Well, indeed, I'm very, very lucky. My talk essentially got written by three historic events that happened within days of each other in the last two months -- seemingly unrelated, but as you will see, actually all having to do with the story I want to tell you today. The first one was actually a funeral -- to be more precise, a reburial. On May 22nd, there was a hero's reburial in Frombork, Poland of the 16th-century astronomer who actually changed the world. He did that, literally, by replacing the Earth with the Sun in the center of the Solar System, and then with this simple-looking act, he actually launched a scientific and technological revolution, which many call the Copernican Revolution. Now that was, ironically, and very befittingly, the way we found his grave. As it was the custom of the time, Copernicus was actually simply buried in an unmarked grave, together with 14 others in that cathedral. DNA analysis, one of the hallmarks of the scientific revolution of the last 400 years that he started, was the way we found which set of bones actually belonged to the person who read all those astronomical books which were filled with leftover hair that was Copernicus' hair -- obviously not many other people bothered to read these books later on. That match was unambiguous. The DNA matched, and we know that this was indeed Nicolaus Copernicus.
ผมโชคดีมากๆ จริงๆ เรื่องที่ผมจะพูด เป็นเรื่องที่ถูกเขียนขึ้น จากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ 3 เรื่อง ที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่วันติดๆ กัน ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อาจฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่เดี๋ยวคุณจะเข้าใจ ว่าทั้งหมดนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับ เรื่องที่ผมจะพูดในวันนี้ เรื่องแรก เป็นเรื่องของงานศพครับ จะให้ถูกต้องกว่านี้ มันเป็นการฝังศพรอบสอง ในวันที่ 22 พฤษภาคม มีการจัดงานฝังศพรอบสอง ให้กับฮีโร่คนหนึ่ง ในเมืองฟรอมบอร์ก ประเทศโปแลนด์ เขาเป็นนักดาราศาสตร์ในศตวรรษที่ 16 คนที่ได้เปลี่ยนโลกอย่างแท้จริง เขาเปลี่ยนโลกจริงๆ แทนที่โลก ด้วยดวงอาทิตย์ ณ ใจกลางของระบบสุริยะ และด้วยการมองภาพแบบง่าย ๆ นี้เอง เขาได้เริ่มการปฏิวัติทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีขึ้น หลายคนเรียกสิ่งนี้ว่า "การปฏิวัติของโคเปอร์นิคัส" ปัจจุบันพูดได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ แดกดันและเหมาะเจาะ ในเวลาเดียวกัน เพราะมันทำให้เรา หาหลุมศพของเขาพบนั่นเองครับ เพราะเนื่องจากประเพณีนิยมในสมัยนั้น ร่างของโคเปอร์นิคัสจึงถูกฝัง อย่างเรียบง่ายและปราศจากชื่อบนหลุมศพ อยู่ร่วมกับศพอีก 14 ร่าง ในโบสถ์เดียวกันนั้น การวิเคราะห์รหัสทางพันธุกรรม (ดีเอนเอ) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตราประทับที่บ่งบอก ถึงการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ หลังจากที่โคเปอร์นิคัสเริ่มสร้างไว้ 400 ปีก่อนหน้านั้น เป็นสิ่งที่ช่วยให้เรารู้ได้ว่า กระดูกท่อนไหน เป็นร่างของคน ที่อ่านหนังสือดาราศาสตร์เหล่านั้น หนังสือที่แอบเก็บเศษผมของคนที่อ่านมัน ผมของโคเปอร์นิคัส.. เพราะน้อยคนครับ ที่จะลำบากมาอ่านหนังสือพวกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า การจับคู่ของ เส้นผมกับกระดูกนั้น ไร้ซึ่งข้อสงสัย ดีเอนเอตรงกันครับ ทำให้เรารู้แน่ชัดว่า นี้คือ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส
Now, the connection between biology and DNA and life is very tantalizing when you talk about Copernicus because, even back then, his followers very quickly made the logical step to ask: if the Earth is just a planet, then what about planets around other stars? What about the idea of the plurality of the worlds, about life on other planets? In fact, I'm borrowing here from one of those very popular books of the time. And at the time, people actually answered that question positively: "Yes." But there was no evidence. And here begins 400 years of frustration, of unfulfilled dreams -- the dreams of Galileo, Giordano Bruno, many others -- which never led to the answer of those very basic questions which humanity has asked all the time. "What is life? What is the origin of life? Are we alone?" And that especially happened in the last 10 years, at the end of the 20th century, when the beautiful developments due to molecular biology, understanding the code of life, DNA, all of that seemed to actually put us, not closer, but further apart from answering those basic questions.
ปัจจุบันนี้ การเชื่อมโยงกันระหว่าง ชีววิทยา กับ ดีเอนเอ และชีวิต ยั่วให้เราน้ำลายไหลได้อย่างมาก เมื่อพูดถึงโคเปอร์นิคัส เพราะขนาดย้อนกลับไปสมัยนั้น ศิษยานุศิษย์ของเขา ก็ได้ตั้งคำถามทางตรรกะ ที่ก้าวกระโดดมากๆ ว่า "ถ้าโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ แล้วดาวเคราะห์อื่น ๆ ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ล่ะ?" แล้วแนวคิดของการมีโลกอยู่มากกว่าหนึ่งใบล่ะ? จะมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือไม่? จริงๆ ผมยืมคำพูดพวกนี้มากจาก หนังสือที่ดังมากเล่มหนึ่งในสมัยนั้นน่ะครับ ในตอนนั้นเนี่ย ผู้คนก็ตอบคำถามนี้กันจริงๆ ยืนยันว่า "ใช่" แต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐาน และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ 400 ปี แห่งการหักล้างทางความคิด แห่งความฝันที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม ความฝันของทั้ง กาลิเลโอ จีออร์ดาโน บรูโน และคนอื่น ๆ อีกมากมาย 400 ปีที่ยังไม่เคยนำพาไปสู่คำตอบ ของคำถามพื้นฐานเหล่านั้น ที่มนุษยชาติถามกันมาตลอดเวลา "ชีวิตคืออะไร? ชีวิตมาจากไหน? เราอยู่กันเพียงลำพังหรือไม่?" ความพยายามเริ่มจริงจังขึ้น โดยเฉพาะใน 10 ที่ผ่านมา ในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 20 เมื่อการพัฒนาที่สวยงาม จากการศึกษาชีววิทยา ระดับโมเลกุล ทำให้เราเข้าใจรหัสทางพันธุกรรม (ดีเอนเอ) ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะ ผลักดันเรา ไม่ใช่ใกล้ขึ้น แต่กลับไกลออกไปจากคำตอบ ของคำถามพื้นฐานเหล่านั้น
Now, the good news. A lot has happened in the last few years, and let's start with the planets. Let's start with the old Copernican question: Are there earths around other stars? And as we already heard, there is a way in which we are trying, and now able, to answer that question. It's a new telescope. Our team, befittingly I think, named it after one of those dreamers of the Copernican time, Johannes Kepler, and that telescope's sole purpose is to go out, find the planets that orbit other stars in our galaxy, and tell us how often do planets like our own Earth happen to be out there. The telescope is actually built similarly to the, well-known to you, Hubble Space Telescope, except it does have an additional lens -- a wide-field lens, as you would call it as a photographer. And if, in the next couple of months, you walk out in the early evening and look straight up and place you palm like this, you will actually be looking at the field of the sky where this telescope is searching for planets day and night, without any interruption, for the next four years.
ตอนนี้ก็มาถึงข่าวดีละครับ มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาเริ่มกันเรื่องดาวเคราะห์ดีกว่า เริ่มกันที่คำถามเก่าแก่ของโคเปอร์นิคัส ที่ว่า มีโลกที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ หรือไม่ และอย่างที่เราได้ยินกันมาบ้างแล้ว ว่ามันมีทาง ที่เรากำลังพยายาม เพื่อที่จะตอบคำถามนั้น มันคือ กล้องโทรทรรศน์ตัวใหม่ ทีมของเราตั้งชื่อมัน ตามนักฝันคนหนึ่ง ที่อยู่ร่วมสมัยกับโคเปอร์นิคัส นามว่า โยฮันเนส เคปเลอร์ ซึ่งผมว่าเหมาะสมทีเดียว และกล้องนี้ สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียว คือการให้ออกไป หาดาวเคราะห์ที่โคจร รอบดาวฤกษ์ต่างๆ ในกาแล็กซีของเรา และบอกเราว่า ดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายโลกของเรานั้น พบบ่อยมากน้อยแค่ไหน กล้องตัวนี้ สร้างขึ้นมาคล้ายๆ กับ กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ที่รู้จักกันอย่างดี จะต่างกันก็ตรงที่ เคปเลอร์ ไม่ได้มีชุดเลนส์ต่าง ๆ ไม่มีเลนส์มุมกว้าง ทำให้คุณรู้จักกล้องฮับเบิล ในนนามช่างถ่ายภาพกันไป และถ้า ในสองสามเดือนข้างหน้านี้ เราเดินออกไปนอกบ้านในตอนเย็น และมองขึ้นฟ้าตรง ๆ ทาบฝ่ามือบนฟ้าแบบนี้นะครับ นั่นคุณกำลังมองขนาดพื้นที่บนท้องฟ้า ที่กล้องเคปเลอร์ กำลังมองหาดาวเคราะห์อยู่ ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีขาดช่วงเลย เป็นเวลาทั้งหมด 4 ปีข้างหน้าครับ
The way we do that, actually, is with a method, which we call the transit method. It's actually mini-eclipses that occur when a planet passes in front of its star. Not all of the planets will be fortuitously oriented for us to be able do that, but if you have a million stars, you'll find enough planets. And as you see on this animation, what Kepler is going to detect is just the dimming of the light from the star. We are not going to see the image of the star and the planet as this. All the stars for Kepler are just points of light. But we learn a lot from that: not only that there is a planet there, but we also learn its size. How much of the light is being dimmed depends on how big the planet is. We learn about its orbit, the period of its orbit and so on. So, what have we learned? Well, let me try to walk you through what we actually see and so you understand the news that I'm here to tell you today.
วิธีที่เราจะมองหาดาวเคราะห์ได้นั้น เรียกว่า "วิธีการบังกัน (transit method)" มันก็คือ การที่ดาวฤกษ์มีความสว่างลดลงเล็กน้อย เมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนที่ผ่านหน้าดาวฤกษ์ ที่มันโคจรรอบ ไม่ใช่ดาวเคราะห์ทุกดวง ที่จะมีระนาบการโคจรที่เหมาะสม ให้เราสามารถเห็น การผ่านหน้าดาวฤกษ์ของมันได้ แต่ถ้าคุณมีดาวฤกษ์เป็นล้านดวง คุณก็จะเจอดาวเคราะห์ด้วยวิธีนี้ได้ จำนวนมากพอสมควร คุณจะเห็นจากแอนิเมชั่นนี้ ว่าสิ่งที่กล้องเคปเลอร์จะวัดคือ ค่าความสว่างที่ลดลงของดาวฤกษ์ เราไม่สามารถเห็นภาพของดาวฤกษ์ กับดาวเคราะห์นะครับ สำหรับกล้องเคปเลอร์แล้ว ดาวฤกษ์ทุกดวงเป็นเพียงจุดสว่างเท่านั้น แต่เราเรียนรู้อะไรได้มาก จากค่าความสว่างของจุดเหล่านี้ ไม่เพียงแค่จะรู้ว่ามีดาวเคราะห์อยู่ตรงหน้าหรือไม่ แต่ยังสามารถรู้ขนาดของมันด้วย ความสว่างลดลงไปจากเดิมเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับว่าดาวเคราะห์มีขนาดใหญ่เท่าไหร่ เรายังสามารถเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับวงโคจรของมันได้ เช่น มันมันต้องใช้เวลานานแค่ไหน ที่จะโคจรรอบดาวฤกษ์ของมันได้ ฯลฯ สรุป เรารู้อะไรจากมันบ้างล่ะ? งั้น ขอให้ผมได้ค่อย ๆ พาคุณไปรับรู้ ว่าจริงๆแล้ว เราเห็นอะไร แล้วคุณจะเข้าใจ ว่าสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ ในวันนี้คืออะไร
What Kepler does is discover a lot of candidates, which we then follow up and find as planets, confirm as planets. It basically tells us this is the distribution of planets in size. There are small planets, there are bigger planets, there are big planets, okay. So we count many, many such planets, and they have different sizes. We do that in our solar system. In fact, even back during the ancients, the Solar System in that sense would look on a diagram like this. There will be the smaller planets, and there will be the big planets, even back to the time of Epicurus and then of course Copernicus and his followers. Up until recently, that was the Solar System -- four Earth-like planets with small radius, smaller than about two times the size of the Earth -- and that was of course Mercury, Venus, Mars, and of course the Earth, and then the two big, giant planets. Then the Copernican Revolution brought in telescopes, and of course three more planets were discovered. Now the total planet number in our solar system was nine. The small planets dominated, and there was a certain harmony to that, which actually Copernicus was very happy to note, and Kepler was one of the big proponents of. So now we have Pluto to join the numbers of small planets. But up until, literally, 15 years ago, that was all we knew about planets. And that's what the frustration was. The Copernican dream was unfulfilled.
สิ่งที่กล้องเคปเลอร์ทำ คือ มันค้นพบระบบจำนวนมาก ที่เป็นไปได้ว่าจะมีดาวเคราะห์อยู่ แล้วเราค่อยศึกษาระบบเหล่านั้นในเชิงลึก ว่ามีดาวเคราะห์อยู่จริงหรือไม่ พูดง่ายๆ คือ มันบอกเราได้ว่า ดาวเคราะห์มีขนาดต่างๆ กันอย่างไร ทั้งดาวเคราะห์ขนาดเล็ก และดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มาก ดังนั้น เราจึงนับจำนวนพวกมัน และพวกมันมีขนาดที่แตกต่างกันไป เราทำแบบนี้กับระบบสุริยะเราก่อน จริง ๆ แล้ว ถ้ามองย้อนกลับไปสมัยโบราณ จำนวนและขนาดของดาวเคราะห์ ในระบบสุริยะของเรา จะแสดงได้ดังแผนภูมินี้ครับ มีทั้งดาวเคราะห์ที่เล็กกว่าโลก และดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แม้ย้อนกลับไปถึงสมัยอีพิคิวรัส (Epicurus) จนถึงสมัยโคเปอร์นิคัส (Copernicus) และศิษย์ของเขา จนกระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นาน ระบบสุริยะของเราเคยเป็นแบบนี้ครับ ดาวเคราะห์คล้ายโลกที่มีขนาดเล็กมี 4 ดวง (ขนาดเล็ก หมายถึง ขนาดสองเท่าของโลกหรือเล็กกว่า) ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และแน่นอน โลก ดาวเคราะห์ยักษ์มี 2 ดวง พอหลังจากจากเกิด "การปฏิวัติของโคเปอร์นิคัส" ขึ้น กล้องโทรทรรศน์ถูกนำเข้ามาใช้ และแน่นอน ดาวเคราะห์อีก 3 ดวงก็ถูกค้นพบ ปัจจุบัน จำนวนดาวเคราะห์ทั้งหมด ในระบบสุริยะของเรา คือ 9 ดวง ส่วนใหญ่เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก ข้อมูลนี้เข้ากันได้ กับสิ่งที่โคเปอร์นิคัสเคยระบุไว้ และกล้องเคปเลอร์ก็แสดงความจริงนี้ให้เห็น เล่าถึงตอนนี้ เรามี พลูโต ที่จัดเป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก จนกระทั่ง 15 ปีก่อนหน้านี้ นั่นคือทั้งหมดที่เรารับรู้กันเป็นลายลักษณ์อักษร เกี่ยวกับดาวเคราะห์ และนั่นคือสิ่งที่เรายังไม่พอใจครับ ความฝันของโคเปอร์นิคัส ก็ยังไม่ถูกเติมเต็ม
Finally, 15 years ago, the technology came to the point where we could discover a planet around another star, and we actually did pretty well. In the next 15 years, almost 500 planets were discovered orbiting other stars, with different methods. Unfortunately, as you can see, there was a very different picture. There was of course an explanation for it: We only see the big planets, so that's why most of those planets are really in the category of "like Jupiter." But you see, we haven't gone very far. We were still back where Copernicus was. We didn't have any evidence whether planets like the Earth are out there. And we do care about planets like the Earth because by now we understood that life as a chemical system really needs a smaller planet with water and with rocks and with a lot of complex chemistry to originate, to emerge, to survive. And we didn't have the evidence for that.
จนในที่สุด เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทคโนโลยีเดินมาจนถึง จุดที่เราสามารถค้นพบดาวเคราะห์รอบ ๆ ดาวฤกษ์ดวงอื่นได้ เราทำได้ดีเลยทีเดียว ภายใน 15 ปีข้างหน้านี้ ดาวเคราะห์เกือบ 500 ดวง จะถูกค้นพบว่าโคจรรอบดาวฤกษ์อื่นๆ ด้วยวิธีต่างกันออกไป โชคไม่ดีเลย ดังที่คุณอาจเห็น แผนภาพได้เปลี่ยนไปแล้ว แน่นอน เรามีคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่ครับ เนื่องจาก ตอนนั้น (มิถุนายน 2010) เราพบแต่ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ ทำให้ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ ตกอยู่ในประเภท "ดาวเคราะห์ที่คล้ายดาวพฤหัสบดี" แม้กระนั้น เราก็ยังไปได้ไม่ไกล เรายังคงรู้สิ่งที่ โคเปอร์นิคัสรู้ เรายังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าจะมี "ดาวเคราะห์คล้ายโลก" อยู่ข้างนอกนั่น และเราก็สนใจใน ดาวเคราะห์คล้ายโลก ด้วย เพราะตอนนี้ เราทราบแล้วว่า "ชีวิต" ในแง่ของระบบทางเคมี ต้องการดาวเคราะห์ขนาดเล็ก ที่มีน้ำ และหิน และสารประกอบทางเคมีที่ซับซ้อน เพื่อที่จะให้กำเนิด ปรากฏ และอยู่รอด เรายังไม่มีหลักฐานสำหรับสิ่งนี้
So today, I'm here to actually give you a first glimpse of what the new telescope, Kepler, has been able to tell us in the last few weeks, and, lo and behold, we are back to the harmony and to fulfilling the dreams of Copernicus. You can see here, the small planets dominate the picture. The planets which are marked "like Earth," [are] definitely more than any other planets that we see. And now for the first time, we can say that. There is a lot more work we need to do with this. Most of these are candidates. In the next few years we will confirm them. But the statistical result is loud and clear. And the statistical result is that planets like our own Earth are out there. Our own Milky Way Galaxy is rich in this kind of planets.
ดังนั้น วันนี้ ผมมาที่นี่เพื่อที่จะให้คุณเห็นภาพแวบแรก ของกล้องตัวใหม่ เคปเลอร์ ว่ามันบอกอะไรเราบ้าง ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูสินั่น! เรากลับมาช่วยกันอีกครั้งแล้ว ที่จะเติมเต็มความฝันของโคเปอร์นิคัส คุณจะเห็นว่า ภาพนี้ (กรกฎาคม 2010) ดาวเคราะห์ขนาดเล็ก มีจำนวนเป็นส่วนใหญ่ของภาพ ดาวเคราะห์ที่ถูกระบุว่าเป็น "ดาวเคราะห์คล้ายโลก" มีจำนวนมากกว่า อย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ขนาดอื่นๆ และนี่ถือเป็นครั้งแรก ที่เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปาก มีงานอีกมากมายรอเราอยู่ ดาวเคราะห์คล้ายโลกเกือบจะทุกดวง มีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ภายในสองสามปีข้างหน้านี้ เราจะยืนยันสถานะของพวกมัน แต่ที่แน่ๆ ผลทางสถิติ ณ ตอนนี้ นั้นช่างส่งเสียงดังและชัดเจนมาก ผลทางสถิติที่บอกเราว่า ดาวเคราะห์คล้ายโลก มีอยู่จริงข้างนอกนั่น กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา เต็มไปด้วยดาวเคราะห์คล้ายโลก
So the question is: what do we do next? Well, first of all, we can study them now that we know where they are. And we can find those that we would call habitable, meaning that they have similar conditions to the conditions that we experience here on Earth and where a lot of complex chemistry can happen. So, we can even put a number to how many of those planets now do we expect our own Milky Way Galaxy harbors. And the number, as you might expect, is pretty staggering. It's about 100 million such planets. That's great news. Why? Because with our own little telescope, just in the next two years, we'll be able to identify at least 60 of them. So that's great because then we can go and study them -- remotely, of course -- with all the techniques that we already have tested in the past five years. We can find what they're made of, would their atmospheres have water, carbon dioxide, methane. We know and expect that we'll see that.
คำถามคือ เราจะทำอะไรต่อไป? ก่อนอื่นนะครับ เราจะศึกษาพวกมัน เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าพวกมันอยู่ที่ไหน แล้วจึงจะบอกได้ว่า มันจะถูกเรียกว่า "อยู่ได้" หรือไม่ ในที่นี้หมายถึง การมีสภาวะที่ใกล้เคียง กับสภาวะ ที่เราพบบนโลก ที่ๆ ความซับซ้อนทางเคมีสามารถเกิดขึ้นได้ แล้วเราจึงจะบอกได้แม้กระทั่งจำนวน ของดาวเคราะห์ประเภทนั้น ว่ามีอยู่เท่าไหร่ ในกาแล็กซี ทางช้างเผือกของเราครับ และจำนวนนี้เอง คุณคงเดาออกแล้วว่า มันค่อนข้างน่าอัศจรรย์ใจ ดาวเคราะห์ที่ว่านี้มีประมาณ 100 ล้านดวงครับ นั่นเป็นข่าวดีมาก ทำไมรึ? เพราะว่า ด้วยศักยภาพของกล้องตัวเล็ก ๆ ของเรา ในเพียงแค่สองปีข้างหน้า เราจะสามารถระบุดาวเคราะห์ที่อาจมีสิ่งมีชีวิต อย่างน้อย 60 ดวง นั่นเยี่ยมยอดเพราะ เราสามารถพุ่งเป้าศึกษาพวกมัน แน่นอน จากระยะไกล ด้วยเทคนิคทั้งหมด ที่เราได้ทดลองมาแล้วตลอด 5 ปี เราสามารถหาได้ว่า ดาวเหล่านั้นประกอบขึ้นด้วยอะไร ในบรรยากาศของมันมีน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเธน หรือไม่ เรารู้และคาดหวังว่าเราจะพบสิ่งเหล่านั้น
That's great, but that is not the whole news. That's not why I'm here. Why I'm here is to tell you that the next step is really the exciting part. The one that this step is enabling us to do is coming next. And here comes biology -- biology, with its basic question, which still stands unanswered, which is essentially: "If there is life on other planets, do we expect it to be like life on Earth?" And let me immediately tell you here, when I say life, I don't mean "dolce vita," good life, human life. I really mean life on Earth, past and present, from microbes to us humans, in its rich molecular diversity, the way we now understand life on Earth as being a set of molecules and chemical reactions -- and we call that, collectively, biochemistry, life as a chemical process, as a chemical phenomenon.
นั่นมันวิเศษมาก แต่มันก็ยังไม่ใช่ข่าวดีทั้งหมด นั่นยังไม่ใช่สาเหตุที่ผมมาพูดตรงนี้ สาเหตุที่ผมมาพูดตรงนี้ ก็เพื่อเล่าให้ฟังถึง "ก้าวต่อไป" ที่ว่านี่แหละ คือส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุด สิ่งที่จะทำให้ เรา "ก้าวต่อไป" ได้ และนี่คือการมาถึงของ "ชีววิทยา" ชีววิทยา ที่มาพร้อมกับคำถามพื้นฐาน ที่ยังคงยืนหยัดโดยปราศจากคำตอบ ก็ยังคงเป็น "ถ้ามันมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เราคิดว่า เขาจะเหมือนกับเราบนโลกนี้หรือไม่?" ขอผมบอกคุณทันทีตรงนี้เลยว่า เมื่อผมพูดถึง "ชีวิต" ผมไม่ได้หมายถึง "ชีวิตที่เสพสุข" หรือชีวิตที่ดี หรือชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ ผมหมายถึงชีวิตจริง ๆ ที่อยู่บนโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตั้งแต่จุลชีพ จนถึงมนุษย์อย่างเรา ๆ ที่มีความหลากหลายทางโมเลกุลสูง ความหมายที่เราพูดถึง ณ ตอนนี้ คือชีวิตบนโลก ในแง่ของ กลุ่มก้อนของโมเลกุลและปฏิกิริยาทางเคมี ที่เราเรียกรวมกันว่า ชีวเคมี ชีวิต ในรูปของกระบวนการทางเคมี ในรูปของปรากฏการณ์ทางเคมี
So the question is: is that chemical phenomenon universal, or is it something which depends on the planet? Is it like gravity, which is the same everywhere in the universe, or there would be all kinds of different biochemistries wherever we find them? We need to know what we are looking for when we try to do that. And that's a very basic question, which we don't know the answer to, but which we can try -- and we are trying -- to answer in the lab. We don't need to go to space to answer that question. And so, that's what we are trying to do. And that's what many people now are trying to do. And a lot of the good news comes from that part of the bridge that we are trying to build as well.
คำถามคือ ปรากฏการณ์ทางเคมีนี้เป็นสากลหรือไม่ หรือมันเป็นบางอย่าง ที่ขึ้นกับดาวเคราะห์แต่ละดวง? มันจะเป็นเหมือนกับ สภาพโน้มถ่วง ไหม ที่มีความหมายเหมือนกัน ในทุกๆ ที่ในเอกภพ หรือ มันจะมีลักษณะทางชีวเคมี ที่แตกต่างกันไป ในทุกๆ ที่ที่เราศึกษา? มันจำเป็นอย่างมาก ที่ต้องรู้ว่าเรากำลังมองหาอะไรอยู่ และนี้คือ คำถามพื้นฐานมากๆ ที่เรายังไม่รู้คำตอบ แต่เราก็สามารถพยายาม และเราก็กำลังพยายามตอบคำถาม จากในห้องแล็บ เราไม่จำเป็นต้องออกไปถึงอวกาศหรอกครับ ที่จะตอบคำถามนี้ได้ ดังนั้น นี่คือสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่ นี่คือสิ่งที่หลายคนกำลังพยายามทำอยู่ และมีข่าวดีมากมายเกิดขึ้น จากส่วนนั้นของสะพาน สะพานที่เราพยายามสร้างอยู่
So this is one example that I want to show you here. When we think of what is necessary for the phenomenon that we call life, we think of compartmentalization, keeping the molecules which are important for life in a membrane, isolated from the rest of the environment, but yet, in an environment in which they actually could originate together. And in one of our labs, Jack Szostak's labs, it was a series of experiments in the last four years that showed that the environments -- which are very common on planets, on certain types of planets like the Earth, where you have some liquid water and some clays -- you actually end up with naturally available molecules which spontaneously form bubbles. But those bubbles have membranes very similar to the membrane of every cell of every living thing on Earth looks like, like this. And they really help molecules, like nucleic acids, like RNA and DNA, stay inside, develop, change, divide and do some of the processes that we call life.
ต่อไปนี้คือตัวอย่างหนึ่ง ที่ผมอยากนำมาให้คุณดูที่นี่ครับ เวลาเราคิดถึงความจำเป็น ที่จะต้องมีปรากฏการณ์ดังกล่าว ที่เราเรียกว่าชีวิตนั้น เราจะคิดถึงการจัดแบ่งส่วน การจัดให้โมเลกุลที่สำคัญสำหรับชีวิต อยู่ภายในเยื่อหุ้มบาง ๆ ที่แยกออกชัดเจนจากสิ่งแวดล้อม แต่ถึงกระนั้น สิ่งแวดล้อมนั้น ก็สามารถพัฒนาขึ้นร่วมกันกับมันได้ และการทดลองชิ้นหนึ่งของเรา ในห้องทดลองของ แจ๊ค โซสแต็ค เป็นหนึ่งในชุดการทดลอง ใน 4 ปีที่่ผ่านมา ที่ได้แสดงให้เห็นว่าสิ่งแวดล้อม ที่สามารถพบได้โดยทั่วไป บนดาวเคราะห์ ประเภทที่คล้ายโลก ที่ๆ มีน้ำในรูปของเหลว และมีโคลน สุดท้าย คุณจะได้ โมเลกุลทางธรรมชาติ เกิดขึ้นเอง โดยผุดขึ้นเป็นฟอง ฟองเหล่านั้นมีเยื่อหุ้มบาง คล้ายกับเยื่อหุ้มเซลล์ทุกเซลล์ ของสิ่งมีชีวิตทุกๆ ชนิดบนโลก แบบนี้ครับ เยื่อหุ้มช่วยให้โมเลกุลต่าง ๆ เช่น กรดนิวคลีอิก เช่น RNA และ DNA สามารถเก็บตัวอยู่ได้ภายใน เกิดการพัฒนา เปลี่ยนแปลง แบ่งตัว และสร้างกระบวนการบางอย่างขึ้น ที่เราเรียกว่า ชีวิต
Now this is just an example to tell you the pathway in which we are trying to answer that bigger question about the universality of the phenomenon. And in a sense, you can think of that work that people are starting to do now around the world as building a bridge, building a bridge from two sides of the river. On one hand, on the left bank of the river, are the people like me who study those planets and try to define the environments. We don't want to go blind because there's too many possibilities, and there is not too much lab, and there is not enough human time to actually to do all the experiments. So that's what we are building from the left side of the river. From the right bank of the river are the experiments in the lab that I just showed you, where we actually tried that, and it feeds back and forth, and we hope to meet in the middle one day.
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นครับ ที่จะบอกเล่าถึงเส้นทาง ที่เราพยายามจะเดินไปสู่คำตอบ แห่งคำถามที่ยิ่งใหญ่ เกี่ยวกับความเป็นสากลของปรากฏการณ์นี้ ในแง่หนึ่ง เราสามารถคิดได้ว่างานชิ้นนี้ ผู้คนกำลังเริ่มทำกันทั่วโลก เหมือนกับการที่สร้างสะพาน พร้อมๆ กันจากสองฝั่งของแม่น้ำ ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ก็จะมีผู้คนเช่นตัวผม ที่ศึกษาดาวเคราะห์เหล่านั้น และพยายามระบุสภาพสิ่งแวดล้อมของมัน เราไม่ต้องการที่จะหน้ามืดตามัว เพราะมันมีทางเป็นไปได้หลายทางเกินไป จนการทดลองไม่สามารถสร้างให้เพียงพอได้ และคนเราก็ไม่มีเวลามากพอ ที่จะทำการทดลองเหล่านั้น ดังนั้น นี่คือทำไมเราต้องสร้างสะพาน จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ คราวนี้ ทางฝั่งขวาของแม่น้ำ คือการทดลองที่เกิดขึ้นในห้องแล็บ ที่ผมพึ่งให้คุณดู ว่าเราได้พยายามทำ แต่ผลก็ยังไม่น่าพอใจ และเราก็หวังที่จะพบกันครึ่งทางบนสะพานวันหนึ่ง
So why should you care about that? Why am I trying to sell you a half-built bridge? Am I that charming? Well, there are many reasons, and you heard some of them in the short talk today. This understanding of chemistry actually can help us with our daily lives. But there is something more profound here, something deeper. And that deeper, underlying point is that science is in the process of redefining life as we know it. And that is going to change our worldview in a profound way -- not in a dissimilar way as 400 years ago, Copernicus' act did, by changing the way we view space and time. Now it's about something else, but it's equally profound. And half the time, what's happened is it's related this kind of sense of insignificance to humankind, to the Earth in a bigger space. And the more we learn, the more that was reinforced. You've all learned that in school -- how small the Earth is compared to the immense universe. And the bigger the telescope, the bigger that universe becomes. And look at this image of the tiny, blue dot. This pixel is the Earth. It is the Earth as we know it. It is seen from, in this case, from outside the orbit of Saturn. But it's really tiny. We know that. Let's think of life as that entire planet because, in a sense, it is. The biosphere is the size of the Earth. Life on Earth is the size of the Earth. And let's compare it to the rest of the world in spatial terms. What if that Copernican insignificance was actually all wrong? Would that make us more responsible for what is happening today? Let's actually try that.
ทำไมพวกคุณต้องสนใจเรื่องนี้ด้วยน่ะหรือ? ทำไมผมถึงพยายามจะขาย สะพานที่ยังสร้างไม่เสร็จครึ่งหนึ่ง? ผมมีเสนห์ขนาดนั้นรึ? มันมีหลายเหตุผลครับ บางเหตุผลคุณได้ทราบแล้ว จากการพูดของผมวันนี้ การทำความเข้าใจกับเรื่องทางเคมี ช่วยเราได้จริงๆ ในชีวิตประจำวันขอเรา แต่มันมีบางอย่างที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น ณ จุดนี้ บางอย่างที่ล้ำลึกมากกว่า และสิ่งนั้นที่ซ้อนอยู่ ก็คือ วิทยาศาสตร์ ที่เป็นกระบวนการ ที่จะนิยามการมีชีวิต อย่างที่เรารู้ และนั่นก็กำลังจะเปลี่ยน การมองโลกของเราไปในทางที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ใช่ว่าจะเป็นทางที่ต่างกัน กับเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ที่การกระทำของโคเปอร์นิคัส ได้เปลี่ยนวิถีการมอง กาลและอวกาศ ของเราไป ตอนนี้ มันเป็นอีกเรื่องไปแล้วครับ แต่ก็ยังลึกซึ้งพอๆ กัน และในก้าวย่างที่ผลัดกันเดินนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มันได้เชื่อมโยง สัมผัสบางอย่างที่ไม่ได้สำคัญมากนัก ให้กับมนุษยชาติ ให้กับโลก ในพื้นที่ๆ ใหญ่ขึ้น และยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ เรายิ่งเสริมสร้างให้สัมผัสนั้นแข็งแรงยิ่งขึ้น เราต่างเรียนรู้มาจากโรงเรียนแล้วว่า โลกนั้นเล็กแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับเอกภพที่กว้างใหญ่ และยิ่งกล้องโทรทรรศน์มีขนาดใหญ่ขึ้น เอกภพนั้นก็ยิ่งใหญ่ขึ้นตามไปด้วย มาดูภาพนี้กัน ภาพของจุดสีฟ้าเล็กจิ๋ว จุดพิกเซลนั้น คือโลกนั่นเอง มันคือโลกในแบบที่เรารู้จัก ในกรณีนี้ มันถูกมอง จากนอกวงโคจรของดาวเสาร์ แต่มันเล็กมากจริง ๆ เรารู้กันอยู่ ลองคิดถึงชีวิตบนโลกทั้งโลกนี้สิครับ เพราะมันมีอยู่จริงหนิ ส่วนที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ก็คือขนาดของโลก ชีวิตบนโลก ก็คือมีขนาดเท่ากับโลก และถ้าลองเปรียบเทียบโลก กับทุกอย่างนอกจากนั้น ในอวกาศ อะไรจะเกิดขึ้นถ้า ความคิดของโคเปอร์นิคัส เกิดผิดทั้งหมดเลยหละ? มันจะทำให้เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไหม งั้นมาลองดูกันดีกว่านะครับ
So in space, the Earth is very small. Can you imagine how small it is? Let me try it. Okay, let's say this is the size of the observable universe, with all the galaxies, with all the stars, okay, from here to here. Do you know what the size of life in this necktie will be? It will be the size of a single, small atom. It is unimaginably small. We can't imagine it. I mean look, you can see the necktie, but you can't even imagine seeing the size of a little, small atom. But that's not the whole story, you see. The universe and life are both in space and time. If that was the age of the universe, then this is the age of life on Earth. Think about those oldest living things on Earth, but in a cosmic proportion. This is not insignificant. This is very significant. So life might be insignificant in size, but it is not insignificant in time. Life and the universe compare to each other like a child and a parent, parent and offspring.
โลกมีขนาดเล็กมากๆ ในอวกาศ คุณจินตนาการถูกรึเปล่า ว่ามันเล็กขนาดไหน ให้ผมลองนะ เอาเป็นว่า นี่คือขนาดของเอกภพ เท่าที่เราจะสังเกตุการณ์ได้ กาแล็กซีทั้งหมดอยู่ในนี้ ดวงดาวทั้งหมดอยู่ในนี้ จากตรงนี้ถึงตรงนี้ คุณรู้ไหมว่าขนาดของชีวิต บนเน็คไทเส้นนี้เล็กแค่ไหน มันจะมีขนาดเท่ากับ อะตอมๆ หนึ่ง มันเล็กมาก เกินกว่าจะจินตนาการได้ เราจินตนาการไม่ออกหรอกครับ ดูสิ คุณเห็นเน็คไท แต่คุณจะไม่สามารถนึกภาพ ว่าจะเห็นอะตอมเล็กๆ ได้ แต่เรื่องยังไม่จบนะครับ ลองดูเอกภพและชีวิต ทั้งสองสิ่งนี้ ดำรงอยู่ในอวกาศและเวลาครับ ถ้านี่คือ อายุของเอกภพ แล้วนี่ จะเป็นช่วงอายุที่มีชีวิตบนโลก ลองคิดถึงสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกสิ แต่่คิดในอัตราส่วนของอายุเอกภพนะ แค่นี้เนี่ย ไม่ใช่ว่าไม่มีความหมายนะครับ แค่นี้ มันมีความหมายมากๆ เลย นั่นคือว่า ชีวิต อาจจะดูไร้ความหมายเมื่อดูจากขนาด แต่ชีวิต ก็ไม่ได้ไร้ความหมาย เมื่อดูจากช่วงเวลา ชีวิตและเอกภพ เปรียบเทียบอายุแต่ละอย่างเป็น เด็กกับพ่อแม่ พ่อแม่กับลูกหลาน
So what does this tell us? This tells us that that insignificance paradigm that we somehow got to learn from the Copernican principle, it's all wrong. There is immense, powerful potential in life in this universe -- especially now that we know that places like the Earth are common. And that potential, that powerful potential, is also our potential, of you and me. And if we are to be stewards of our planet Earth and its biosphere, we'd better understand the cosmic significance and do something about it. And the good news is we can actually, indeed do it. And let's do it. Let's start this new revolution at the tail end of the old one, with synthetic biology being the way to transform both our environment and our future. And let's hope that we can build this bridge together and meet in the middle.
สิ่งนี้บอกอะไรเราครับ? มันบอกเราว่า ตัวอย่างของความไม่สำคัญ ที่เราบางครั้งก็จำเป็นต้องเรียนรู้ จากหลักการของโคเปอร์นิคัส มันผิดหมด มันมีศักยภาพอันยิ่งใหญ่และมีอำนาจ ของชีวิตในเอกภพนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ ปัจจุบันที่เรารู้ ว่าสถานที่คล้ายโลกนั้น มีอยู่ทั่วไป และศักยภาพนั้น ศักยภาพที่ทรงพลัง คือ ศักยภาพของเรา ของคุณและของผม ถ้าเราจะต้องเป็นผู้พิทักษ์ ให้กับโลก และพื้นที่ๆ มีสิ่งมีชีวิตของเรา เราควรต้องเข้าใจ ความสำคัญเชิงเอกภพ และทำบางอย่างครับ ข่าวดีก็คือ เราสามารถ ทำมันได้จริง ๆ งั้น มาทำกันเถอะครับ ลองเริ่มจากการปฏิวัติใหม่นี้ จากปลายทางของเก่า ร่วมกับ งานของการสังเคราะห์ทางชีววิทยา มันคือทางที่เราจะเปลี่ยนรูป ทั้งสิ่งแวดล้อม และอนาคตของเรา และมาเริ่มต้นความหวังที่ เราจะสามารถสร้างสะพานนี้เสร็จร่วมกัน และพบกันที่ตรงกลางสะพาน
Thank you very much.
ของคุณมากครับ
(Applause)
(ปรบมือ)