this country. Women in the audience, I have some pretty bad news that you already know, and that's that every aspect of your life
เราได้ให้การรักษากับทุกสิ่งทุกอย่าง ในประเทศนี้ ผู้ชมที่เป็นคุณผู้หญิง ผมมี ข่าวร้ายมากที่คุณก็รู้กันดีอยู่แล้ว และข่าวนั้นก็คือ ลักษณะของชีวิตคุณ
has been medicalized. Strike one is when you hit puberty. You now have something that happens to you once a month that has been medicalized. It's a condition; it has to be treated. Strike two is if you get pregnant. That's been medicalized as well. You have to have a high-tech experience of pregnancy, otherwise something might go wrong.
ได้ถูกทำให้ต้องได้รับการรักษทางอายุรศาสตร์ การจู่โจมที่หนึ่ง เมื่อคุณเริ่มวัยสาว ตอนนี้คุณมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณเดือนละครั้ง ซึ่งต้องเข้ารับการรักษา เป็นสภาวะ ที่ต้องได้รับการรักษา การจู่โจมครั้งที่สอง คือ เมื่อคุณตั้งครรภ์ เรื่องนั้นก็ต้องได้รับการรักษาเช่นกัน คุณต้องผ่านวิธีการทางเทคโนโลยี่ชั้นสูง ด้านการตั้งครรภ์ ไม่เช่นนั้นบางอย่างอาจผิดปกติขึ้นได้
Strike three is menopause. We all know what happened when millions of women were given hormone replacement therapy for menopausal symptoms for decades until all of a sudden we realized, because a study came out, a big one, NIH-funded. It said, actually, a lot of that hormone replacement therapy may be doing more harm than good for many of those women.
การจู่โจมที่สาม คือตอนคุณหมดประจำเดือน เราทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้หญิงเป็นล้านๆคน ที่ได้รับการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน สำหรับอาการหมดประจำเดือน เป็นเวลานานหลายทศวรรษ จนกระทั่งเราได้เรียนรู้ จากการศึกษาวิจัยที่ออกมา เป็นงานวิจัยใหญ่ ที่ได้เงินอุดหนุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) งานวิจัยกล่าวว่า จริงๆแล้ว การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนส่วนมาก อาจจะทำให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี ต่อผู้หญิงเหล่านั้นจำนวนมาก
Just in case, I don't want to leave the men out -- I am one, after all -- I have really bad news for all of you in this room, and for everyone listening and watching elsewhere: You all have a universally fatal condition. So, just take a moment. It's called pre-death. Every single one of you has it, because you have the risk factor for it, which is being alive.
เป็นไปได้ที่ว่า ผมไม่ต้องการยกเว้นไม่พูดถึงผู้ชาย เพราะอย่างไรเสียผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผมมีข่าวร้ายจริงๆสำหรับพวกคุณผู้ชายในห้องนี้ และสำหรับทุกๆคน ที่กำลังฟังและชมอยู่ที่ไหนก็ตาม พวกคุณทั้งหมดมี สภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิตในทุกๆขณะ สักครู่นะครับ เรียกว่าสภาวะก่อนตาย (pre-death) แต่ละคนในพวกคุณมีอาการนี้ เพราะคุณมีปัจจัยเสี่ยงกับสภาวะนี้ ซึ่งก็คือ การยังมีชีวิตอยู่
But I have some good news for you, because I'm a journalist, I like to end things in a happy way or a forward-thinking way. And that good news is that if you can survive to the end of my talk, which we'll see if that happens for everyone, you will be a pre-vivor.
แต่ผมมีข่าวดีสำหรับคุณ เพราะว่า ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์ ผมจึงชอบที่จะจบเรื่องแบบมีความสุข หรือไม่ก็ในแบบที่ต้องให้คิดต่อ และข่าวดีนั้นก็คือว่า คุณจะสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงเมื่อผมพูดจบไหม ซึ่งเราจะมาดูกันว่า จะเกิดขึ้นได้หรือไม่กับทุกคน ว่าคุณยังไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง (pre-vivor)
I made up pre-death. If I used someone else's pre-death, I apologize, I think I made it up. I didn't make up pre-vivor. Pre-vivor is what a particular cancer advocacy group would like everyone who just has a risk factor, but hasn't actually had that cancer, to call themselves. You are a pre-vivor.
ผมได้สร้างคำว่าสภาวะก่อนตาย ขึ้นมา ต้องขอโทษด้วย ถ้าผมใช้สภาวะก่อนตาย ซึ่งเป็นคำของคนอื่น ผมคิดว่าผมเป็นคนคิดคำนี้ขึ้นมา แต่ผมไม่ได้สร้างคำว่ายังไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง ขึ้นมา ยังไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็งเป็นคำที่กลุ่มผู้สนับสนุนมะเร็ง อย่างหนึ่ง อยากให้ทุกคนซึ่ง เพียงแค่มีปัจจัยเสี่ยง แต่ไม่ได้เป็นมะเร็งนั้นจริงๆ ให้เรียกตัวเองว่าอย่างนั้น คุณจึงยังไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง คนหนึ่ง
We've had HBO here this morning. I'm wondering if Mark Burnett is anywhere in the audience, I'd like to suggest a reality TV show called "Pre-vivor." If you develop a disease, you're off the island.
ที่นี่เมื่อเช้า เราได้ฟังเรื่อง HBO และผมสงสัยว่า ถ้ามาร์ค เบอร์เน็ตต์อยู่ที่ใดที่หนึ่งใน กลุ่มผู้ชมนี้ ผมก็อยากจะเสนอแนะ รายการทีวีที่เป็นความจริง(reality tvshoow) ชื่อว่า "พีไวเวอร์" ถ้าคุณกำลังเป็นโรค คุณยังไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง ออกจากเกาะนี้ไป
But the problem is, we have a system that is completely -- basically promoted this. We've selected, at every point in this system, to do what we do, and to give everyone a precondition and then eventually a condition, in some cases. Start with the doctor-patient relationship. Doctors, most of them, are in a fee-for-service system. They are basically incentivized to do more -- procedures, tests, prescribe medications.
แต่ปัญหาก็คือ เรามีระบบหนึ่ง ที่ อย่างสมบูรณ์เต็มที่ อย่างเป็นหลักการ ได้ส่งเสริมปัญหานี้ เราได้เลือกแล้ว ในทุกๆจุดในระบบนี้ ที่จะทำในสิ่งที่เราทำ และที่จะให้ทุกคนมีสภาวะก่อนเป็นโรค และแล้วในที่สุด ก็อยู่ในสภาพที่เป็นโรคนั้นจริง ในบางราย เริ่มด้วยความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนป่วย แพทย์ส่วนมาก อยู่ในระบบการบริการที่ได้รับค่าตอบแทน แต่โดยหลักการแล้วพวกแพทย์ได้รับการส่งเสริม ให้ทำมากกว่านั้น ในเรื่อง กระบวนการ เรื่องการสั่งตรวจ การสั่งยา
Patients come to them, they want to do something. We're Americans, we can't just stand there, we have to do something. And so they want a drug. They want a treatment. They want to be told, this is what you have and this is how you treat it. If the doctor doesn't give you that, you go somewhere else. That's not very good for doctors' business. Or even worse, if you are diagnosed with something eventually, and the doctor didn't order that test, you get sued.
คนป่วยไปหาแพทย์ แพทย์ก็ต้องการทำบางอย่าง เราเป็นคนอเมริกัน เราอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ เราต้องทำอะไรบางอย่าง แล้วพวกคนป่วยก็ต้องการยา พวกเขาต้องการรับการรักษา ต้องการให้แพทย์บอกว่า เขาเป็นโรคอะไร และนี่คือวิธี คุณจะรักษาเขาอย่างไร ถ้าแพทย์คนนั้นไม่ได้ให้สิ่งนั้นกับคุณ คุณก็ไปที่อื่น ซึ่งนั่นไม่ดีเลยสำหรับธุรกิจของแพทย์ หรือไม่ก็ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ถ้าในที่สุดแพทย์วินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคอย่างหนึ่ง และไม่ได้สั่งตรวจ คุณก็จะถูกฟ้อง
We have pharmaceutical companies that are constantly trying to expand the indications, expand the number of people who are eligible for a given treatment, because that obviously helps their bottom line. We have advocacy groups, like the one that's come up with pre-vivor, who want to make more and more people feel they are at risk, or might have a condition, so that they can raise more funds and raise visibility, et cetera.
เรามีบริษัทยาที่พยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะขยาย อาการของโรค เพิ่มขยายจำนวนคนที่สมควรจะให้เข้ารับการรักษา เพราะนั่นเห็นได้ชัดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ที่จะเข้ามา เรามีกลุ่มสนับสนุน เหมือนกับที่ทำให้โรคไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง เกิดขึ้น ซึ่งต้องการทำให้คนจำนวนมากๆ รู้สึกว่า เขาอยู่ในความเสี่ยง หรือไม่ก็อาจจะมีสภาวะของโรคอยู่ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านี้สามารถเพิ่มเงินรายใด้ และยกระดับการรับรู้ และอื่นๆ
But this isn't actually, despite what journalists typically do, this isn't actually about blaming particular players. We are all responsible. I'm responsible. I actually root for the Yankees, I mean talk about rooting for the worst possible offender when it comes to doing everything you can do. Thank you. But everyone is responsible.
แต่เรื่องนี้จริงๆแล้วไม่ แม้ว่าเป็นไปในแบบที่พวกนักหนังสือพิมพ์ชอบทำ เรื่องนี้จริงๆแล้วไม่ได้เกี่ยวกับการกล่าวโทษ ผู้เล่นหรือผู้เกี่ยวข้องคนใดโดยเฉพาะ เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบ ผมก็รับผิดชอบ จริงๆแล้วผมหนุนทีมแยงกี้ (yankee)ผมหมายถึง พูดถึง การหนุนคนที่เป็นคนที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำทุกอย่างเท่าที่คุณสามารถทำได้ ขอบคุณครับ แต่ทุกคนรับผิดชอบ
I went to medical school, and I didn't have a course called How to Think Skeptically, or How Not to Order Tests. We have this system where that's what you do. And it actually took being a journalist to understand all these incentives. You know, economists like to say, there are no bad people, there are just bad incentives.
ผมเข้าโรงเรียนแพทย์ และไม่ได้เรียนวิชาหนึ่งชื่อว่า คิดอย่างสงสัย (Think Skeptically) หรือทำอย่างไรที่จะไม่ต้องสั่งตรวจ เรามีระบบนี้ ที่สิ่งนั้นแหละคือสิ่งที่คุณทำ และจริงๆแล้วมันต้องเป็นนักหนังสือพิมพ์ จึงจะเข้าใจสิ่งกระตุ้นพวกนี้ทั้งหมด นักเศรษฐศาสตร์ชอบพูดว่า ไม่มีใครเลว มีแต่เพียงการกระตุ้นที่เลว
And that's actually true. Because what we've created is a sort of Field of Dreams, when it comes to medical technology. So when you put another MRI in every corner, you put a robot in every hospital saying that everyone has to have robotic surgery. Well, we've created a system where if you build it, they will come. But you can actually perversely tell people to come, convince them that they have to come.
และจริงๆแล้วมันถูก เพราะว่าสิ่งที่เราได้คิดสร้างขึ้นมา เป็นคล้ายๆสนามเบสบอลในฝัน เมื่อพูดถึงเรื่องเทคโนโลยี่ทางการแพทย์ ดังนั้นเมื่อคุณนำเครื่องตรวจเอ็กซ์เรย์ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) มาวางไว้ในทุกมุมห้อง คุณได้วางหุ่นยนต์ไว้ ในทุกโรงพยาบาล บอกให้ทุกคนรู้ว่าต้องผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ เอาละ เราได้สร้างระบบที่ ถ้าคุณสร้างมัน พวกเขาก็จะมา แต่คุณก็สามารถพลิกแพลงคำพูด บอกคนให้มาได้ ทำให้พวกเขาเชื่อ ว่าพวกเขาต้องมา
It was when I became a journalist that I really realized how I was part of this problem, and how we all are part of this problem. I was medicalizing every risk factor, I was writing stories, commissioning stories, every day, that were trying to, not necessarily make people worried, although that was what often happened.
เมื่อผมมาเป็นนักหนังสือพิมพ์ ผมจึงได้ผมตระหนักว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ได้อย่างไร ผมได้ให้การรักษาปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง ผมเขียนเรื่อง รับค่าจ้างเรื่องที่เขียน ทุกวัน เพยายามขียนเรื่องที่ ไม่จำเป็นต้องทำให้คนกังวลถึง แม้ว่ามันจะสิ่งที่มักจะเกิดขึ้น
But, you know, there are ways out. I saw my own internist last week, and he said to me, "You know," and he told me something that everyone in this audience could have told me for free, but I paid him for the privilege, which is that I need to lose some weight. Well, he's right. I've had honest-to-goodness high blood pressure for a dozen years now, same age my father got it, and it's a real disease. It's not pre-hypertension, it's actual hypertension, high blood pressure.
แต่ เอาละ มีทางแก้ไข เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปพบอายุรแพทย์ (internist) ของผม และเขาบอกผมว่า "คุณทราบไหม" และเขาบอกผมบางอย่างที่ ทุกคนในที่ประชุมนี้ก็อาจบอกผมได้ โดยผมไม่ต้องเสียเงิน แต่ผมก็จ่ายค่าบริการไป เรื่องที่เขาบอกผมก็คือ ผมจำเป็นต้องลดนํ้าหนัก แพทย์พูดถูก ผมเป็นความดันโลหิตสูงแบบที่เห็นได้ง่าย และชัดเจน เป็นเวลาสิบสองปีแล้ว เป็นเมื่ออายุเท่ากับที่คุณพ่อของผมเป็น มันเป็นโรคจริงๆ มันไม่ใช่อาการก่อนการเป็นโรค มันเป็นโรคความดันจริงๆ ความดันของโลหิตสูง
Well, he's right, but he didn't say to me, well, you have pre-obesity or you have pre-diabetes, or anything like that. He didn't say, better start taking this Statin, you need to lower your cholesterol. No, he said, "Go out and lose some weight. Come back and see me in a bit, or just give me a call and let me know how you're doing."
แพทย์เขาพูดถูก แต่เขาไม่ได้บอกผม ว่าผมมีอาการก่อนเป็นโรคอ้วน(pre-obesity) หรือผมมีอาการก่อนเป็นโรคเบาหวาน(pre-diabetes) หรือเป็นโรคทำนองนั้น เขาไม่ได้พูดถึง คุณควรเริ่มทานยาสแตติน(Statin)ตัวนี้ คุณจำเป็นต้องลดคลอเลสเตอรอลของคุณลง แต่ เปล่า เขาพูดว่า "กลับไปลดนํ้าหนัก แล้วกลับมาพบผมอีกเร็วๆนี้นะ หรือไม่ก็แค่โทรมาหาผม ให้ผมรู้ว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง"
So that's, to me, a way forward. Billy Beane, by the way, learned the same thing. He learned, from watching this kid who he eventually hired, who was really successful for him, that it wasn't swinging for the fences, it wasn't swinging at every pitch like the sluggers do, which is what all the expensive teams like the Yankees like to -- they like to pick up those guys. This kid told him, you know, you gotta watch the guys, and you gotta go out and find the guys who like to walk, because getting on base by a walk is just as good, and in our healthcare system we need to figure out, is that really a good pitch or should we let it go by and not swing at everything? Thanks.
เท่านั้น สำหรับผมแล้ว นำไปสู่ผลที่ดี อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง บิลลี่ บีน ก็ได้เรียนรู้สิ่งเดียวกัน เราได้เรียนรู้ จากการได้เฝ้าดูเด็กหนุ่มคนนี้ ซึ่งในที่สุดเขาก็ใด้งานทำ ซึ่งป็นที่นำความสำเร็จจริงๆมาให้เขา ได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่การตีลูกให้ไปถึงกำแพง มันไม่ใช่การตีลูกทุกๆครั้งที่ลูกบอลล์ถูกโยนมา อย่างเช่นที่พวกนักเบสบอลล์ที่ตีลูกได้แรงๆตี แบบที่ทีมแพงๆอย่างทีมแยงกี้ชอบ ชอบไปเลือกหนุ่มๆพวกนั้น เด็กหนุ่มคนนี้บอกเขาว่า คุณต้องเฝ้าดูหนุ่มๆพวกนั้นไว้ และคุณต้องออกไปหา หนุ่มๆที่ชอบเดิน เพราะว่าการเดินไปที่ฐานตีลูก(base) ก็ดีเท่าๆกัน และในระบบการสาธารณสุข เราจำเป็นต้องคิดให้ออก ว่า นั่นเป็นการโยนลูกเบสบอลที่ดีจริงหรือไม่ หรือว่าเราควรจะปล่อยมันไป และไม่เหวี่ยงไม้ไปตีทุกครั้งหรือไม่? ขอบคุณครับ