I'd like to tell you about a legal case that I worked on involving a man named Steve Titus.
ฉันจะขอเล่าเกี่ยวกับคดีทางกฎหมายหนึ่งที่ฉันเคยทำ เกี่ยวกับชายที่ชื่อว่า สตีฟ ไททัส
Titus was a restaurant manager. He was 31 years old, he lived in Seattle, Washington, he was engaged to Gretchen, about to be married, she was the love of his life. And one night, the couple went out for a romantic restaurant meal. They were on their way home, and they were pulled over by a police officer. You see, Titus' car sort of resembled a car that was driven earlier in the evening by a man who raped a female hitchhiker, and Titus kind of resembled that rapist. So the police took a picture of Titus, they put it in a photo lineup, they later showed it to the victim, and she pointed to Titus' photo. She said, "That one's the closest." The police and the prosecution proceeded with a trial, and when Steve Titus was put on trial for rape, the rape victim got on the stand and said, "I'm absolutely positive that's the man." And Titus was convicted. He proclaimed his innocence, his family screamed at the jury, his fiancée collapsed on the floor sobbing, and Titus is taken away to jail.
ไททัสเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ตอนนั้นเขาอายุ 31 ปี อาศัยอยู่ที่ซีแอตเติ้ล กรุงวอชิงตัน เขาหมั้นหมายอยู่กับเกรทเช่น กำลังจะแต่งงานกัน เธอเป็นรักแท้ของเขา คืนหนึ่ง ทั้งคู่ออกไป ทานอาหารค่ำโรแมนติคที่ร้านอาหาร ขณะที่พวกเขากำลังกลับบ้าน ตำรวจนายหนึ่งสั่งให้พวกเขาจอดรถ ปรากฎว่า รถของไททัสดูค่อนข้างคล้ายกับรถคันหนึ่ง ซึ่งคนที่ขับรถคันนี้ในช่วงเย็นวันเดียวกัน เป็นคนข่มขืนผู้หญิงที่ขอโดยสารรถไปด้วย และไททัสก็หน้าตาคล้ายๆ กับโจรข่มขืนคนนั้น ตำรวจจึงนำรูปภาพของไททัส ไปรวมกับรูปภาพสำหรับการชี้ตัว และโชว์ให้ผู้เสียหายดูในเวลาต่อมา เธอชี้ไปที่รูปของไททัส และบอกว่า "คนนี้ดูเหมือนที่สุด" ตำรวจและอัยการจึงดำเนินการพิจารณาคดี ตอนที่สตีฟ ไททัส ถูกนำตัวมาขึ้นศาลในข้อหาข่มขืน เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้ขึ้นมาบนแท่นพยาน และกล่าวว่า "ฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเป็นเขา" ไททัสจึงถูกตัดสินลงโทษ เขาป่าวประกาศว่าตัวเองบริสุทธิ์ ครอบครัวของเขากรีดร้องใส่คณะลูกขุน คู่หมั้นของเขาทรุดตัวลงไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่พื้น และไททัส ก็ถูกนำตัวเข้าห้องขัง
So what would you do at this point? What would you do? Well, Titus lost complete faith in the legal system, and yet he got an idea. He called up the local newspaper, he got the interest of an investigative journalist, and that journalist actually found the real rapist, a man who ultimately confessed to this rape, a man who was thought to have committed 50 rapes in that area, and when this information was given to the judge, the judge set Titus free.
คุณจะทำอย่างไร เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ คุณจะทำอย่างไร ไททัสสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังได้ความคิดหนึ่ง เขาโทรไปหาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขาได้รับความสนใจจากนักข่าวสืบสวนคนหนึ่ง และนักข่าวคนนั้นก็เป็นผู้หาโจรข่มขืนตัวจริงจนพบ คนที่สารภาพในที่สุดว่าเป็นผู้ลงมือข่มขืนครั้งนี้ คนที่ถูกคาดว่าลงมือข่มขืนมาแล้ว 50 ครั้ง ในพื้นที่นั้น และเมื่อข้อมูลนี้ถูกส่งไปถึงผู้พิพากษา ผู้พิพากษาจึงปล่อยไททัสเป็นอิสระ
And really, that's where this case should have ended. It should have been over. Titus should have thought of this as a horrible year, a year of accusation and trial, but over.
ว่ากันจริงๆแล้ว เคสนี้ก็น่าจะสิ้นสุดที่ตรงนี้ มันน่าจะจบ ไททัสน่าจะมองว่ามันช่างเป็นปีที่เลวร้าย ปีของการถูกกล่าวหาและดำเนินคดี แต่มันก็สิ้นสุดลงแล้ว
It didn't end that way. Titus was so bitter. He'd lost his job. He couldn't get it back. He lost his fiancée. She couldn't put up with his persistent anger. He lost his entire savings, and so he decided to file a lawsuit against the police and others whom he felt were responsible for his suffering.
เรื่องมันไม่ได้จบลงแบบนั้น ไททัสรู้สึกขมขื่นมาก เขาสูญเสียหน้าที่การงาน เขาเอามันกลับคืนมาไม่ได้ เขาสูญเสียคู่หมั้น เธอทนอยู่กับอารมณ์โกรธแค้นตลอดเวลาของเขาไม่ได้ เขาสูญเสียเงินเก็บทั้งหมด เขาก็เลยตัดสินใจยื่นฟ้อง ฟ้องตำรวจและคนอื่นๆ ที่เขารู้สึกว่า มีส่วนรับผิดชอบกับความทุกข์ทรมานของเขา
And that's when I really started working on this case, trying to figure out how did that victim go from "That one's the closest" to "I'm absolutely positive that's the guy."
ตอนนั้นเองที่ฉันได้เข้ามาเริ่มทำงานเกี่ยวกับเคสนี้ โดยพยายามหาคำตอบว่า จากที่ผู้เสียหายเคยพูดว่า "คนนี้ดูเหมือนที่สุด" กลายมาเป็น "ฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเป็นเขา" ไปได้อย่างไร
Well, Titus was consumed with his civil case. He spent every waking moment thinking about it, and just days before he was to have his day in court, he woke up in the morning, doubled over in pain, and died of a stress-related heart attack. He was 35 years old.
ไททัสหมกมุ่นอยู่กับคดีของเขามาก เขาคิดเกี่ยวกับมันตลอดทุกช่วงเวลาที่ลืมตาตื่น และก่อนขึ้นศาลเพียงไม่กี่วัน เขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง รู้สึกเจ็บปวดจนตัวงอ และตายเพราะหัวใจล้มเหลวจากความเครียด เขาอายุได้ 35 ปี
So I was asked to work on Titus' case because I'm a psychological scientist. I study memory. I've studied memory for decades. And if I meet somebody on an airplane -- this happened on the way over to Scotland -- if I meet somebody on an airplane, and we ask each other, "What do you do? What do you do?" and I say "I study memory," they usually want to tell me how they have trouble remembering names, or they've got a relative who's got Alzheimer's or some kind of memory problem, but I have to tell them I don't study when people forget. I study the opposite: when they remember, when they remember things that didn't happen or remember things that were different from the way they really were. I study false memories.
ดังนั้น ฉันได้รับเชิญเข้ามาทำเคสของไททัส เพราะฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา ฉันศึกษาเกี่ยวกับความจำ ฉันได้ค้นคว้าเรื่องความจำมาหลายสิบๆ ปี และถ้าฉันได้รู้จักใครบนเครื่องบิน เรื่องนี้เกิดตอนที่กำลังบินไปสก็อตแลนด์ ถ้าฉันได้รู้จักใครบนเครื่องบิน และถามกันประมาณว่า "คุณทำงงทำงานอะไร" ฉันก็จะบอกว่า "ฉันศึกษาเกี่ยวกับความจำ" พวกเขาก็มักจะเล่าให้ฟังว่ามีปัญหาเรื่องจดจำชื่อ หรือไม่ก็มีญาติที่เป็นอัลไซเมอร์ หรือปัญหาอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับความจำ แต่ฉันต้องบอกพวกเขาว่า ฉันไม่ได้ศึกษาเวลาที่ผู้คนหลงลืม ฉันศึกษาเรื่องที่ตรงกันข้าม เวลาที่พวกเขาจดจำ เวลาที่พวกเขาจำสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น หรือจำสิ่งที่แตกต่าง จากที่มันเป็นอยู่จริงๆ ฉันศึกษาเรื่องความทรงจำเท็จ
Unhappily, Steve Titus is not the only person to be convicted based on somebody's false memory. In one project in the United States, information has been gathered on 300 innocent people, 300 defendants who were convicted of crimes they didn't do. They spent 10, 20, 30 years in prison for these crimes, and now DNA testing has proven that they are actually innocent. And when those cases have been analyzed, three quarters of them are due to faulty memory, faulty eyewitness memory.
มันน่าเศร้าที่ สตีฟ ไททัส ไม่ใช่คนเดียว ที่ถูกตัดสินลงโทษจากความทรงจำเท็จของคนอื่น ที่สหรัฐอเมริกา มีโครงการหนึ่ง มีการรวบรวมข้อมูล จากผู้บริสุทธิ์ 300 คน จำเลย 300 คนที่ถูกตัดสินลงโทษในอาชญากรรม ที่พวกเขาไม่ได้ก่อ พวกเขาต้องติดคุกเป็น 10, 20, 30 ปี ในข้อหาก่ออาชญากรรมเหล่านี้ และปัจจุบันผลการทดสอบดีเอ็นเอก็พิสูจน์ว่า จริงๆ แล้วพวกเขาบริสุทธิ์ และเมื่อมีการวิเคราะห์ดคีเหล่านั้น พบว่าสามในสี่ของผู้บริสุทธิ์ ถูกลงโทษพราะความทรงจำเท็จ ความทรงจำที่ผิดของพยานผู้เห็นเหตุการณ์
Well, why? Like the jurors who convicted those innocent people and the jurors who convicted Titus, many people believe that memory works like a recording device. You just record the information, then you call it up and play it back when you want to answer questions or identify images. But decades of work in psychology has shown that this just isn't true. Our memories are constructive. They're reconstructive. Memory works a little bit more like a Wikipedia page: You can go in there and change it, but so can other people. I first started studying this constructive memory process in the 1970s. I did my experiments that involved showing people simulated crimes and accidents and asking them questions about what they remember. In one study, we showed people a simulated accident and we asked people, how fast were the cars going when they hit each other? And we asked other people, how fast were the cars going when they smashed into each other? And if we asked the leading "smashed" question, the witnesses told us the cars were going faster, and moreover, that leading "smashed" question caused people to be more likely to tell us that they saw broken glass in the accident scene when there wasn't any broken glass at all. In another study, we showed a simulated accident where a car went through an intersection with a stop sign, and if we asked a question that insinuated it was a yield sign, many witnesses told us they remember seeing a yield sign at the intersection, not a stop sign.
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ เช่นเดียวกับคณะลูกขุนที่ตัดสินโทษผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น และคณะลูกขุนที่ตัดสินโทษไททัส หลายๆ คนเชื่อว่าความจำ ทำงานเหมือนเป็นเครื่องบันทึก คุณแค่บันทึกข้อมูล แล้วก็ค่อยนึกย้อนกลับไปแล้วเล่นใหม่ เวลาที่ต้องตอบคำถาม หรือระบุรูปภาพ แต่หลายทศวรรษที่ทำงานด้านจิตวิทยามา ได้แสดงให้เห็นว่ามันไม่เป็นความจริงเลย ความจำของคนเรามันสร้างต่อเติมได้ มันสร้างขึ้นใหม่ได้ ความจำทำงานเหมือนกับวิกิพีเดียมากกว่า คุณเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันได้ คนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน ฉันเริ่มศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการสร้างความจำนี้ ในช่วงปี 1970 ฉันทำการทดลองโดยให้คนได้ดู เหตุการณ์จำลองของอาชญากรรมและอุบัติเหตุต่างๆ แล้วก็ตั้งคำถามดูว่าพวกเขาจำอะไรได้บ้าง มีกรณีหนึ่ง เราให้ดูเหตุการณ์จำลองอุบัติเหตุ แล้วก็ถามคนดูว่า รถวิ่งมาด้วยความเร็วขนาดไหนตอนที่ชนกัน และก็ถามคนอีกกลุ่มว่า รถวิ่งมาด้วยความเร็วขนาดไหนตอนที่พุ่งชนกันอย่างจัง ถ้าเราถามนำโดยใช้คำว่า "พุ่งชนกันอย่างจัง" พยานจะตอบเป็นระดับความเร็วที่สูงกว่า และยิ่งไปกว่านั้น คำถามนำ "พุ่งชนกันอย่างจัง" นั้น ทำให้คนมีแนวโน้มที่จะบอกเราว่า พวกเขาเห็นเศษกระจกแตกในที่เกิดเหตุ ทั้งๆ ที่มันไม่มีเศษกระจกแตกอยู่เลย อีกการค้นคว้าหนึ่ง เราให้ดูเหตุการณ์จำลองอุบัติเหตุ ที่มีรถวิ่งฝ่าสี่แยกที่มีป้ายหยุด ถ้าเราถามคำถามที่บอกเป็นนัยว่ามันเป็นป้ายให้ทาง พยานหลายคนก็จะบอกว่า พวกเขาจำได้ว่ามันเป็นป้ายให้ทาง ที่สี่แยกนั้น ไม่ใช้ป้ายหยุด
And you might be thinking, well, you know, these are filmed events, they are not particularly stressful. Would the same kind of mistakes be made with a really stressful event? In a study we published just a few months ago, we have an answer to this question, because what was unusual about this study is we arranged for people to have a very stressful experience. The subjects in this study were members of the U.S. military who were undergoing a harrowing training exercise to teach them what it's going to be like for them if they are ever captured as prisoners of war. And as part of this training exercise, these soldiers are interrogated in an aggressive, hostile, physically abusive fashion for 30 minutes and later on they have to try to identify the person who conducted that interrogation. And when we feed them suggestive information that insinuates it's a different person, many of them misidentify their interrogator, often identifying someone who doesn't even remotely resemble the real interrogator.
คุณอาจจะคิดว่า แหม นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกถ่ายไว้ มันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกเครียดเท่าไหร่ ความผิดพลาดแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นไหม ถ้ามันเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดจริงๆ จากการค้นคว้าหนึ่งที่เราเพิ่งเผยแพร่ไปเมื่อสองสามเดือนก่อน เราได้คำตอบให้กับคำถามนี้ เพราะสิ่งที่ผิดไปจากเดิมเกี่ยวกับการค้นคว้านี้ คือเราจัดให้คนได้อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาก ผู้ที่รับการทดสอบนี้ เป็นกลุ่มทหารกองทัพสหรัฐ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการฝึกที่แสนทรมาน ที่สอนให้พวกเขารู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ถ้าพวกเขาโดนจับไปเป็นเชลยสงคราม และส่วนหนึ่งของการฝึกนี้ พวกทหารจะถูกสอบปากคำด้วยท่าทีก้าวร้าว จงเกลียดจงชัง และมีการใช้กำลัง เป็นเวลา 30 นาที หลังจากนั้นพวกเขาต้องพยายามระบุตัว คนที่เป็นผู้สอบปากคำนั้น และตอนที่พวกเขาได้รับข้อมูลชี้นำ ที่บอกใบ้ว่าเป็นคนอื่น ทหารหลายคนชี้ตัวผู้สอบปากคำผิดคน มักจะระบุตัวคนที่ไม่แม้แต่จะดูคล้าย กับตัวผู้สอบปากคำตัวจริง
And so what these studies are showing is that when you feed people misinformation about some experience that they may have had, you can distort or contaminate or change their memory.
การศึกษาค้นคว้าเหล่านี้จึงแสดงให้เห็นว่า เมื่อคุณป้อนข้อมูลที่ผิดๆ ให้กับผู้คน เกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่างที่พวกเขาอาจจะเคยเจอ คุณสามารถบิดเบือน หรือ เจือปน หรือเปลี่ยนแปลงความทรงจำของพวกเขาได้
Well out there in the real world, misinformation is everywhere. We get misinformation not only if we're questioned in a leading way, but if we talk to other witnesses who might consciously or inadvertently feed us some erroneous information, or if we see media coverage about some event we might have experienced, all of these provide the opportunity for this kind of contamination of our memory.
ในโลกแห่งความจริง การให้ข้อมูลที่ผิดๆ มีอยู่ทุกที่ เราได้รับข้อมูลผิดๆ ไม่ใช่เพียงแค่ถูกตั้งคำถามชี้นำ แต่ถ้าเราคุยกับพยานคนอื่นๆ ที่อาจจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดแก่เรา หรือถ้าเราได้ดูข่าวเกี่ยวกับบางเหตุการณ์ที่เราอาจจะเคยเจอมาก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนเปิดโอกาส ให้ความทรงจำของเราเกิดการปนเปื้อน
In the 1990s, we began to see an even more extreme kind of memory problem. Some patients were going into therapy with one problem -- maybe they had depression, an eating disorder -- and they were coming out of therapy with a different problem. Extreme memories for horrific brutalizations, sometimes in satanic rituals, sometimes involving really bizarre and unusual elements. One woman came out of psychotherapy believing that she'd endured years of ritualistic abuse, where she was forced into a pregnancy and that the baby was cut from her belly. But there were no physical scars or any kind of physical evidence that could have supported her story. And when I began looking into these cases, I was wondering, where do these bizarre memories come from? And what I found is that most of these situations involved some particular form of psychotherapy. And so I asked, were some of the things going on in this psychotherapy -- like the imagination exercises or dream interpretation, or in some cases hypnosis, or in some cases exposure to false information -- were these leading these patients to develop these very bizarre, unlikely memories? And I designed some experiments to try to study the processes that were being used in this psychotherapy so I could study the development of these very rich false memories.
ในช่วงปี 1990 เราเริ่มเห็น ปัญหาเกี่ยวกับความจำที่ยิ่งร้ายแรงกว่า ผู้ป่วยบางคน เข้ารับการบำบัดเพราะมีปัญหาอย่างหนึ่ง อาจจะเพราะพวกเขามีอาการหดหู่ มีพฤติกรรมการกินผิดปกติ แต่พวกเขากลับออกมาจากการบำบัด ด้วยปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือการมีความทรงจำที่เลวร้่ายเกี่ยวกับการกระทำทารุณที่น่ากลัว บางครั้งก็เกิดจากการทำพิธีกรรมที่เกี่ยวกับซาตาน บางครั้งก็เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่างๆ ที่สุดแสนจะแปลกพิสดาร มีผู้หญิงคนหนึ่งกลับออกมาจากการบำบัดจิต พร้อมกับเชื่อว่าเธอได้ทนทุกข์เป็นเวลาหลายปี จากการทารุณที่เป็นพิธีกรรม ซึ่งเธอถูกทำให้ตั้งท้อง และถูกผ่าท้องเอาเด็กทารกออกไป แต่ร่างกายเธอไม่มีรอยแผลเป็นให้เห็น ไม่มีแม้แต่หลักฐานทางร่างกายอื่นๆ ที่จะสามารถสนับสนุนเรื่องราวของเธอได้ เมื่อฉันเริ่มตรวจสอบดูกรณีเหล่านี้ ฉันสงสัยว่า ความทรงจำแปลกประหลาดพวกนี้มาจากไหน และสิ่งที่ฉันค้นพบก็คือ เกือบทั้งหมดของสถานการณ์เหล่านี้ เกี่ยวข้องกับรูปแบบเฉพาะบางอย่างของการบำบัดทางจิต ฉันจึงตั้งคำถามว่า ในการบำบัดทางจิต มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่ อย่่างเช่น การฝึกให้จินตนาการ หรือการตีความหมายของความฝัน หรือการสะกดจิต ในบางกรณี หรือการเปิดรับข้อมูลที่ผิดๆ ในบางกรณี สิ่งเหล่านี้ได้ชี้นำให้ผู้ป่วย สร้างความทรงจำที่แปลกประหลาด ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เหล่านี้ ใช่หรือไม่ ฉันจึงออกแบบการทดลองบางอย่าง เพื่อพยายามศึกษาขั้นตอนที่ใช้ในการบำบัดจิต เพื่อที่ฉันจะได้ค้นคว้าเกี่ยวกับ การพัฒนาของความทรงจำที่ผิดไปอย่างมากเหล่านี้
In one of the first studies we did, we used suggestion, a method inspired by the psychotherapy we saw in these cases, we used this kind of suggestion and planted a false memory that when you were a kid, five or six years old, you were lost in a shopping mall. You were frightened. You were crying. You were ultimately rescued by an elderly person and reunited with the family. And we succeeded in planting this memory in the minds of about a quarter of our subjects. And you might be thinking, well, that's not particularly stressful. But we and other investigators have planted rich false memories of things that were much more unusual and much more stressful. So in a study done in Tennessee, researchers planted the false memory that when you were a kid, you nearly drowned and had to be rescued by a life guard. And in a study done in Canada, researchers planted the false memory that when you were a kid, something as awful as being attacked by a vicious animal happened to you, succeeding with about half of their subjects. And in a study done in Italy, researchers planted the false memory, when you were a kid, you witnessed demonic possession.
หนึ่งในกรณีแรกๆ ที่เราได้ทำการค้นคว้า เราใช้การชี้นำ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการบำบัดจิต ที่เราได้เห็นในกรณีต่างๆเหล่านี้ เราใช้การชี้นำแนวนี้ และปลูกฝังความทรงจำเท็จว่า ตอนที่คุณยังเด็ก อายุประมาณ 5 หรือ 6 ขวบ คุณหลงทางในห้าง คุณกลัวมาก ร้องห่มร้องไห้ สุดท้ายก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมาช่วยคุณไว้ และพาคุณกลับไปหาครอบครัว เราประสบความสำเร็จในการฝังความทรงจำนี้ ลงในจิตใจของประมาณหนึ่งในสี่ของผู้รับการทดลอง คุณอาจจะคิดว่า แหม เหตุการณ์แบบนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเครียดเท่าไหร่ แต่พวกเรา และผู้ตรวจสอบคนอื่นๆ ก็ได้ฝัง ความทรงจำที่ผิดไปมากๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ ผิดปกติมากกว่าเดิม และสร้างความตึงเครียดมากกว่าเดิมมาแล้ว มีการค้นคว้าหนึ่งในรัฐเทนเนสซี นักวิจัยได้ฝังความจำเท็จ ว่า ตอนคุณเป็นเด็ก คุณเกือบจมน้ำ และมีเจ้าหน้ากู้ชีพที่มาช่วยไว้ และอีกการค้นคว้าหนึ่งในแคนาดา นักวิจัยฝังความทรงจำเท็จไว้ว่า ตอนคุณยังเด็ก อะไรบางอย่างที่เลวร้าย เช่น การถูกสัตว์ที่ดุร้ายทำร้ายเอา ได้เกิดขึ้นกับคุณ ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้รับการทดสอบถูกฝังความจำได้สำเร็จ และมีการค้นคว้าหนึ่งในอิตาลี นักวิจัยฝังความจำเท็จไว้ว่า ตอนที่คุณยังเด็ก คุณได้เห็นการถูกปีศาจเข้าสิง
I do want to add that it might seem like we are traumatizing these experimental subjects in the name of science, but our studies have gone through thorough evaluation by research ethics boards that have made the decision that the temporary discomfort that some of these subjects might experience in these studies is outweighed by the importance of this problem for understanding memory processes and the abuse of memory that is going on in some places in the world.
ฉันอยากจะขอเสริมว่า มันอาจจะดูเหมือนว่า พวกเรากำลังสร้างความบอบช้ำทางจิตใจ ให้กับผู้เข้ารับการทดลองเหล่านี้ เพื่อเห็นแก่วิทยาศาสตร์ แต่การศึกษาของเราได้ผ่านการประเมินอย่างถี่ถ้วน จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ที่ได้ตัดสินใจว่า ความลำบากใจชั่วคราวที่ เหล่าผู้รับการทดลองต้องเผชิญในการค้นคว้าทั้งหลายนี้ เทียบได้น้อยกว่าความสำคัญของปัญหา เพื่อที่เราจะได้เข้าใจกระบวนการของความทรงจำ และการใช้ความทรงจำในทางที่ผิด ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ในหลายๆ แห่งบนโลกนี้
Well, to my surprise, when I published this work and began to speak out against this particular brand of psychotherapy, it created some pretty bad problems for me: hostilities, primarily from the repressed memory therapists, who felt under attack, and by the patients whom they had influenced. I had sometimes armed guards at speeches that I was invited to give, people trying to drum up letter-writing campaigns to get me fired. But probably the worst was I suspected that a woman was innocent of abuse that was being claimed by her grown daughter. She accused her mother of sexual abuse based on a repressed memory. And this accusing daughter had actually allowed her story to be filmed and presented in public places. I was suspicious of this story, and so I started to investigate, and eventually found information that convinced me that this mother was innocent. I published an exposé on the case, and a little while later, the accusing daughter filed a lawsuit. Even though I'd never mentioned her name, she sued me for defamation and invasion of privacy. And I went through nearly five years of dealing with this messy, unpleasant litigation, but finally, finally, it was over and I could really get back to my work. In the process, however, I became part of a disturbing trend in America where scientists are being sued for simply speaking out on matters of great public controversy.
ฉันต้องประหลาดใจ เมื่อฉันได้เผยแพร่งานชิ้นนี้ และเริ่มออกไปพูด ต่อต้านการบำบัดจิตแนวเฉพาะนี้ มันได้ก่อปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรงให้ฉันพอสมควร คือการถูกปองร้าย โดยเริ่มจากพวกนักบำบัดจิตแนวเก็บกดความทรงจำ ที่รู้สึกเหมือนถูกโจมตี และก็จากผู้ป่วยที่ถูกควบคุมจิตใจโดยนักบำบัดเหล่านั้น บางครั้งฉันถึงกับต้องมีคนคอยคุ้มกันพร้อมอาวุธตามงานบรรยาย ที่ฉันได้รับเชิญให้ไปพูด มีคนพยายามปลุกปั่นรณรงค์ เขียนเป็นจดหมายให้ฉันโดนไล่ออก แต่ที่น่าจะแย่ที่สุดคือ ตอนนั้นฉันสงสัยว่าผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์จากการถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิด โดยลูกที่โตเป็นสาวแล้วของเธอ เธอกล่าวหาว่าแม่ของเธอล่วงละเมิดทางเพศ โดยกล่าวหาจากความทรงจำที่ถูกเก็บกดไว้ และลูกสาวที่ฟ้องร้องแม่ตัวเองนี้ ก็อนุญาติให้มีการบันทึก เรื่องราวของตัวเธอเอง และเผยแพร่ในที่สาธารณะ ฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับเรื่องนี้ จึงเริ่มสืบดู และในที่สุดก็พบข้อมูลที่ทำให้ฉันเชื่อว่า แม่คนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ฉันได้ตีพิมพ์เปิดเผยเรื่องราวของเคสนี้ และไม่นานหลังจากนั้น ลูกสาวที่ฟ้องร้องแม่ตัวเอง ก็ยื่นฟ้องศาล ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยเอ่ยชื่อของเธอเลย เธอก็ฟ้องร้องฉันด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และบุกรุกความเป็นส่วนตัว ฉันต้องใช้เวลาเกือบ 5 ปี ในการต่อสู้คดีที่แสนวุ่นวายและไม่มีอะไรน่าพอใจเลย แต่ในที่สุด ในที่สุดมันก็จบลง และฉันก็สามารถ กลับไปทำงานต่อได้จริงๆ เสียที อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น ฉันได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง ของเทรนด์หนึ่งที่น่าหวั่นใจในอเมริกา คือการที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างถูกฟ้องร้อง เพียงเพราะการพูดเปิดเผย เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นประเด็นขัดแย้งสาธารณะ
When I got back to my work, I asked this question: if I plant a false memory in your mind, does it have repercussions? Does it affect your later thoughts, your later behaviors? Our first study planted a false memory that you got sick as a child eating certain foods: hard-boiled eggs, dill pickles, strawberry ice cream. And we found that once we planted this false memory, people didn't want to eat the foods as much at an outdoor picnic. The false memories aren't necessarily bad or unpleasant. If we planted a warm, fuzzy memory involving a healthy food like asparagus, we could get people to want to eat asparagus more. And so what these studies are showing is that you can plant false memories and they have repercussions that affect behavior long after the memories take hold.
เมื่อฉันได้กลับไปทำงาน ฉันก็ตั้งคำถามว่า ถ้าฉันฝังความทรงจำเท็จลงในจิตใจของคุณ มันจะมีผลสะท้อนที่ตามมาหรือไม่ มันจะมีผลกระทบกับความคิดของคุณ หรือพฤติกรรมของคุณในเวลาต่อมาหรือไม่ การค้นคว้าแรกที่เราได้ฝังความจำเท็จไว้ว่า ตอนที่คุณเป็นเด็ก คุณไม่สบายจากการกินอาหารบางอย่าง เช่น ไข่ต้ม ผักดอง ไอศครีมรสสตอเบอร์รี่ เราได้พบว่า เมื่อเราฝังความทรงจำเท็จแบบนี้ไปแล้ว มันทำให้ผู้คนลดความอยากอาหารลง เวลาไปปิคนิคข้างนอก ความทรงจำเท็จ ไม่จำเป็นต้องเลวร้าย หรือไม่น่าพอใจเสมอไป ถ้าเราฝังความทรงจำที่อบอุ่น เกี่ยวกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างหน่อไม้ฝรั่ง เราก็ทำให้คนอยากกินหน่อไม้ฝรั่งมากขึ้น ดังนั้น การค้นคว้าเหล่านี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่า คุณสามารถฝังความทรงจำเท็จ และมันก็จะมีผลสะท้อน ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม เนิ่นนานหลังจากที่ความทรงจำคงอยู่
Well, along with this ability to plant memories and control behavior obviously come some important ethical issues, like, when should we use this mind technology? And should we ever ban its use? Therapists can't ethically plant false memories in the mind of their patients even if it would help the patient, but there's nothing to stop a parent from trying this out on their overweight or obese teenager. And when I suggested this publicly, it created an outcry again. "There she goes. She's advocating that parents lie to their children."
แต่ที่มาพร้อมกับความสามารถในการ ฝังความทรงจำ และการควบคุมพฤติกรรม ที่เห็นได้ชัดก็คือประเด็นเรื่องจริยธรรมบางประเด็นที่สำคัญ เช่น เราควรจะใช้เทคโนโลยีทางด้านจิตใจนี้ได้เมื่อไหร่ และ มันควรจะแม้แต่ถูกนำมาใช้หรือไม่ ตามจริยธรรม นักบำบัดไม่ควรฝังความจำเท็จ ลงในจิตใจของคนไข้ ถึงแม้ว่ามันจะช่วยในการรักษา แต่มันไม่ควรจะมีอะไรมาหยุดยั้งคนที่เป็นพ่อแม่ที่จะลองทำดู กับลูกของพวกเขาที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน และเมื่อฉันแนะนำอย่างนี้ออกไป ก็เกิดการโวยวายคัดค้านขึ้นมาอีก "เอาอีกแล้วไง เธอสนับสนุนให้พ่อแม่โกหกลูก"
Hello, Santa Claus. (Laughter)
สวัสดีค่ะ ซานตาคลอส (เสียงหัวเราะ)
I mean, another way to think about this is, which would you rather have, a kid with obesity, diabetes, shortened lifespan, all the things that go with it, or a kid with one little extra bit of false memory? I know what I would choose for a kid of mine.
ฉันหมายถึงว่า เรามองมันได้อีกแง่หนึ่ง คุณจะเลือกอะไรระหว่าง ลูกที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน อายุสั้น และอะไรต่อมิอะไรที่ตามมา หรือลูกที่มีความทรงจำเท็จนิดหน่อย ฉันรู้ว่าจะเลือกอะไรเพื่อลูกของฉันเอง
But maybe my work has made me different from most people. Most people cherish their memories, know that they represent their identity, who they are, where they came from. And I appreciate that. I feel that way too. But I know from my work how much fiction is already in there. If I've learned anything from these decades of working on these problems, it's this: just because somebody tells you something and they say it with confidence, just because they say it with lots of detail, just because they express emotion when they say it, it doesn't mean that it really happened. We can't reliably distinguish true memories from false memories. We need independent corroboration. Such a discovery has made me more tolerant of the everyday memory mistakes that my friends and family members make. Such a discovery might have saved Steve Titus, the man whose whole future was snatched away by a false memory.
แต่อาจจะเป็นเพราะงานของฉัน ทำให้ฉันแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่มักจะทะนุถนอนความทรงจำของตัวเอง รู้ดีว่ามันแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ว่าเป็นใคร มาจากไหน และฉันก็เข้าใจถึงคุณค่าในสิ่งนั้น ฉันก็รู้สึกอย่างเดียวกัน แต่ฉันได้เรียนรู้จากงานของฉันว่า ในความทรงจำมันมีเรื่องที่แต่งขึ้นอยู่มากมายเท่าไหร่ ถ้าฉันจะได้เรียนรู้อะไรจากหลายสิบปี ของการพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ก็คือ เพียงแค่มีใครบางคนบอกอะไรบางอย่างกับคุณ และเชาพูดด้วยความมั่นใจ เพียงเพราะเขาบอกรายละเอียดได้เยอะ เพียงเพราะเขาแสดงอารมณ์ตอนที่พูดออกมา ไม่ได้หมายความว่ามันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ เราไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างความทรงจำที่แท้จริง กับความทรงจำเท็จ อย่างน่าเชื่อถือได้ เราจำเป็นต้องมีการหาพยานหลักฐานสนับสนุน ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย การค้นพบดังกล่าว ทำให้ฉันเกิดความอดทน ต่อความผิดพลาดของความจำที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ที่เกิดขึ้นโดยเพื่อนๆ และครอบครัวของฉัน การค้นพบดังกล่าวอาจจะช่วยสตีฟ ไททัสไว้ได้ ชายคนที่อนาคตทั้งหมดของเขาถูกกระชากไป โดยความทรงจำเท็จ
But meanwhile, we should all keep in mind, we'd do well to, that memory, like liberty, is a fragile thing. Thank you. Thank you. Thank you. (Applause) Thanks very much. (Applause)
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ควรจำให้ขึ้นใจว่า มันจะดีกว่าสำหรับเรา ว่าความทรงจำ เช่นเดียวกับอิสรภาพ เป็นสิ่งที่เปราะบาง ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมากค่ะ (เสียงปรบมือ)