I want you now to imagine a wearable robot that gives you superhuman abilities, or another one that takes wheelchair users up standing and walking again. We at Berkeley Bionics call these robots exoskeletons. These are nothing else than something that you put on in the morning, and it will give you extra strength, and it will further enhance your speed, and it will help you, for instance, to manage your balance. It is actually the true integration of the man and the machine. But not only that -- it will integrate and network you to the universe and other devices out there.
ผมอยากให้ทุกท่านลองนึกภาพ ชุดหุ่นยนต์ที่สวมใส่ได้ ใส่แล้วจะทำให้คุณมีความสามารถเหนือมนุษย์ หรืออีกอย่างที่สามารถทำให้คนพิการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็น กลับมายืนและเดินได้อีกครั้ง ณ สถาบันเบิร์กลีย์ ไบโอนิคส์ เราเรียกสิ่งนี้ว่า 'exoskeleton' (ชุดโครงหุ่นยนต์) สิ่งนี้ไม่ได้แตกต่างจาก เสื้อผ้าที่คุณใส่ทุุกๆเช้าเลย เพียงแต่ใส่แล้วจะเพิ่มความแข็งแกร่ง และเพิ่มความเร็วให้กับผู้ใส่ อีกทั้งยังสามารถช่วยในเรื่องการทรงตัวได้อีกด้วย จริงๆแล้วมันเป็นการผนวกให้เข้ากัน ระหว่างมนุษย์และเครื่องยนต์ ไม่ใช่แค่นั้น มันยังเป็นการรวมและเชื่อมคุณ เข้ากับนานาสิ่ง และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ
This is just not some blue sky thinking. To show you now what we are working on by starting out talking about the American soldier, that on average does carry about 100 lbs. on their backs, and they are being asked to carry more equipment. Obviously, this is resulting in some major complications -- back injuries, 30 percent of them -- chronic back injuries. So we thought we would look at this challenge and create an exoskeleton that would help deal with this issue. So let me now introduce to you HULC -- or the Human Universal Load Carrier.
แต่นี่ไม่ได้เป็นเพียงความคิดที่ลอยอยู่บนอากาศนะครับ เอาล่ะ...เพื่อให้เห็นภาพโครงการของพวกเรา ผมจะเริ่มพูดถึง ชีวิตประจำวันของทหารอเมริกัน ที่สะพายของบนบ่าประมาณ 100 ปอนด์เป็นประจำ และยังอาจจะต้องแบกอุปกรณ์เสริมอื่นๆอีก แน่นอนว่า นี่เป็นสาเหตุหลัก ที่นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ประมาณร้อยละ 30 ของทหารเหล่านี้ เป็นโรคปวดหลังเรื้อรัง ทีนี้ เราเลยได้มาศึกษาลงลึกเกี่ยวกับปัญหานี้ และสร้างชุดหุ่นยนต์ exoskeleton เพื่อต่อกรกับโรคนี้โดยเฉพาะ เอาล่ะครับ ขอเชิญทุกท่านพบกับ ชุดจอมพลังฮัลค์ (HULC) หรือ Human Universal Load Carrier
Soldier: With the HULC exoskeleton, I can carry 200 lbs. over varied terrain for many hours. Its flexible design allows for deep squats, crawls and high-agility movements. It senses what I want to do, where I want to go, and then augments my strength and endurance.
ทหาร: ด้วยชุดหุ่นยนต์จอมพลัง HULC นี้ ทำให้ผมสามารถแบกของ 200 กว่าปอนด์เดินบนพื้นผิวทุกสภาพ ติดต่อกันหลายๆชั่วโมงได้ การออกแบบที่ยืดหยุ่นเผื่อการหมอบลงที่ต่ำ คลานและการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว มันรู้ว่าผมจะทำอะไร และจะเดินไปทางไหน ทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งและความอึดด้วย
Eythor Bender: We are ready with our industry partner to introduce this device, this new exoskeleton this year. So this is for real. Now let's turn our heads towards the wheelchair users, something that I'm particularly passionate about. There are 68 million people estimated to be in wheelchairs worldwide. This is about one percent of the total population. And that's actually a conservative estimate. We are talking here about, oftentimes, very young individuals with spinal cord injuries, that in the prime of their life -- 20s, 30s, 40s -- hit a wall and the wheelchair's the only option. But it is also the aging population that is multiplying in numbers. And the only option, pretty much -- when it's stroke or other complications -- is the wheelchair. And that is actually for the last 500 years, since its very successful introduction, I must say. So we thought we would start writing a brand new chapter of mobility. Let me now introduce you to eLEGS that is worn by Amanda Boxtel that 19 years ago was spinal cord injured, and as a result of that she has not been able to walk for 19 years until now.
อายเทอร์ เบนเดอร์: "พวกเราพร้อมสำหรับผู้ร่วมธุรกิจ เพื่อเปิดตัวเครื่องมือตัวนี้ ซึ่งก็คือ 'exoskeleton' ตัวใหม่ในปีนี้ และมันเป็นของจริง และทีนี้ เราลองหันมาสนใจ ผู้ที่นั่งบนรถเข็็นกันบ้าง ซึ่งสิ่งที่ผมภูมิใจเป็นพิเศษ มีประชากรที่ใช้รถเข็นอยู่ กว่า 68 ล้านคนทั่วโลก โดยคำนวนเป็นประมาณ 1 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งหมด ตัวเลขนี้นับจากเงื่อนไขที่ค่อนข้างรัดกุม ที่พวกเรากำลังพูดถึงนี้ก็คือ ผู้้ที่ได้รับบาดเจ็บจากไขสันหลัง ในช่วงต้นๆของชีวิต อายุราวๆ 20, 30 หรือ 40 กว่าๆ พวกเขามักไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจาก "รถเข็น" และยังมีประชากรผู้สูงอายุ ที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ และตัวเลือกเดียว สำหรับคนส่วนใหญ่ ที่เป็นเส้นเลือดอุดตันหรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ก็คือ "รถเข็น" เช่นกัน และนั่นเป็นนวัตกรรมของ 500 ปีที่ผ่านมา ที่ผมถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และพวกเราคิดว่า ถึงเวลาสำหรับ พาหนะใหม่ๆ กระผมขอแนะนำ eLEGS ที่คุณอแมนด้า บ๊อกซ์เทลใส่มาในวันนี้ เธออยู่กับโรคบาดเจ็บทางไขสันหลังมาเป็นเวลา 19 ปี และผลของโรคนั้นก็คือ เธอไม่สามารถเดินด้วยสองขาของตัวเอง มาเป็นเวลา 19 ปีแล้ว จนถึงปัจจุบัน
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Amanda Boxtel: Thank you.
อแมนด้า บ๊อกซ์เทล: "ขอบคุณค่ะ"
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
EB: Amanda is wearing our eLEGS set. It has sensors. It's completely non-invasive, sensors in the crutches that send signals back to our onboard computer that is sitting here at her back. There are battery packs here as well that power motors that are sitting at her hips, as well as her knee joints, that move her forward in this kind of smooth and very natural gait.
อแมนด้าใส่ชุด eLEGS ของพวกเราอยู่ ในตัวมันมีเซ็นเซอร์ โดยเป็นเซนเซอร์ที่ไม่มีอะไรก่อกวน ในไม้พยุง โดยมันจะส่งสัญญาณกลับไปยัังคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ด้านหลังเธอ และยังมีแบตเตอร์รี่ตรงนี้อีกด้วย เครื่องยนต์ติดตั้งอยู่ตรงบั้นท้าย รวมถึงข้อต่่อเข่า ที่ทำให้เธอเดินไปด้านหน้า ได้ลื่นไหลและเป็นไปอย่างธรรมชาติ
AB: I was 24 years old and at the top of my game when a freak summersault while downhill skiing paralyzed me. In a split second, I lost all sensation and movement below my pelvis. Not long afterwards, a doctor strode into my hospital room, and he said, "Amanda, you'll never walk again." And that was 19 yeas ago. He robbed every ounce of hope from my being. Adaptive technology has since enabled me to learn how to downhill ski again, to rock climb and even handcycle. But nothing has been invented that enables me to walk, until now.
อาแมนด้า: ตอนดิฉันอายุ 24 ปี ดิฉันถูกจัดให้เป็นผู้เล่นแถวบนในกีฬาประเภทนี้ และเพียงครั้งเดียวที่หกล้มตีลังกาตอนเล่นสกีลงเขา ก็ทำให้ดิฉันพิการ เพียงเสี้ยววินาที ดิฉันสูญเสียความรู้สึกและการเคลื่อนไหวทั้งหมด ตรงช่วงล่างกระดูกเชิงกราน เมื่อถึงโรงพยาบาล คุณหมอเดินเข้ามาในห้องของดิฉัน และพูดกับดิฉันว่า "อแมนด้า คุณจะไม่สามารถเดินได้อีก" และนั่นคือเมื่อ 19 ปีที่แล้ว เขาทำให้ ดิฉันหมดหวังในทุกๆเรื่อง ที่ผ่านมา แล้วเทคโนโลยีที่พัฒนาหลายรูปแบบ ก็ทำให้ดิฉัน สามารถกลับไปเล่นสกีได้อีกครั้งหนึ่ง รวมถึงปีนเขา หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยานมือ แต่ไม่เคยมีสิ่งใดๆ ที่ทำให้ดิฉันกลับมาเดินได้ จนถึงวันนี้
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Thank you.
ขอบคุณค่ะ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
EB: As you can see, we have the technology, we have the platforms to sit down and have discussions with you. It's in our hands, and we have all the potential here to change the lives of future generations -- not only for the soldiers, or for Amanda here and all the wheelchair users, but for everyone.
เอเธอร์: จากที่ทุกท่านเห็น พวกเรามีเทคโนโลยี มีอุปกรณ์ ที่สามารถต่อยอดต่อไปได้้ แล้วมันอยู่ในมือพวกเรานี่แหละ พวกเราทุกคนต่างก็มีศักยภาพเหล่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ของคนรุ่นหลัง ไม่ใช่เพียงสำหรับทหาร หรือสำหรับอแมนด้าที่อยู่ที่นี่และผู้ใช้รถเข็นเท่านั้น แต่สำหรับทุกๆคน
AB: Thanks.
ขอบคุุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)