So last year, on the Fourth of July, experiments at the Large Hadron Collider discovered the Higgs boson. It was a historical day. There's no doubt that from now on, the Fourth of July will be remembered not as the day of the Declaration of Independence, but as the day of the discovery of the Higgs boson. Well, at least, here at CERN.
เมื่อปีที่แล้ว ในวันที่สี่ กรกฎาคม การทดลองที่เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hadron Collider; LHC) นำไปสู่การค้นพบฮิกส์ โบซอน (Higgs boson) มันเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป ว่าวันที่สี่ กรกฎาคม จะถูกจดจำ ไม่ใช่เพียงในฐานะวันประกาศอิสรภาพ แต่ยังเป็นวันแห่งการค้นพบฮิกส์ โบซอน อย่างน้อยก็ที่ CERN แห่งนี้
But for me, the biggest surprise of that day was that there was no big surprise. In the eye of a theoretical physicist, the Higgs boson is a clever explanation of how some elementary particles gain mass, but it seems a fairly unsatisfactory and incomplete solution. Too many questions are left unanswered. The Higgs boson does not share the beauty, the symmetry, the elegance, of the rest of the elementary particle world. For this reason, the majority of theoretical physicists believe that the Higgs boson could not be the full story. We were expecting new particles and new phenomena accompanying the Higgs boson. Instead, so far, the measurements coming from the LHC show no signs of new particles or unexpected phenomena.
แต่สำหรับผม สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจที่สุดในวันนั้น ก็คือว่า การที่ไม่มีสิ่งประหลาดใจใดๆ ในสายตาของนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ฮิกส์ โบซอนเป็นการอธิบายอันชาญฉลาด ว่าอนุภาคพื้นฐานบางตัวมีมวลขึ้นมาได้อย่างไร แต่มันยังดูไม่ค่อยน่าพอใจ และเป็นคำตอบที่ไม่สมบูรณ์ หลากหลายคำถามยังคงไม่ได้รับคำตอบ ฮิกซ์ โบซอน ไม่ได้มีความสวยงาม ความสมมาตร ความเลิศหรู เช่นเดียวกับอนุภาคอื่นๆ ในโลกแห่งอนุภาคพื้นฐาน และด้วยเหตุนี้ นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีส่วนใหญ่ เชื่อว่าเรื่องราวของฮิกส์ โบซอน ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ เราคาดว่าจะต้องมีอนุภาคใหม่ๆ และปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับฮิกส์ โบซอน แต่กระนั้น จนถึงบัดนี้ การวัดต่างๆ ที่มาจาก LHC ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นวี่แววของอนุภาคใหม่ๆ หรือปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิด
Of course, the verdict is not definitive. In 2015, the LHC will almost double the energy of the colliding protons, and these more powerful collisions will allow us to explore further the particle world, and we will certainly learn much more.
แน่นอน คำตัดสินนั้นยังไม่ชัดเจนพอ ในปี 2015 LHC จะเพิ่มพลังงาน ที่ใช้ชนโปรตอนให้เป็นสองเท่า และการชนกันที่รุนแรงขึ้นนี้ จะทำให้เราสามารถศึกษา ได้กว้างไกลไปในโลกแห่งอนุภาค และแน่นอนว่าเราจะเรียนรู้อีกมาก
But for the moment, since we have found no evidence for new phenomena, let us suppose that the particles that we know today, including the Higgs boson, are the only elementary particles in nature, even at energies much larger than what we have explored so far. Let's see where this hypothesis is going to lead us. We will find a surprising and intriguing result about our universe, and to explain my point, let me first tell you what the Higgs is about, and to do so, we have to go back to one tenth of a billionth of a second after the Big Bang. And according to the Higgs theory, at that instant, a dramatic event took place in the universe. Space-time underwent a phase transition. It was something very similar to the phase transition that occurs when water turns into ice below zero degrees. But in our case, the phase transition is not a change in the way the molecules are arranged inside the material, but is about a change of the very fabric of space-time.
แต่ในตอนนี้ เนื่องจากเราไม่เจอ หลักฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ใหม่ๆ เราลองมาสมมติว่า เหล่าอนุภาคที่เราได้ค้นพบแล้ว ณ วันนี้ รวมถึงฮิกส์ โบซอน เป็นอนุภาคพื้นฐานทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในธรรมชาติ แม้แต่ที่สภาวะพลังงานสูง กว่าที่เราเคยสำรวจมาแล้วมากๆ ลองมาดูว่าสมมติฐานนี้จะนำเราไปสู่อะไร เราจะค้นพบผลที่น่าประหลาดใจและน่าระทึกใจ เกี่ยวกับเอกภพของเรา และเพื่ออธิบายประเด็นของผม ให้ผมได้อธิบายให้คุณฟังว่า อนุภาคฮิกส์ คืออะไร และเพื่อที่จะทำอย่างนั้น เราต้องย้อนกลับไป ยังหนึ่งในพันล้านส่วนของวินาทีแรก หลังจากบิ๊กแบง (Big Bang) และตามทฤษฎีของฮิกส์ ณ ช่วงเวลานั้น เหตุการณ์น่าประหลาดก็เกิดขึ้น ในเอกภพ ห้วงอวกาศและเวลา ได้ผ่านการเปลี่ยนสถานะ มันเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับการเปลี่ยนสถานะ ที่เกิดขึ้นเมื่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ที่อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศา แต่ในกรณีของเรา การเปลี่ยนสถานะ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการเรียงตัว ของโมเลกุลภายในวัตถุ มันเป็นการเปลี่ยนแปลง ในเนื้อแห่งห้วงอวกาศและเวลา
During this phase transition, empty space became filled with a substance that we now call Higgs field. And this substance may seem invisible to us, but it has a physical reality. It surrounds us all the time, just like the air we breathe in this room. And some elementary particles interact with this substance, gaining energy in the process. And this intrinsic energy is what we call the mass of a particle, and by discovering the Higgs boson, the LHC has conclusively proved that this substance is real, because it is the stuff the Higgs bosons are made of. And this, in a nutshell, is the essence of the Higgs story.
ในระหว่างการเปลี่ยนสภาพ อวกาศอันว่างเปล่า ถูกเติมเต็มไปด้วยสสารชนิดหนึ่ง ที่เราเรียกว่าสนามฮิกส์ (Higgs field) และสิ่งนี้ดูราวกับเป็นสสารล่องหนในสายตาของเรา แต่มันก็มีอยู่จริงทางกายภาพ มันอยู่รอบๆตัวเราตลอดเวลา เช่นเดียวกับอากาศที่เราหายใจในห้องนี้ และอนุภาคพื้นฐานบางตัวก็มีปฏิสัมพันธ์ กับสสารนี้ และได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น ในระหว่างกระบวนการ และพลังงานที่ได้มานี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า มวลของอนุภาค และด้วยการค้นพบฮิกส์ โบซอน LHC ได้พิสูจน์ด้วยหลักฐานที่เพียงพอ ว่าสสารนี้มีอยู่จริง เนื่องจากฮิกส์ โบซอนถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งนี้ และกล่าวโดยสรุป นี่คือสาระสำคัญของเรื่องราวของฮิกส์ โบซอน
But this story is far more interesting than that. By studying the Higgs theory, theoretical physicists discovered, not through an experiment but with the power of mathematics, that the Higgs field does not necessarily exist only in the form that we observe today. Just like matter can exist as liquid or solid, so the Higgs field, the substance that fills all space-time, could exist in two states. Besides the known Higgs state, there could be a second state in which the Higgs field is billions and billions times denser than what we observe today, and the mere existence of another state of the Higgs field poses a potential problem. This is because, according to the laws of quantum mechanics, it is possible to have transitions between two states, even in the presence of an energy barrier separating the two states, and the phenomenon is called, quite appropriately, quantum tunneling. Because of quantum tunneling, I could disappear from this room and reappear in the next room, practically penetrating the wall. But don't expect me to actually perform the trick in front of your eyes, because the probability for me to penetrate the wall is ridiculously small. You would have to wait a really long time before it happens, but believe me, quantum tunneling is a real phenomenon, and it has been observed in many systems. For instance, the tunnel diode, a component used in electronics, works thanks to the wonders of quantum tunneling.
แต่เรื่องนี้มันน่าสนใจยิ่งกว่านั้น โดยการศึกษาทฤษฎีฮิกส์ นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีได้ค้นพบ ไม่ใช่ด้วยการทดลอง แต่ด้วยพลังแห่งคณิตศาสตร์ ว่าสนามฮิกส์นั้นไม่จำเป็นจะต้องมีอยู่ ในรูปแบบที่เราสังเกตเห็นวันนี้ เช่นเดียวกับที่สสารสามารถมีอยู่ได้ ทั้งในรูปของเหลวและของแข็ง ดังนั้น สนามฮิกส์ สสารที่เติมเต็มห้วงอวกาศและเวลา สามารถอยู่ได้ในสองสถานะ นอกเหนือจากสถานะฮิกส์ที่เรารู้อยู่แล้ว ยังสามารถมีสถานะที่สอง ที่ซึ่งสนามฮิกส์ นั้นหนาแน่นกว่าเป็นหลายพันล้านเท่า มากกว่าที่เราสังเกตเห็นทุกวันนี้ และเพียงแค่การมีอยู่ของอีกสถานะหนึ่ง ของสนามฮิกส์นั้น ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาอีกข้อ นั่นเป็นเพราะกฎของ กลศาสตร์ควอนตัม มันเป็นไปได้ ที่จะเกิดการเปลี่ยนสถานะระหว่างสองสถานะ แม้แต่กรณีที่มีกำแพงของพลังงาน ที่คั่นอยู่ระหว่างสองสถานะ และปรากฏการณ์นี้ถูกตั้งชื่อ ได้อย่างเหมาะสมว่า ปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) และเพราะอุโมงค์ควอนตัม ผมสามารถหายตัวไปจากห้องนี้ และปรากฏตัวขึ้นในอีกห้องหนึ่ง เหมือนทะลุกำแพงไปเลย และอย่าได้หวังว่าจะเห็นผมทำแบบนี้ ต่อหน้าต่อตาคุณ เพราะความเป็นไปได้ ที่ผมจะทะลุกำแพงได้นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าอะไร คุณคงจะต้องรอนานมากๆ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น แต่เชื่อผมเถอะว่า อุโมงค์ควอมตัมเป็นปรากฏการณ์จริง ที่ได้ถูกพบในหลายๆ ระบบ ยกตัวอย่างเช่น ทันเนลไดโอด (tunnel diode) อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์อย่างหนึ่ง ที่ทำงานได้ด้วยปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ อย่างอุโมงค์ควอนตัม
But let's go back to the Higgs field. If the ultra-dense Higgs state existed, then, because of quantum tunneling, a bubble of this state could suddenly appear in a certain place of the universe at a certain time, and it is analogous to what happens when you boil water. Bubbles of vapor form inside the water, then they expand, turning liquid into gas. In the same way, a bubble of the ultra-dense Higgs state could come into existence because of quantum tunneling. The bubble would then expand at the speed of light, invading all space, and turning the Higgs field from the familiar state into a new state.
ย้อนกลับมาที่เรื่องของสนามฮิกส์ ถ้าสนามฮิกส์ที่หนาแน่นยิ่งยวดมีอยู่จริงแล้ว ด้วยปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัม ฟองเล็กๆ ของสถานะที่ว่านี้ จะสามารถปรากฏขึ้น ในบางสถานที่และบางเวลาในเอกภพ อุปมาได้เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณต้มน้ำ ฟองไอน้ำก่อตัวขึ้นใต้ผิวน้ำ มันขยายตัวขึ้น แปรสภาพของเหลวให้เป็นก๊าซ ในทางเดียวกัน ฟองของสนามฮิกส์ ในสถานะที่หนาแน่นยิ่งยวด สามารถกำเนิดขึ้นได้ จากปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัม จากนั้น ฟองที่ว่าก็จะขายตัวด้วยความเร็วแสง แผ่ขยายไปทั่วอวกาศ และแปลงสนามฮิกส์ จากสถานะที่เราคุ้นเคย ไปสู่สถานะใหม่
Is this a problem? Yes, it's a big a problem. We may not realize it in ordinary life, but the intensity of the Higgs field is critical for the structure of matter. If the Higgs field were only a few times more intense, we would see atoms shrinking, neutrons decaying inside atomic nuclei, nuclei disintegrating, and hydrogen would be the only possible chemical element in the universe. And the Higgs field, in the ultra-dense Higgs state, is not just a few times more intense than today, but billions of times, and if space-time were filled by this Higgs state, all atomic matter would collapse. No molecular structures would be possible, no life.
แล้วนี่เป็นปัญหาเหรอ? ใช่ครับ เป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เราอาจไม่ตระหนักถึงมันในชีวิตประจำวันๆ แต่ความหนาแน่นของสนามฮิกส์นั้น สำคัญมากต่อโครงสร้างของสสาร ถ้าสนามฮิกส์เข้มข้นขึ้นเพียงสองสามเท่า เราจะเห็นอะตอมหดตัวลง นิวตรอนเริ่มสลายตัว ภายในนิวเคลียสของอะตอม นิวเคลียสเริ่มสลายตัว และไฮโดรเจนจะเป็นเพียง ธาตุทางเคมีเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในเอกภพ และสนามฮิกส์ ในสถานะหนาแน่นยิ่งยวด ไม่ได้แค่เข้มข้นเป็นสองสามเท่า ของที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ มันเข้มข้นเป็นพันล้านเท่า และถ้าห้วงอวกาศและเวลาถูกเติมเต็มด้วย สนามฮิกส์ในสถานะนี้ อะตอมของธาตุทุกชนิดจะพังทลายลง ไม่มีโครงสร้างโมเลกุลไหนสามารถคงอยู่ได้ ไม่มีชีวิต
So, I wonder, is it possible that in the future, the Higgs field will undergo a phase transition and, through quantum tunneling, will be transformed into this nasty, ultra-dense state? In other words, I ask myself, what is the fate of the Higgs field in our universe? And the crucial ingredient necessary to answer this question is the Higgs boson mass. And experiments at the LHC found that the mass of the Higgs boson is about 126 GeV. This is tiny when expressed in familiar units, because it's equal to something like 10 to the minus 22 grams, but it is large in particle physics units, because it is equal to the weight of an entire molecule of a DNA constituent.
ดังนั้น ผมจึงสงสัยว่า มันเป็นไปได้หรือไม่ ว่าในอนาคต สนามฮิกส์ จะเกิดการเปลี่ยนสถานะ โดยปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัม จะกลายสภาพไปสู่ สถานะหนาแน่นยิ่งยวดอันชั่วร้ายนี้หรือไม่ หรือพูดอีกแบบหนึ่ง ผมถามตัวเองว่า ชะตากรรม ของสนามฮิกส์ในเอกภพของเราจะเป็นอย่างไร? และปัจจัยสำคัญที่จำเป็น เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ คือมวลของฮิกส์ โบซอน การทดลองที่ LHC ได้ค้นพบว่า มวลของฮิกส์ โบซอนมีค่าประมาณ 126 กิกะอิเล็คตรอนโวลต์ มันน้อยมากเมื่อแสดงในรูปมวลทั่วๆไป เพราะมันจะเท่ากับอะไรประมาณ 10 ยกกำลัง -22 กรัม แต่มันใหญ่มหึมาในหน่วยของฟิสิกส์อนุภาค เพราะมันเทียบเท่ากับน้ำหนัก ของโมเลกุลหนึ่ง ที่ประกอบกันขึ้นเป็น DNA เลยทีเดียว
So armed with this information from the LHC, together with some colleagues here at CERN, we computed the probability that our universe could quantum tunnel into the ultra-dense Higgs state, and we found a very intriguing result. Our calculations showed that the measured value of the Higgs boson mass is very special. It has just the right value to keep the universe hanging in an unstable situation. The Higgs field is in a wobbly configuration that has lasted so far but that will eventually collapse. So according to these calculations, we are like campers who accidentally set their tent at the edge of a cliff. And eventually, the Higgs field will undergo a phase transition and matter will collapse into itself.
เมื่อเรามีข้อมูลนี้ซึ่งได้มากจาก LHC ร่วมด้วยเหล่าเพื่อนร่วมงานที่ CERN แห่งนี้ เราคำนวณความน่าจะเป็น ที่เอกภพของเราจะเกิดอุโมงค์ควอนตัม กลายเป็นสนามฮิกส์ที่สถานะหนาแน่นยิ่งยวด และเราก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้น การคำนวณของเราแสดงให้เห็นว่า มวลของฮิกส์ โบซอนที่วัดได้ นั้นมีความพิเศษมาก มันช่างเหมาะเจาะพอดี ที่จะทำให้เอกภพของเรา อยู่ในสถาพไม่เสถียร สนามฮิกส์อยู่ในสภาพไม่แน่นอน และคงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ แต่สุดท้ายแล้ว มันจะยุบตัวลง และตามการคำนวณเหล่านี้ เราเป็นเหมือนนักเดินทาง ที่บังเอิญไปตั้งเต็นท์ อยู่ตรงขอบหน้าผา และสุดท้ายแล้ว สนามฮิกส์ จะเข้าสู่การเปลี่ยนสถานะ สสารจะยุบตัวลงเข้าหาตัวเอง
So is this how humanity is going to disappear? I don't think so. Our calculation shows that quantum tunneling of the Higgs field is not likely to occur in the next 10 to the 100 years, and this is a very long time. It's even longer than the time it takes for Italy to form a stable government.
แล้วนี่คือจุดจบของมนุษยชาติอย่างนั้นหรือ ผมคิดว่าไม่ใช่ การคำนวณของเราแสดงให้เห็นว่า อุโมงค์ควอนตัม ของสนามฮิกส์นั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น ในอีก 10 ยกกำลัง 100 ปีถัดจากนี้ และนั่นมันเป็นเวลาที่นานมาก นานเสียยิ่งกว่า เวลาที่อิตาลีต้องใช้เพื่อก่อตั้งรัฐบาล ที่มีเสถียรภาพเสียอีก
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Even so, we will be long gone by then. In about five billion years, our sun will become a red giant, as large as the Earth's orbit, and our Earth will be kaput, and in a thousand billion years, if dark energy keeps on fueling space expansion at the present rate, you will not even be able to see as far as your toes, because everything around you expands at a rate faster than the speed of light. So it is really unlikely that we will be around to see the Higgs field collapse.
ถึงมันจะเกิดขึ้น เราคงตายไปหมดแล้ว ภายในเวลาห้าพันล้านปี ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวยักษ์แดง ที่ใหญ่พอๆ กับวิถีโคจรของโลก และโลกเราคงกลายเป็นจุล และภายในหนึ่งล้านล้านปี หากสสารมืดยังคงเร่งให้ ห้วงอวกาศขยายตัวออกในอัตราเช่นปัจจุบัน คุณคงไม่สามารถมองเห็น ได้ไกลกว่านิ้วเท้าของคุณเอง เพราะทุกอย่างรอบๆ ตัวคุณ จะขยายออกด้วยอัตราที่เร็วกว่าคามเร็วแสง ดังนั้น มันจึงไม่น่าเป็นไปได้ ที่เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นสนามฮิกส์พลังทลายลง
But the reason why I am interested in the transition of the Higgs field is because I want to address the question, why is the Higgs boson mass so special? Why is it just right to keep the universe at the edge of a phase transition? Theoretical physicists always ask "why" questions. More than how a phenomenon works, theoretical physicists are always interested in why a phenomenon works in the way it works. We think that this these "why" questions can give us clues about the fundamental principles of nature. And indeed, a possible answer to my question opens up new universes, literally. It has been speculated that our universe is only a bubble in a soapy multiverse made out of a multitude of bubbles, and each bubble is a different universe with different fundamental constants and different physical laws. And in this context, you can only talk about the probability of finding a certain value of the Higgs mass. Then the key to the mystery could lie in the statistical properties of the multiverse. It would be something like what happens with sand dunes on a beach. In principle, you could imagine to find sand dunes of any slope angle in a beach, and yet, the slope angles of sand dunes are typically around 30, 35 degrees. And the reason is simple: because wind builds up the sand, gravity makes it fall. As a result, the vast majority of sand dunes have slope angles around the critical value, near to collapse. And something similar could happen for the Higgs boson mass in the multiverse. In the majority of bubble universes, the Higgs mass could be around the critical value, near to a cosmic collapse of the Higgs field, because of two competing effects, just as in the case of sand.
แต่เหตุที่ผมสนใจ ในการเปลี่ยนสถานะของสนามฮิกส์ เป็นเพราะผมต้องการจะตอบคำถามที่ว่า ทำไมมวลของฮิกส์ โบซอนจึงพิเศษนัก ทำไมมันช่างเหมาะเจาะที่จะทำให้เอกภาพนี้ อยู่ที่ขอบของการเปลี่ยนสถานะ นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีมักจะถามคำถามว่า "ทำไม" แทนที่จะเข้าในว่าปรากฏการณ์หนึ่งๆ มีกลไกอย่างไร นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีนั้นสนใจ ว่าทำไมปรากฏการณ์นั้นจึงมีกลไกอย่างที่มันเป็น เราคิดว่าการตั้งคำถามว่า "ทำไม" จะให้เงื่อนงำแก่เรา เกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของธรรมชาติ และจริงๆ แล้ว คำตอบที่เป็นไปได้สำหรับคำถามของผม เปิดเอกภพใหม่ๆ อีกมากมาย ไม่ได้เล่นคำนะครับ เอกภพของเรานั้นถูกคาดเดาว่า เป็นเพียงแค่ฟองสบู่ฟองหนึ่ง ในโฟมสบู่แห่งสหภพ (multiverse) ที่ประกอบไปด้วยฟองสบู่เหลือคณานับ และแต่ละฟองก็คือแต่ละเอกภพที่แตกต่างกัน ที่มีค่าคงที่พื้นฐานแตกต่างกัน และกฎฟิสิกส์ที่แตกต่างกัน และในบริบทนี้ สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ นั่นก็คือ ความน่าจะเป็นที่จะพบมวลฮิกส์ค่าหนึ่ง ดังนั้น กุญแจที่ไขปริศนานี้ อาจซ่อนอยู่ในคุณสมบัติเชิงสถิติ ของสหภพ มันอาจเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับสันทรายบนชายหาด โดยหลักการแล้ว คุณคงคิดว่าจะพบสันทรายที่มีความชัน ในทุกๆ องศาบนชายหาด แต่จริงๆ แล้ว ความชันของสันทราย โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 30, 35 องศา เหตุผลนั้นเรียบง่าย เพราะว่าลมหอบเอาทรายมารวมกัน แต่แรงโน้มถ่วงทำให้มันพังทลายลง ผลที่ได้ก็คือ สันทรายจำนวนมาก จะมีความชันอยู่ที่ค่าวิกฤตค่าหนึ่ง ใกล้เคียงกับจุดที่มันจะพังทลาย และสิ่งคล้ายกันอาจเกิดขึ้น กับมวลของฮิกส์โบซอนในสหภพ ในฟองสบู่แห่งเอกภพส่วนใหญ่ มวลฮิกส์อาจอยู่แถวๆ ค่าวิกฤต ใกล้จุดพังทลายตัวของห้วงอวกาศ เพราะปรากฏการณ์สองอย่างที่ส่งผลหักล้างกัน คล้ายกับกรณีของสันทราย
My story does not have an end, because we still don't know the end of the story. This is science in progress, and to solve the mystery, we need more data, and hopefully, the LHC will soon add new clues to this story. Just one number, the Higgs boson mass, and yet, out of this number we learn so much. I started from a hypothesis, that the known particles are all there is in the universe, even beyond the domain explored so far. From this, we discovered that the Higgs field that permeates space-time may be standing on a knife edge, ready for cosmic collapse, and we discovered that this may be a hint that our universe is only a grain of sand in a giant beach, the multiverse.
เรื่องราวของผมไม่มีจุดจบ เพราะเรายังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร นี่คือการค้นคว้าที่กำลังดำเนินอยู่ และเพื่อไขปริศนานี้ เราต้องการข้อมูลมากขึ้น และหวังว่าในเร็วๆ นี้ LHC จะให้เงื่อนงำใหม่ๆ ให้กับเรื่องราวนี้ เพียงแค่เลขตัวเดียว มวลของฮิกส์โบซอน กระนั้น เราได้เรียนรู้มากมายจากเลขตัวนี้ ผมเริ่มจากสมมติฐานว่าอนุภาคที่เรารู้จัก คืออนุภาคทั้งหมดที่มีในเอกภพ แม้แต่ในบริเวณที่เรายังไม่ได้สำรวจ จากสมมติฐานนี้ เราค้นพบว่าสนามฮิกส์ ที่แผ่ไปทั่วห้วงอวกาศและเวลา อาจอยู่ ณ จุด ที่พร้อมจะทำให้ห้วงอวกาศพังทลายลง และเราค้นพบว่านี่อาจเป็นเงื่อนงำ ที่ชี้ว่าเอกภพของเราอาจเป็นเพียงเม็ดทราย บนชายหาดยักษ์แห่งสหภพ
But I don't know if my hypothesis is right. That's how physics works: A single measurement can put us on the road to a new understanding of the universe or it can send us down a blind alley. But whichever it turns out to be, there is one thing I'm sure of: The journey will be full of surprises.
แต่ผมไม่รู้ว่าสมมติฐานของผมนั้นถูกต้องหรือไม่ นั่นคือวิถีแห่งฟิสิกส์ ค่าที่วัดได้เพียงค่าเดียว สามารถนำไปไปสู่การเข้าใจอะไรใหม่ๆ ของเอกภพ หรือมันอาจนำเราสู่ซอยแคบที่มืดมิด แต่ไม่ว่ามันจะออกมาแบบใด สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจ คือ การเดินทางนี้จะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)