The technology likely to have the greatest impact on the next few decades has arrived. And it's not social media. It's not big data. It's not robotics. It's not even AI. You'll be surprised to learn that it's the underlying technology of digital currencies like Bitcoin. It's called the blockchain. Blockchain.
เทคโนโลยีที่ดูเหมือน จะส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในอีกสองสามทศวรรษข้างหน้า ได้มาถึงแล้ว และมันไม่ใช่สื่อสังคมออนไลน์ มันไม่ได้เป็นบิ๊กดาต้า (Big Data) มันไม่ได้เป็นวิทยาการหุ่นยนต์ มันไม่ได้เป็นแม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์ คุณจะประหลาดใจเมื่อรู้ว่า มันเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน ของเงินดิจิตอล อย่างเช่น บิทคอยน์ มันถูกเรียกว่า บล็อกเชน (Block chain)
Now, it's not the most sonorous word in the world, but I believe that this is now the next generation of the internet, and that it holds vast promise for every business, every society and for all of you, individually.
ครับ มันไม่ได้เป็นคำ ที่ดังก้องกังวาลที่สุดในโลก แต่ผมเชื่อว่าในตอนนี้ เรื่องนี้เป็นยุคต่อไปของอินเตอร์เน็ต และก็เชื่อว่ามันจะรองรับคำมั่นสัญญา สำหรับทุก ๆ ธุรกิจทุก ๆ สังคม และสำหรับคุณทุกคน เป็นรายบุคคล
You know, for the past few decades, we've had the internet of information. And when I send you an email or a PowerPoint file or something, I'm actually not sending you the original, I'm sending you a copy. And that's great. This is democratized information. But when it comes to assets -- things like money, financial assets like stocks and bonds, loyalty points, intellectual property, music, art, a vote, carbon credit and other assets -- sending you a copy is a really bad idea. If I send you 100 dollars, it's really important that I don't still have the money --
ครับ ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมานั้น เรามีข้อมูลอินเตอร์เน็ต เมื่อผมส่งอีเมลไปให้คุณ หรือ ไฟล์พาวเวอร์พ้อยท์ หรือบางสิ่งบางอย่าง จริง ๆ ผมไม่ได้ส่งต้นฉบับไปให้คุณ แต่ผมส่งสำเนาไปให้คุณ และนั่นมันเยี่ยมยอด เรื่องนี้เป็นข้อมูลที่ ถูกทำให้เป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องของทรัพย์สิน อย่างเช่น เงินตรา ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น หุ้น และ พันธบัตร การเก็บสะสมแต้ม ทรัพย์สินทางปัญญา ดนตรี ศิลปะ คะแนนเสียง คาร์บอนเครดิต และทรัพย์สินอย่างอื่น การส่งสำเนาไปให้คุณ เป็นความคิดที่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ถ้าผมส่งเงิน 100 ดอลล่าร์ไปให้คุณ มันสำคัญจริง ๆ ว่าผมไม่ได้ยังคง มีเงินนั้นอยู่--
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
and that I can't send it to you. This has been called the "double-spend" problem by cryptographers for a long time.
และผมก็ไม่สามารถส่งเงินนั้นไปให้คุณ ปัญหานี้เรียกว่า "จ่ายสองต่อ" (Double spending) โดยนักวิทยาการเข้ารหัสลับ มาเป็นเวลานาน
So today, we rely entirely on big intermediaries -- middlemen like banks, government, big social media companies, credit card companies and so on -- to establish trust in our economy. And these intermediaries perform all the business and transaction logic of every kind of commerce, from authentication, identification of people, through to clearing, settling and record keeping. And overall, they do a pretty good job. But there are growing problems.
ในวันนี้ ทั้งหมดนั้น เราจึงต้องอาศัยคนกลางใหญ่ ๆ คนกลาง อย่างเช่น ธนาคาร รัฐบาล บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ๆ บริษัทเครดิตการ์ดใหญ่ ๆ และอื่น ๆ เพื่อสร้างความไว้วางใจขึ้น ในเศรษฐกิจของเรา และตัวกลางเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ ด้านตรรกะทางธุรกิจและธุรกรรมทั้งหมด ของการค้าขายทุกประเภท ตั้งแต่เรื่องการพิสูจน์ตัวตน การแสดงตัวของบุคคล ผ่านทางการเรียกเก็บเงิน การชำระเงิน และการบันทึกข้อมูล โดยรวมแล้ว พวกเขาทำงานได้ดีมาก แต่ก็มีปัญหาที่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ
To begin, they're centralized. That means they can be hacked, and increasingly are -- JP Morgan, the US Federal Government, LinkedIn, Home Depot and others found that out the hard way. They exclude billions of people from the global economy, for example, people who don't have enough money to have a bank account. They slow things down. It can take a second for an email to go around the world, but it can take days or weeks for money to move through the banking system across a city. And they take a big piece of the action -- 10 to 20 percent just to send money to another country. They capture our data, and that means we can't monetize it or use it to better manage our lives. Our privacy is being undermined. And the biggest problem is that overall, they've appropriated the largesse of the digital age asymmetrically: we have wealth creation, but we have growing social inequality.
พวกเขารวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง นั่นหมายถึงว่าพวกเขาสามารถถูกแฮ็กได้ และก็ถูกแฮ็กเพิ่มขึ้น บริษัทเจพีมอร์แกน รัฐบาลกลางสหรัฐ สื่อออนไลด์ลิงด์อิน โฮมดีพอต และอื่น ๆ เมื่อพบก็ต้องเดือดร้อนยุ่งยาก พวกเขาแยกคนหลายพันล้านคน ออกไปจากเศรษฐกิจโลก ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีเงินพอ ที่จะมีบัญชีฝากธนาคาร พวกเขาทำให้เรื่องให้มันช้าลง มันใช้แค่หนึ่งวินาทีเพื่อส่งอีเมล ไปรอบโลกได้ แต่มันใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ก็ได้ เพื่อให้เงินย้ายผ่านระบบธนาคาร ไปที่เมืองต่าง ๆ และพวกเขาได้ส่วนแบ่งที่มาก จากการทำงานนั้น 10-20 เปอร์เซ็นต์ แค่เพียงส่งเงิน ไปอีกประเทศหนึ่ง พวกเขายึดครองข้อมูลของเราไว้ หมายถึง เราไม่สามารถเอาตัวเงินออกมา หรือใช้เงินนั้นไปเพื่อจัดการอย่างดีกว่า กับชีวิตของเรา ความเป็นส่วนตัวของเราถูกบั่นทอนไป และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ โดยรวมแล้ว พวกเขาได้ยึดครองเงินปันที่ส่งไป ของยุคดิจิตอลอย่างไม่สมดุลกัน กล่าวคือ เรามีการสร้างความมั่งคั่ง แต่เรา มีความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมเพิ่มมากขึ้น
So what if there were not only an internet of information, what if there were an internet of value -- some kind of vast, global, distributed ledger running on millions of computers and available to everybody. And where every kind of asset, from money to music, could be stored, moved, transacted, exchanged and managed, all without powerful intermediaries? What if there were a native medium for value?
ดังนั้น จะเป็นอย่างไรหากเรา ไม่มีแค่อินเตอร์เน็ตในเรื่องของข้อมูล สมมุติว่าเรามีอินเตอร์เน็ต ในเรื่องของมูลค่า ในแบบของบัญชีที่ไม่ได้เก็บไว้ที่ศูนย์กลาง (Distributed ledger) ที่กว้างระดับโลก กำลังวิ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่อง และคนทุกคนสามารถเข้าไปใช้ได้ และเป็นที่ซึ่งทรัพย์สินทุกรูปแบบ ตั้งแต่เงินจนถึงดนตรี สามารถถูกเก็บไว้ เคลื่อนย้ายไป ซื้อขาย แลกเปลี่ยน และจัดการได้ ทั้งหมดนั้นทำได้โดยไม่ต้องมีคนกลาง ผู้ทรงอำนาจ จะเป็นอย่างไร หากมีตัวกลางของมูลค่าแท้ ๆ ขึ้นมา
Well, in 2008, the financial industry crashed and, perhaps propitiously, an anonymous person or persons named Satoshi Nakamoto created a paper where he developed a protocol for a digital cash that used an underlying cryptocurrency called Bitcoin. And this cryptocurrency enabled people to establish trust and do transactions without a third party. And this seemingly simple act set off a spark that ignited the world, that has everyone excited or terrified or otherwise interested in many places. Now, don't be confused about Bitcoin -- Bitcoin is an asset; it goes up and down, and that should be of interest to you if you're a speculator. More broadly, it's a cryptocurrency. It's not a fiat currency controlled by a nation-state. And that's of greater interest. But the real pony here is the underlying technology. It's called blockchain.
ครับ ในปี ค.ศ 2008 อุตสาหกรรมการเงิน ล่มสลายลง และบางทีเมื่อฤกษ์งามยามดี บุคคลนิรนามคนหนึ่งหรือหลายคน ที่ชื่อว่า ซาโตชิ นากาโมโต สร้างกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ซึ่งพัฒนาเป็น เกณฑ์วิธีของเงินสดดิจิตอล (Digital cash) ซึ่งใช้สกุลเงินดิจิตอลที่เรียกกันว่า บิทคอย (Bitcoin) เป็นตัวรองรับ และสกุลเงินดิจิตอลตัวนี้เองทำให้ผู้คน สามารถก่อตั้งเครดิดขึ้นมาและทำธุรกิจได้ โดยไม่ต้องมีบุคคลที่สาม และงานที่ดูง่าย ๆ นี้เอง ได้จุดชนวน ซึ่งจุดชนวนโลก ซึ่งทำให้ทุกคนตื่นเต้น หวาดกลัว หรือไม่ก็สนอกสนใจ ขึ้นในหลาย ๆ ที่ ครับ อย่าสับสนในเรื่องของบิทคอย บิทคอยเป็นทรัพย์สิน มันขึ้นได้ลงได้ และเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่คุณควรจะสนใจ หากว่าคุณเป็นนักเก็งกำไร พูดง่าย ๆ กว้าง ๆ มันเป็นสกุลเงินดิจิตอล มันไม่ได้เป็นเงินกระดาษที่พิมพ์ออกมา โดยการควบคุมของรัฐประชาชาติ และนั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า แต่ที่เป็นเรื่องจริง ๆ ตรงนี้คือ เทคโนโลยี่ที่รองรับมัน ที่เรียกกันว่า บล็อกเชน
So for the first time now in human history, people everywhere can trust each other and transact peer to peer. And trust is established, not by some big institution, but by collaboration, by cryptography and by some clever code. And because trust is native to the technology, I call this, "The Trust Protocol."
จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่คนทุกหนทุกแห่งไว้วางใจกันและกันได้ และทำธุรกิจค้าขายระหว่างจุดต่อจุด และความไว้วางใจกันก็ก่อเกิดขึ้นมาได้ ไม่ได้เกิดจากสถาบันใหญ่โต แต่เกิดขึ้นโดยการร่วมมือกัน โดยการเข้ารหัส และโดยรหัสที่ชาญฉลาด และเพราะเหตุว่าความไว้วางใจกัน เป็นเนื้อแท้ของเทคโนโลยี เรียกมันว่า "เกณฑ์วิธีไว้วางใจ" (The Trust Protocol)
Now, you're probably wondering: How does this thing work? Fair enough. Assets -- digital assets like money to music and everything in between -- are not stored in a central place, but they're distributed across a global ledger, using the highest level of cryptography. And when a transaction is conducted, it's posted globally, across millions and millions of computers. And out there, around the world, is a group of people called "miners." These are not young people, they're Bitcoin miners. They have massive computing power at their fingertips -- 10 to 100 times bigger than all of Google worldwide. These miners do a lot of work. And every 10 minutes, kind of like the heartbeat of a network, a block gets created that has all the transactions from the previous 10 minutes. Then the miners get to work, trying to solve some tough problems.
คุณก็อาจสงสัยว่า ทำไมสิ่งนี้จึงทำงานได้ ก็พอเข้าใจกันได้ ทรัพย์สินนั้น ทรัพย์สินดิจิตอล เช่น เงิน จนถึง ดนตรี และที่อยู่ระหว่างนั้น ไม่ได้ถูกเก็บไว้ที่กองกลาง แต่มันเป็นบัญชีที่ถูกแจกจ่ายไปทั่วโลก ใช้การเข้ารหัสระดับสูง และเมื่อมีการทำธุรกิจค้าขายเกิดขึ้น มันก็ถูกโพสท์เข้าไปทั้งโลก ทั่วทั้งคอมพิวเตอร์หลาย ๆ ล้านเครื่อง และที่ตรงนั้น รอบไปทั้งโลก คือกลุ่มของคนที่เรียกกันว่า "มายเนอร์" (Miners) คนเหล่านี้ไม่ใช่คนหนุ่มสาว แต่เป็นบิทคอยมายเนอร์ พวกเขามีพลังอำนาจในการใช้คอมพิวเตอร์ มากมายอยู่ที่ปลายนิ้ว 10 ถึง 100 เท่าใหญ่ยิ่งกว่ากูเกิลทั้งหมด ที่มีอยู่ทั่วโลก มายเนอร์เหล่านี้ทำงานมากมาย และในทุก ๆ 10 นาที่ คล้าย ๆ กับเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจ ของเครือข่าย บล็อกธุรกรรมออนไลน์ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งมีข้อมูลการทำธุรกรรมทั้งหมด จากเมื่อ 10 นาทีก่อน แล้วมายเนอร์เหล่านั้นก็จะเข้าทำงาน โดยพยายามที่จะแก้ปัญหายาก ๆ ที่มี
And they compete: the first miner to find out the truth and to validate the block, is rewarded in digital currency, in the case of the Bitcoin blockchain, with Bitcoin. And then -- this is the key part -- that block is linked to the previous block and the previous block to create a chain of blocks. And every one is time-stamped, kind of like with a digital waxed seal. So if I wanted to go and hack a block and, say, pay you and you with the same money, I'd have to hack that block, plus all the preceding blocks, the entire history of commerce on that blockchain, not just on one computer but across millions of computers, simultaneously, all using the highest levels of encryption, in the light of the most powerful computing resource in the world that's watching me. Tough to do. This is infinitely more secure than the computer systems that we have today. Blockchain. That's how it works.
และพวกเขาก็แข่งขันกัน เช่น มายเนอร์คนแรกที่พบความจริง และทำให้บล็อกนั้นใช้การได้ ก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินดิจิตอล ในกรณีของบล็อกเชนบิทคอยน์ ก็จะได้รางวัลเป็นบิทคอยน์ และแล้ว ตรงนี้เป็นกุญแจสำคัญ บล็อกนั้นก็จะถูกเชื่อมต่อ เข้ากับบล็อกก่อนหน้านี้ และก็บล็อกก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างสายโซ่ที่เชื่อมต่อกันของบล็อก และทุก ๆ บล็อกก็ถูกประทับเวลาไว้ คล้ายกับประทับตราไว้ด้วยขี้ผึ้งแบบดิจิตอล ดังนั้น หากคุณอยากจะไปแฮ็กบล็อก ๆ หนึ่ง และบอกว่า จ่ายเงินมาให้คุณ ด้วยเงินแบบเดียวกันนั้น ผมก็ต้องแฮ็กบล็อกที่ว่านั้น บวกกับบล็อกก่อนหน้านั้นทั้งหมด หรือประวัติของการค้าขายในบล็อกเชน ทั้งหมดนั้น ไม่เพียงในคอมพิวเตอร์แค่เครื่องหนึ่ง แต่ทั่วทั้งคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่อง ในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดนั้นใช้การเข้ารหัสระดับสูง เมื่อพิจารณาถึงแหล่งคอมพิวเตอร์ ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งกำลังเฝ้าดูผมอยู่ เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ สิ่งนี้จึงปลอดภัยกว่าอย่างเหลือคณานับ ยิ่งกว่าระบบคอมพิวเตอร์ ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน บล็อกเชน นั่นแหละคือการทำงานของมัน
So the Bitcoin blockchain is just one. There are many. The Ethereum blockchain was developed by a Canadian named Vitalik Buterin. He's [22] years old, and this blockchain has some extraordinary capabilities. One of them is that you can build smart contracts. It's kind of what it sounds like. It's a contract that self-executes, and the contract handles the enforcement, the management, performance and payment -- the contract kind of has a bank account, too, in a sense -- of agreements between people. And today, on the Ethereum blockchain, there are projects underway to do everything from create a new replacement for the stock market to create a new model of democracy, where politicians are accountable to citizens.
บิตคอยน์บล็อกเชน จึงเป็นแค่เพียงอย่างหนึ่ง มันมีมากมายเยอะแยะ อิเตียเรียมบล็อกเชน ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดย ชาวคานาดา ชื่อว่า ไวทาลิก บิวเทอริน เขาอายุ 22 ปี และบล็อกเชนที่ว่านี้ มีความสามารถพิเศษ บางประการ ประการหนึ่งก็คือ คุณสามารถ สร้างสมาร์ทคอนแทคขึ้นได้ คล้ายกับชื่อของมัน มันเป็นคอนแทคที่มีผลบังคับทันที และคอนแทคนั้นดำเนินการเรื่องการบังคับใช้ การจัดการ การปฏิบัติงาน และการชำระเงิน คอนแทคนั้นจะว่าไป ก็คล้ายกับมีบัญชีธนาคารอยู่ด้วย ของข้อตกลงระหว่างบุคคล และในปัจจุบัน ในอิเตียเรียมบล็อกเชน มีโครงการต่าง ๆ กำลังดำเนินอยู่ เพื่อทำทุก ๆ เรื่อง ตั้งแต่สร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาแทนที่ ตลาดหลักทรัพย์ จนถึงรูปแบบใหม่ของประชาธิปไตย ซึ่งนักการเมืองต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
So to understand what a radical change this is going to bring, let's look at one industry, financial services. Recognize this? Rube Goldberg machine. It's a ridiculously complicated machine that does something really simple, like crack an egg or shut a door. Well, it kind of reminds me of the financial services industry, honestly. I mean, you tap your card in the corner store, and a bitstream goes through a dozen companies, each with their own computer system, some of them being 1970s mainframes older than many of the people in this room, and three days later, a settlement occurs. Well, with a blockchain financial industry, there would be no settlement, because the payment and the settlement is the same activity, it's just a change in the ledger. So Wall Street and all around the world, the financial industry is in a big upheaval about this, wondering, can we be replaced, or how do we embrace this technology for success?
เพื่อให้เข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงที่สุดโต่ง สิ่งนี้จะนำอะไรมาให้นั้น เรามาดูที่อุตสาหกรรมหนึ่ง คือ บริการด้านการเงิน จำสิ่งนี้ได้หรือไม่ครับ เครื่องรูบโกลด์เบิร์ก (Rube Goldberg) เป็นเครืองมือที่ซับซ้อนอย่างตลก ซึ่งทำบางสิ่งบางอย่างที่ง่ายอย่างยิ่ง เช่น ตอกไข่ หรือ ปิดประตู ครับ คล้ายกับเตือนผมถึง อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน พูดตรง ๆ ผมหมายถึง คุณแตะบัตรของคุณ ในร้านสะดวกซื้อตรงมุมถนน กระแสการส่งรับข้อมูลบิตสตรีม (Bitstream) ก็จะไปตามบริษัททั้งหลาย แต่ละบริษัทก็มีระบบคอมพิวเตอร์ของตนเอง ซึ่งบางบริษัทเป็นเมนเฟรม ของช่วงปี ค.ศ 1970-1979 ที่มีอายุมากกว่าหลาย ๆ ท่านในห้องนี้ แล้วสามวันต่อมาการชำระหนี้ จึงเกิดขึ้น ครับ เมื่อใช้อุตสาหกรรมการเงินบล็อกเชน ก็จะไม่มีการชำระหนี้ เพราะว่าการจ่ายเงินและการชำระหนี้ เป็นกิจกรรมอย่างเดียวกัน มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในบัญชี ดังนั้นวอลสตรีทและทั้งหมดทั่วโลก อุตสาหกรรมการเงินนั้น จึงอยู่ในภาวะวุ่นวาย ครั้งใหญ่ในเรื่องนี้ สงสัยกันว่า ตัวเรานั้นจะถูกแทนที่หรือไม่ หรือว่า เราจะรับเทคโนโลยีนี้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร
Now, why should you care? Well, let me describe some applications. Prosperity. The first era of the internet, the internet of information, brought us wealth but not shared prosperity, because social inequality is growing. And this is at the heart of all of the anger and extremism and protectionism and xenophobia and worse that we're seeing growing in the world today, Brexit being the most recent case.
แล้วทีนี้ ทำไมเราต้องสนใจด้วยเล่า ครับ ขอให้ผมอธิบายถึงการนำไปใช้บางอย่าง ความเจริญรุ่งเรือง ยุคแรก ๆ ของอินเตอร์เน็ตนั้น ข้อมูลอินเตอร์เน็ต นำเราไปสู่ความมั่งคั่ง แต่ไม่ได้แบ่งปันความเจริญรุ่งเรือง เพราะความเหลื่อมลํ้าทางสังคมมีเพิ่มมากขึ้น และสิ่งนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของทั้งหมด ของความโกรธเคือง ลัทธิหัวรุนแรง ลัทธิปกป้องทางการค้า ความเกลียดกลัว ชาวต่างชาติ และที่เลวร้ายกว่านั้น ซึ่งเราก็เห็นว่ากำลังเติบโตขึ้นในโลก ทุกวันนี้ เบร็กซิท (Brexit) เป็นกรณีล่าสุด
So could we develop some new approaches to this problem of inequality? Because the only approach today is to redistribute wealth, tax people and spread it around more. Could we pre-distribute wealth? Could we change the way that wealth gets created in the first place by democratizing wealth creation, engaging more people in the economy, and then ensuring that they got fair compensation? Let me describe five ways that this can be done.
ดังนั้น เราจะพัฒนาวิธีใหม่ ๆ บางอย่าง สำหรับปัญหาความเหลื่อมลํ้านี้ได้หรือไม่ เพราะว่าวิธีการเดียวในปัจจุบัน คือ เพื่อกระจายความมั่งคั่งขึ้นมาใหม่ การเก็บภาษีอากร และขยายมันออกไปโดยรอบมากขึ้น เราอาจจะกระจายความมั่งคั่งขึ้นมาล่วงหน้า ได้หรือไม่ เราอาจจะเปลี่ยนวิธีที่ความมั่งคั่ง ถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรก ได้หรือไม่ โดยทำให้การสร้างความมั่งคั่ง ให้เป็นประชาธิปไตย นำคนเข้ามามีส่วนร่วมในด้านเศรษฐกิจ ให้มากขึ้น แล้วก็ทำให้มั่นใจได้ว่า พวกเขาได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ขอให้ผมอธิบายวิธีการ 5 วิธี ที่จะทำสิ่งนี้ได้
Number one: Did you know that 70 percent of the people in the world who have land have a tenuous title to it? So, you've got a little farm in Honduras, some dictator comes to power, he says, "I know you've got a piece of paper that says you own your farm, but the government computer says my friend owns your farm." This happened on a mass scale in Honduras, and this problem exists everywhere. Hernando de Soto, the great Latin American economist, says this is the number one issue in the world in terms of economic mobility, more important than having a bank account, because if you don't have a valid title to your land, you can't borrow against it, and you can't plan for the future.
วิธีที่หนึ่ง คุณทราบหรือไม่ว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของคนในโลก ที่มีที่ดินนั้น สิทธิการครอบครองนั้นแทบจะไม่มีความหมาย ดังนั้น หากคุณมีฟาร์มเล็ก ๆ ในฮอนดูรัส เมื่อเผด็จการเข้ามามีอำนาจ และบอกว่า "ผมรู้นะว่าคุณมีแผ่นกระดาษ ที่บอกว่าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มของคุณ แต่คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลบอกว่า เพื่อนของผมเป็นเจ้าของฟาร์มของคุณนี้" เรื่องนี้เกิดขึ้นมากมายทั่วไปในฮอนดูรัส และปัญหานี้มีอยู่ในทุก ๆ ที่ เฮอนานโด เดอะ โซโต นักเศรษฐศาสตร์ ลาตินอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาอันดับแรก ในโลก ในเรื่องการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ สำคัญยิ่งกว่าการมีบัญชีฝากเงินในธนาคาร เพราะว่าหากคุณไม่มีกรรมสิทธิที่ถูกต้อง ในที่ดินของคุณ ก็ใช้มันคํ้าประกันกู้เงินไม่ได้ และคุณก็วางแผนสำหรับอนาคตไม่ได้
So today, companies are working with governments to put land titles on a blockchain. And once it's there, this is immutable. You can't hack it. This creates the conditions for prosperity for potentially billions of people.
ดังนั้น ปัจจุบัน บริษัททั้งหลาย จึงกำลังทำงานกับรัฐบาล เพื่อนำเอากรรมสิทธิที่ดินไปไว้ในบล็อกเชน และทันทีที่มันอยู่ที่นั่น ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คุณแฮ็กมันไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้เกิดสภาวะ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา สำหรับคนหลายพันล้านคนที่จะมี ในอนาคต
Secondly: a lot of writers talk about Uber and Airbnb and TaskRabbit and Lyft and so on as part of the sharing economy. This is a very powerful idea, that peers can come together and create and share wealth. My view is that ... these companies are not really sharing. In fact, they're successful precisely because they don't share. They aggregate services together, and they sell them. What if, rather than Airbnb being a $25 billion corporation, there was a distributed application on a blockchain, we'll call it B-Airbnb, and it was essentially owned by all of the people who have a room to rent. And when someone wants to rent a room, they go onto the blockchain database and all the criteria, they sift through, it helps them find the right room, and then the blockchain helps with the contracting, it identifies the party, it handles the payments just through digital payments -- they're built into the system. And it even handles reputation, because if she rates a room as a five-star room, that room is there, and it's rated, and it's immutable. So, the big sharing-economy disruptors in Silicon Valley could be disrupted, and this would be good for prosperity.
วิธีที่สอง นักเขียนจำนวนมากพูดถึง อูเบอร์ (Uber) แอร์บีเอ็นบี (Airbnb) ทาส์คแร็บบิท (Taskrabbit) ลิฟท์ (Lyft) และอื่น ๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน เรื่องนี้เป็นแนวคิดที่ทรงพลังมาก ที่ให้เพื่อนสามารถมาร่วมกันสร้างและแบ่งปัน ความรํ่ารวยมั่งคั่ง ในความเห็นของผมคือ ... บริษัทเหล่านี้ไม่ได้แบ่งปันกันอย่างแท้จริง ในความเป็นจริง ว่ากันตรง ๆ ที่สำเร็จได้ ก็เพราะพวกเขาไม่ได้แบ่งปัน พวกเขารวบรวมบริการไว้ แล้วก็ขายมันไป สมมุติว่าแทนที่จะใช้บริการของแอร์บีเอ็นบี ซึ่งเป็นบริษัท 25 พันล้านดอลลาร์ กลับมีโปรแกรมการใช้กันกระจายออกไป ในบล็อกเชน เราจะเรียกมันว่า บีแอร์บีเอ็นบี และที่สำคัญ คนทั้งหมดนั้นเป็นเจ้าของมัน ผู้คนที่มีห้องให้เช่า และเมื่อมีใครต้องการจะเช่าห้อง ๆ หนึ่ง พวกเขาก็เข้าไปในฐานข้อมูลของบล็อกเชน และเกณฑ์ทั้งหมดเหล่านั้น แล้วเขาก็เลือกดู มันจะช่วยให้พบห้องพัก ที่เหมาะสมได้ แล้วบล็อกเชนยังช่วยเกี่ยวกับการติดต่อ มันระบุได้ว่าใครเป็นใคร มันจัดการเรื่องการชำระเงิน แค่ผ่านทางการชำระเงินดิจิตอล ซึ่งถูกสร้างไว้ในระบบ จัดการได้แม้กระทั่งด้านชื่อเสียง เพราะว่าถ้าเธอจัดอันดับห้องเป็นระดับห้าดาว ห้องนั้นก็ยังอยู่ที่นั่น และมันก็ถูกจัดระดับไว้แล้ว และก็เปลี่ยนไม่ได้ ผู้ที่ทำให้เศรษฐกิจแบบแบ่งปันล่มรายใหญ่ ๆ ในซิลิคอนแวลลีย์นั้น ก็อาจถูกทำให้ล่มไปได้ และเรื่องนี้ก็จะดีต่อความเจริญรุ่งเรือง
Number three: the biggest flow of funds from the developed world to the developing world is not corporate investment, and it's not even foreign aid. It's remittances. This is the global diaspora; people have left their ancestral lands, and they're sending money back to their families at home. This is 600 billion dollars a year, and it's growing, and these people are getting ripped off.
วิธีที่สาม การไหลของเงินทุนที่ใหญ่ที่สุด จากโลกที่พัฒนาแล้ว ไปยังโลกที่กำลังพัฒนา ไม่ใช่การลงทุนของบริษัท และไม่ใช่แม้กระทั่งเงินช่วยจากต่างชาติ มันเป็นการส่งเงินไปให้กัน ซึ่งเป็นเรื่องการอพยพของคนในระดับโลก เมื่อคนได้ละทิ้งแผ่นดินของบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ส่งเงินกลับมาให้ครอบครัว ที่บ้าน เรื่องนี้เป็นเงิน 600 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคนเหล่านี้กำลังถูกขโมยเงินไป
Analie Domingo is a housekeeper. She lives in Toronto, and every month she goes to the Western Union office with some cash to send her remittances to her mom in Manila. It costs her around 10 percent; the money takes four to seven days to get there; her mom never knows when it's going to arrive. It takes five hours out of her week to do this.
อนาเลีย โดมินโก ทำงานเป็นแม่บ้าน เธออยู่ในกรุงโตรอนโต ทุก ๆ เดือน เธอไปที่ สำนักงานเวสเทอร์นยูเนียน พร้อมกับเงินสด เพื่อส่งเงินไปให้แม่ของเธอ ในกรุงมนิลา เธอต้องเสียค่าใช้จ่ายราว 10 เปอร์เซ็นต์ และเงินนั้นใช้เวลาสี่ถึงเจ็ดวัน จึงไปถึงที่นั่น แม่ของเธอไม่เคยรู้เลยว่า มันจะมาถึงเมื่อไหร่ เธอใช้เวลาห้าชั่วโมงจากสัปดาห์ของเธอ เพื่อทำเรื่องนี้
Six months ago, Analie Domingo used a blockchain application called Abra. And from her mobile device, she sent 300 bucks. It went directly to her mom's mobile device without going through an intermediary. And then her mom looked at her mobile device -- it's kind of like an Uber interface, there's Abra "tellers" moving around. She clicks on a teller that's a five-star teller, who's seven minutes away. The guy shows up at the door, gives her Filipino pesos, she puts them in her wallet. The whole thing took minutes, and it cost her two percent. This is a big opportunity for prosperity.
เมื่อหกเดือนที่แล้ว อนาเลีย โดมินโก ใช้บล็อกเชน ที่เรียกว่า แอบรา (Abra) จากเครื่องมือในมือถือของเธอ เธอส่งเงินไป 300 ดอลลาร์ มันส่งตรงไปที่มือถือของแม่เธอ โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง แล้วแม่เของเธอก็ดูไปที่มือถือของเธอ คล้าย ๆ กับตัวประสานอูเบอร์อย่างหนึ่ง มีคนจ่ายเงินแอบรา (Abra) เคลื่อนที่ไปทั่ว เธอก็คลิกไปที่เทลเลอร์ ซึ่งเป็นเทลเลอร์ระดับห้าดาว ซึ่งอยู่ไกลออกไปเจ็ดนาที คนนั้นก็มาถึงหน้าประตู นำเงินเปโซพิลิปปินส์มาให้เธอ แล้วเธอก็เอาเงินใส่ในกระเป๋า ทั้งหมดนั้นใช้เวลาไม่กี่นาที และเธอเสียเงินไปสองเปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้เป็นโอกาสใหญ่ สำหรับความเจริญรุ่งเรือง
Number four: the most powerful asset of the digital age is data. And data is really a new asset class, maybe bigger than previous asset classes, like land under the agrarian economy, or an industrial plant, or even money. And all of you -- we -- create this data. We create this asset, and we leave this trail of digital crumbs behind us as we go throughout life. And these crumbs are collected into a mirror image of you, the virtual you. And the virtual you may know more about you than you do, because you can't remember what you bought a year ago, or said a year ago, or your exact location a year ago. And the virtual you is not owned by you -- that's the big problem.
วิธีที่สี่ ทรัพย์สินที่ทรงอำนาจที่สุด ของยุคดิจิตอล คือ ข้อมูล และข้อมูลก็เป็นประเภทของทรัพย์สิน แบบใหม่อย่างแท้จริง บางทีอาจใหญ่กว่าทรัพย์สิน ประเภทก่อน ๆ ก็ได้ อย่างเช่น ที่ดินในเศรษฐกิจแบบการเกษตร หรือโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งเงินตรา และทุก ๆ ท่านพวกเราสร้างข้อมูลนี้ขึ้นมา เราสร้างทรัพย์สินขึ้นมา และเราก็สร้างร่องรอยของเศษชิ้นดิจิตอล ทิ้งไว้เบื้องหลังเรา ตลอดทางที่เราดำเนินชีวิต และเศษชิ้นพวกนี้ก็ถูกรวบรวมเป็น ภาพสะท้อนในกระจกเงาของคุณ เป็นภาพเสมือนของคุณ และภาพเสมือนซึ่งอาจรู้เรื่องของคุณ ยิ่งกว่าที่คุณรู้ เพราะว่าคุณจำไม่ได้ว่าคุณซื้ออะไรไปบ้าง เมื่อปีที่แล้ว พูดอะไรไปบ้างเมื่อปีที่แล้ว อยู่ตรงไหนบ้างปีที่แล้ว แต่ภาพเสมือนคุณที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นของคุณ นั่นแหละคือปัญหาใหญ่
So today, there are companies working to create an identity in a black box, the virtual you owned by you. And this black box moves around with you as you travel throughout the world, and it's very, very stingy. It only gives away the shred of information that's required to do something. A lot of transactions, the seller doesn't even need to know who you are. They just need to know that they got paid.
ดังนั้นในวันนี้ มีหลายบริษัทกำลังทำงานอยู่ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ขึ้นมาในกล่องสีดำ ซึ่งก็คือ ภาพเสมือนคุณ ที่คุณเองเป็นเจ้าของ และกล่องดำใบนี้ก็เคลื่อนที่ไปกับคุณ ขณะคุณเดินทางไปทั่วโลก และมันตระหนี่ขี้เหนียวอย่างมาก ๆ มันจะให้แค่เพียงเศษชิ้นของข้อมูล เท่าที่จำเป็นต้องเอาไปทำบางสิ่ง ในธุรกรรมมากมาย ผู้ขายไม่จำเป็นต้องรู้แม้กระทั่งว่า คุณเป็นใคร พวกเขาต้องรู้แค่เพียงว่าพวกเขาจะได้รับเงิน
And then this avatar is sweeping up all of this data and enabling you to monetize it. And this is a wonderful thing, because it can also help us protect our privacy, and privacy is the foundation of a free society. Let's get this asset that we create back under our control, where we can own our own identity and manage it responsibly.
และแล้วตัวตนเสมือนนี้ก็เก็บกวาด ข้อมูลทั้งหมดไว้ และให้คุณทำให้มันเป็นเงินขึ้นมาได้ และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เพราะว่ามันยังช่วยให้เราปกป้อง ความเป็นส่วนตัวของเราได้ และความเป็นส่วนตัวนั้น เป็นพื้นฐานของสังคมที่เป็นอิสระ ขอให้เราเอาทรัพย์สินที่เราสร้างขึ้นมานี้ กลับมาอยู่ในความควบคุมของเรา ในที่ซึ่งเราเป็นเจ้าของเอกลักษณ์ของเราเอง และจัดการกับมันได้ด้วยความรับผิดชอบ
Finally --
วิธีสุดท้าย
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Finally, number five: there are a whole number of creators of content who don't receive fair compensation, because the system for intellectual property is broken. It was broken by the first era of the internet. Take music. Musicians are left with crumbs at the end of the whole food chain. You know, if you were a songwriter, 25 years ago, you wrote a hit song, it got a million singles, you could get royalties of around 45,000 dollars. Today, you're a songwriter, you write a hit song, it gets a million streams, you don't get 45k, you get 36 dollars, enough to buy a nice pizza.
วิธีสุดท้าย, ข้อที่ห้า มีตัวเลขของผู้สร้างเนื้อหาสาระ ซึ่งไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม เพราะว่าระบบเพื่อทรัพย์สินทางปัญญา ใช้การไม่ได้ มันเสียหายไป ตั้งแต่อินเทอร์เน็ตยุคแรก ๆ ตัวอย่างเช่น ดนตรี นักดนตรีได้รับส่วนแบ่งที่เหลือนิดเดียว ที่ปลายสุดของห่วงโซ่อาหาร คนคงทราบ ถ้าคุณเป็นคนแต่งเพลง เมื่อ 25 ปีก่อน คนเขียนเพลงที่เป็นที่นิยม ได้เงินจากเพลงเป็นล้าน คุณอาจได้ค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 45000 ดอลลาร์ ขณะนี้ คุณเป็นนักแต่งเพลง แต่งเพลงที่คนนิยมกัน เพลงนั้นถูกดาวโหลดเป็นล้าน คุณไม่ได้เงิน 45000 หรอก คุณได้รับ 35 ดอลลาร์ พอที่จะซื้อพิซซ่าดี ๆ กิน
So Imogen Heap, the Grammy-winning singer-songwriter, is now putting music on a blockchain ecosystem. She calls it "Mycelia." And the music has a smart contract surrounding it. And the music protects her intellectual property rights. You want to listen to the song? It's free, or maybe a few micro-cents that flow into a digital account. You want to put the song in your movie, that's different, and the IP rights are all specified. You want to make a ringtone? That's different. She describes that the song becomes a business. It's out there on this platform marketing itself, protecting the rights of the author, and because the song has a payment system in the sense of bank account, all the money flows back to the artist, and they control the industry, rather than these powerful intermediaries. Now, this is --
ดังนั้น อิโมเจน ฮิป นักร้อง-นักแต่งเพลง ที่ได้รับรางวัลแกรมมี ซึ่งขณะนี้กำลังเอาเพลงเข้าไปไว้ใน ระบบนิเวศบล็อกเชน เธอเรียกมันว่า "มายซีเลีย" (Mycelia) เพลงที่ว่านี้มีตัว สัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) ล้อมรอบมัน และเพลงนั้นปกป้องสิทธิทางปัญญา ของเธอไว้ หากคุณต้องการจะฟังเพลงนั้นหรือ ฟังได้ฟรี หรืออาจต้องจ่ายไม่กี่ไมโครเซ็นต์ ซึ่งจะไหลเข้าไปบัญชีดิจิตอล หากอยากจะเอาเพลงไปใส่ใน ภาพยนต์ เรื่องนั้นต่างออกไป ทรัพย์สินทางปัญญาระบุไว้ในทุก ๆ เรื่อง หากอยากทำเป็นสัญญาณเรียก นั่นก็ต่างออกไป เธออธิบายว่า เพลงที่ว่านั้นกลายเป็นธุรกิจ มันอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ เป็นการตลาดให้ตัวมันเอง ปกป้องสิทธิของผู้แต่งเพลง และเพราะว่าเพลงนี้มีระบบของการจ่ายเงิน ในความหมายของบัญชีธนาคาร เงินทั้งหมดจึงไหลกลับไปสู่ศิลปิน คนแต่งเพลงนั้น พวกเขาจึงควบคุมอุตสาหกรรมที่ว่านี้ได้ แทนที่จะเป็นพวกคนกลางที่มีอิทธิพล ครับ นี่คือ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
This is not just songwriters, it's any creator of content, like art, like inventions, scientific discoveries, journalists. There are all kinds of people who don't get fair compensation, and with blockchains, they're going to be able to make it rain on the blockchain. And that's a wonderful thing.
นี่ไม่ใช่แค่นักแต่งเพลง จะเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งใดก็ได้ อย่างเช่น ศิลปะ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ นักข่าว เหล่านี้เป็นคนทุกประเภท ซึ่งไม่ได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรม และเมื่อใช้บล็อกเชน พวกเขาจะสามารถทำเงินได้ในบล็อกเชน และนั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
So, these are five opportunities out of a dozen to solve one problem, prosperity, which is one of countless problems that blockchains are applicable to.
เหล่านี้เป็นโอกาสที่ดีห้าประการ จากเป็นสิบ ๆ อย่าง ที่จะแก้ปัญหาหนึ่งปัญหา คือ ความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหามากมายเหลือคณานับ ซึ่งบล็อกเชนจะถูกนำไปใช้ได้
Now, technology doesn't create prosperity, of course -- people do. But my case to you is that, once again, the technology genie has escaped from the bottle, and it was summoned by an unknown person or persons at this uncertain time in human history, and it's giving us another kick at the can, another opportunity to rewrite the economic power grid and the old order of things, and solve some of the world's most difficult problems, if we will it.
เทคโนโลยีไม่ได้สร้างความเจริญรุ่งเรือง แน่นอนครับ คนเป็นคนสร้าง แต่ในกรณีของผมกับท่านคือ ขอยํ้าอีกครั้ง ภูตผีปีศาจทางเทคโนโลยี หนีออกมาจากขวด ได้แล้ว และมันก็ถูกเรียกตัวมา โดยผู้คนที่เราไม่รู้จัก ณ. เวลาที่ไม่แน่นอนในเสถียรภาพ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาตินี้ และมันกำลังจะให้โอกาสกับเราอีกครั้ง โอกาสที่จะเขียนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โครงข่าย การเชื่อมต่อที่ทรงพลังทางเศรษฐกิจ กับระบบระเบียบแบบที่มีอยู่เดิม และแก้ปัญหาบางปัญหาที่ยากที่สุดของโลก ถ้าหากว่าเรามุ่งมั่นกับมัน
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)