As a magician, I try to create images that make people stop and think. I also try to challenge myself to do things that doctors say are not possible. I was buried alive in New York City in a coffin, buried alive in a coffin in April, 1999, for a week. I lived there with nothing but water. And it ended up being so much fun that I decided I could pursue doing more of these things. The next one is I froze myself in a block of ice for three days and three nights in New York City. That one was way more difficult than I had expected. The one after that, I stood on top of a hundred-foot pillar for 36 hours. I began to hallucinate so hard that the buildings that were behind me started to look like big animal heads.
ด้วยความเป็นนักมายากล ผมพยายามสร้างภาพที่ ทำให้คนต้อง หยุด และ คิด ผมพยายามที่จะท้าทายตัวเอง ให้ทำสิ่งที่หมอทั้งหลายบอกว่า "เป็นไปไม่ได้" ผมถูกฝังทั้งเป็นที่เมืองนิวยอร์ค (New York City) ในโลงศพ ในเดือน เมษายน 1999 เป็นเวลา 1 อาทิตย์ ผมอยู่ในนั้นโดยมีแค่เพียงน้ำเปล่า แล้วมันก็จบลงอย่างสนุกสนาน เสียจนผมตัดสินใจที่จะไขว่ขว้า ที่จะทำอะไรประมาณนี้อีกหลายๆอย่าง อย่างต่อไปคือ แช่แข็งตัวเองในก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ เป็นเวลา 3 วัน 3 คืนที่เมืองนิวยอร์ค (New York City) คราวนั้นมันยากกว่าที่ผมคาดไว้มาก ถัดจากนั้น, ผมก็ยืนบนเสาสูงถึง 100 ฟุต (ประมาณ 33 เมตร) เป็นเวลา 36 ชม นานเสียจนผมเริ่มเห็นภาพหลอนจริงจังว่า ตึกที่อยู่รอบๆด้านหลังผมเริ่มดูเหมือนหัวของสัตว์ต่างๆ
So, next I went to London. In London I lived in a glass box for 44 days with nothing but water. It was, for me, one of the most difficult things I'd ever done, but it was also the most beautiful. There was so many skeptics, especially the press in London, that they started flying cheeseburgers on helicopters around my box to tempt me.
หลังจากนั้นผมไปลอนดอน (London) และที่นั่นผมอยู่ในกรงแก้วเป็นเวลา 44 วัน ด้วยน้ำดื่มอย่างเดียว มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตเท่าที่ผมเคยทำมาจริงๆ แต่มันก็สวยงามที่สุดด้วยเหมือนกัน ระหว่างที่ผมอยู่ในกรงนั้นมีคนขี้สงสัยมากมาย โดยเฉพาะพวกสื่อที่ลอนดอน (London) ที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์แล้วขว้างชีสเบอร์เกอร์
(Laughter)
ลงมาหลอกล่อผม (หัวเราะ)
So, I felt very validated when the New England Journal of Medicine actually used the research for science.
ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับการยอมรับมากๆ ก็เมื่อตอนที่นิวอิงแลนด์เจอแนลออฟเมดิซิน (New England Journal of Medicine) เอาเรื่องนี้ไปทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์จริงจัง
My next pursuit was I wanted to see how long I could go without breathing, like how long I could survive with nothing, not even air. I didn't realize that it would become the most amazing journey of my life.
ความพยายามต่อไปของผมคือ ผมอยากรู้ว่าผมจะกลั้นหายใจได้นานแค่ไหน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง, ผมจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนโดยไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งอากาศหายใจ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องนี้มันจะกลายมาเป็น เรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตผม
As a young magician, I was obsessed with Houdini and his underwater challenges. So, I began, early on, competing against the other kids, seeing how long I could stay underwater while they went up and down to breathe, you know, five times, while I stayed under on one breath. By the time I was a teenager, I was able to hold my breath for three minutes and 30 seconds. I would later find out that was Houdini's personal record.
ตอนที่ผมยังเป็นนักมายากลหนุ่ม ผมหลงใหลในตัว ฮูดินี่ (Houdini) และความสามารถในการดำน้ำของเขา ดังนั้นผมจึงเริ่มด้วยการแข่งกับเด็กคนอื่นๆ ดูว่าผมจะสามารถอยู่ใต้น้ำได้นานเท่าไหร่ ในขณะที่เด็กคนอื่นต้องขึ้นๆลงๆเพื่อหายใจ คุณรู้ไหม ผมขึ้นไปหายใจแค่ครั้งเดียวในขณะที่เด็กอื่นๆขึ้นไปหายใจ 5 ครั้ง ในตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นนั้น ผมสามารถกลั้นหายใจได้ 3 นาที 30 วินาที ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเป็นสถิติเดียวกันกับสถิติส่วนตัวของฮูดินี่ (Houdini)
In 1987 I heard of a story about a boy that fell through ice and was trapped under a river. He was underneath, not breathing for 45 minutes. When the rescue workers came, they resuscitated him and there was no brain damage. His core temperature had dropped to 77 degrees. As a magician, I think everything is possible. And I think if something is done by one person, it can be done by others. I started to think, if the boy could survive without breathing for that long, there must be a way that I could do it.
ปี 1987 ผมได้ยินเรื่องราว เกี่ยวกับเด็กชายที่ตกลงไป ใต้แม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง เขาอยู่ใต้น้ำและหยุดหายใจเป็นเวลา 45 นาที เมื่อหน่วยกู้ภัยมา และช่วยให้เด็กคนนั้นมีสติกลับมา ปรากฏว่าเด็กคนนั้นไม่มีส่วนใดของสมองเสียหายเลย อุณหภูมิร่างกายของเด็กคนนั้นลดลงจนถึง 77 องศาฟาเรนไฮต์( 25 องศาเซลเซียส) ด้วยความเป็นนักมายากลผมคิดว่าอะไรก็เป็นไปได้ และผมคิดว่าถ้าบางสิ่งเกิดขึ้นได้กับคนคนนึง มันก็ต้องเกิดขึ้นได้กับคนอื่นด้วย ผมเริ่มคิดว่าถ้าเด็กคนนั้นสามารถมีชีวิตรอดได้ โดยหยุดหายใจได้นานขนาดนั้น มันก็ต้องมีวิธีที่ผมจะทำได้เหมือนกัน
So, I met with a top neurosurgeon. And I asked him, how long is it possible to go without breathing, like how long could I go without air? And he said to me that anything over six minutes you have a serious risk of hypoxic brain damage. So, I took that as a challenge, basically.
ดังนั้น ผมจึงไปพบกับสุดยอดศัลยแพทย์ด้านสมอง และถามหมอว่า คนเราจะหยุดหายใจได้นาน ที่สุดสักเท่าไหร่ ประมาณว่าผมจะอยู่ได้นานแค่ไหนถ้าขาดอากาศ แล้วเค้าก็ตอบผมว่า ถ้าขาดอากาศหายใจมากกว่า 6 นาที คุณเสี่ยงมากๆกับการที่ สมองคุณจะเสียหายเพราะขาดออกซิเจน (hypoxic brain damage) อืม ผมถือว่านั้นคือคำท้าทายนะ
(Laughter)
(หัวเราะ)
My first try, I figured that I could do something similar, and I created a water tank, and I filled it with ice and freezing cold water. And I stayed inside of that water tank hoping my core temperature would start to drop. And I was shivering. In my first attempt to hold my breath, I couldn't even last a minute. So, I realized that was completely not going to work.
เริ่มลองทีแรก ผมว่าสามารถทำอะไรที่คล้ายกันกับสถานการณ์ของเด็กคนนั้นได้ ผมเลยสร้างถังน้ำ แล้วก็เอาน้ำเย็นและน้ำแข็งใส่เข้าไป แล้วผมก็เข้าไปอยู่ในถังนั้น หวังว่าอุณภูมิร่างกายของผมจะเริ่มลดลง แล้วตัวผมก็สั่นงันงก ในครั้งแรกที่ผมลองกลั้นหายใจ ผมกลั้นได้ไม่ถึงนาที ผมเลยเข้าใจว่าวิธีนี้มันไม่ได้ผลแน่นอน
I went to talk to a doctor friend -- and I asked him, "How could I do that?" "I want to hold my breath for a really long time. How could it be done?" And he said, "David, you're a magician, create the illusion of not breathing, it will be much easier."
จากนั้น ผมก็ได้ไปคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอ ผมถามเขาว่า ผมจะแบบนั้นได้ยังไง "ผมอยากกลั้นหายใจให้ได้เป็นเวลานานมากๆ ผมควรจะทำไงดี" เขาตอบว่า "เดวิด (David) คุณเป็นนักมายากลไม่ใช่เหรอ มันจะง่ายกว่าเยอะนะ ถ้าคุณแค่สร้างภาพว่าคุณหยุดหายใจ"
(Laughter)
(หัวเราะ)
So, he came up with this idea of creating a rebreather, with a CO2 scrubber, which was basically a tube from Home Depot, with a balloon duct-taped to it, that he thought we could put inside of me, and somehow be able to circulate the air and rebreathe with this thing in me. This is a little hard to watch. But this is that attempt. So, that clearly wasn't going to work.
แล้วเขาเลยก็ออกความคิด ว่าจะสร้างเครื่องช่วยหายใจในการดำน้ำแบบวงจรปิด (rebreather) ด้วยหลอดกรองคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 scrubber) แบบที่หาซื้อทั่วไปได้ตามร้านโฮมดีโป้ (Home Depot) และลูกโป่งพันติดเข้าไปด้วยเทปกาว เขาคิดว่าจะใส่เจ้าเครื่องนี้เข้าไปในตัวผม แล้วผมก็จะสามารถหมุนเวียนอากาศและหายใจซ้ำจากอากาศในตัวผมเองได้ ด้วยเจ้าเครื่องนี่ ภาพมันค่อยข้างจะบาดตาหน่อยนะ แต่นี่ก็คือความพยายามครั้งนั้น ซึ่งก็แน่นอนว่ามัน ไม่ได้ผล
(Laughter)
(หัวเราะ)
Then I actually started thinking about liquid breathing. There is a chemical that's called perflubron. And it's so high in oxygen levels that in theory you could breathe it. So, I got my hands on that chemical, filled the sink up with it, and stuck my face in the sink and tried to breathe that in, which was really impossible. It's basically like trying to breathe, as a doctor said, while having an elephant standing on your chest. So, that idea disappeared.
จากนั้น ผมเริ่มคิดจริงจังเกี่ยวกับ การหายใจด้วยของเหลว (Liquid breathing) มันมีน้ำยาเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เพอร์ฟลูบอล์น (perflubron) ที่ประกอบไปด้วยออกซิเจน (Oxygen) เข้มข้นสูง เสียจนตามทฤษฏี, คุณจะสามารถหายใจด้วยมันได้ พอผมได้มันมา และผมก็เทมันลงไปให้เต็มอ่างล้างหน้า แล้วผมก็จุ่มหน้าผมลงไป พยายามที่จะหายใจในนั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ความรู้สึกตอนนั้นมันคล้ายๆกับการพยายามหายใจ โดยมีช้างทั้งตัวยืนทับอกคุณอยู่ ความคิดนี้ก็เลยล้มไป
Then I started thinking, would it be possible to hook up a heart/lung bypass machine and have a surgery where it was a tube going into my artery, and then appear to not breathe while they were oxygenating my blood? Which was another insane idea, obviously.
หลังจากนั้น ผมเริ่มคิดอีกว่า มันจะเป็นไปได้รึเปล่าที่จะต่อเครื่องบายพาส (bypass) ปอดกับหัวใจ โดยการผ่าตัดเอาท่อใส่เข้าไปที่เส้นเลือดแดงที่ออกจากหัวใจ แล้วให้มันดูเหมือนว่าผมไม่หายใจ แต่จริงๆแล้วเครื่องนี้กำลังให้ออกซิเจนกับเลือดผมอยู่แทนการหายใจ ซึ่งก็แน่นอน, มันก็เป็นความคิดสุดโต่งเกินไปอีกอันหนึ่ง
Then I thought about the craziest idea of all the ideas: to actually do it.
จนในที่สุด ผมเริ่มคิดความคิดงี่เง่าที่สุด จากความคิดทั้งหมด ที่สุดท้ายแล้ว ผมทำมันจริงๆ
(Laughter)
(หัวเราะ)
To actually try to hold my breath past the point that doctors would consider you brain dead. So, I started researching into pearl divers. You know, because they go down for four minutes on one breath. And when I was researching pearl divers, I found the world of free-diving. It was the most amazing thing that I ever discovered, pretty much. There is many different aspects to free-diving. There is depth records, where people go as deep as they can. And then there is static apnea. That's holding your breath as long as you can in one place without moving. That was the one that I studied.
คือการกลั้นหายใจให้ได้จนถึงจุดนึง ที่เหล่าหมอๆ จะบอกว่าคุณสมองตายแล้ว ผมเลยเริ่มค้นคว้า เกี่ยวกับคนดำน้ำเก็บมุก คุณรู้รึเปล่าว่าคนพวกนั้นสามารถดำน้ำลงไปได้ 4 นาทีต่อการกลั้นหายใจ 1 ครั้ง และระหว่างที่ผมทำการค้นคว้าเกี่ยวกับคนดำน้ำเก็บมุก ผมก็ได้พบกับโลก ของการดำน้ำตัวเปล่า (freediving) มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่ผมเคยค้นพบมาเลยทีเดียว ซึ่งเป้าหมายของการดำน้ำตัวเปล่าก็มีหลายแบบ มีทั้งสถิติความลึกในการดำน้ำ ที่คนแข่งขันกันที่จะดำน้ำให้ได้ลึกที่สุด และสถิติการหยุดหายใจ ซึ่งก็คือการกลั้นหายใจให้ได้นานที่สุด ในที่ที่หนึ่งโดนไม่เคลื่อนไหว นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่ผมศึกษามา
The first thing that I learned is when you're holding your breath, you should never move at all; that wastes energy. And that depletes oxygen, and it builds up CO2 in your blood. So, I learned never to move. And I learned how to slow my heart rate down. I had to remain perfectly still and just relax and think that I wasn't in my body, and just control that. And then I learned how to purge. Purging is basically hyperventilating. You blow in and out --
สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้ก็คือ ตอนที่คุณกลั้นหายใจ คุณไม่ควรที่จะขยับเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมันจะทำให้คุณสูญเสียพลังงาน ซึ่งก็คือการสูญเสียออกซิเจน และหมายถึงการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นในเลือดของคุณอีกต่างหาก ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ว่าห้ามขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว และผมเรียนรู้ที่จะควมคุมให้หัวใจผมเต้นช้าลง โดยผมต้องนิ่งไม่ขยับเลย และผ่อนคลาย และคิดว่าผมไม่ได้อยู่ในร่างกายตัวเอง แค่ควบคุมทั้งสามอย่างนั้น หลังจากนั้นผมเรียนรู้ที่จะทำการไล่อากาศ การไล่อากาศ คือการหายใจอย่างแรง คุณเป่าลมเข้าและออก
(Breathing loudly)
You do that, you get lightheaded, you get tingling. And you're really ridding your body of CO2. So, when you hold your breath, it's infinitely easier. Then I learned that you have to take a huge breath, and just hold and relax and never let any air out, and just hold and relax through all the pain.
คุณทำอย่างนั้นและคุณจะรู้สึกหัวเบาๆ หวิวๆ เพราะคุณกำลังไล่คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกจากตัวคุณอยู่จริงๆ ดังนั้นเมื่อคุณกลั้นหายใจมันจะง่ายขึ้นแน่นอน หลังจากนั้นผมเรียนรู้ที่จากหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วก็กลั้นหายใจไว้ ทำตัวสบายๆและจะไม่ยอมปล่อยลมออกมาอย่างเด็ดขาด แล้วก็แค่กลั้นไว้ ปล่อยให้ผ่านความเจ็บปวดทั้งหลายผ่านไป
Every morning, this is for months, I would wake up and the first thing that I would do is I would hold my breath for, out of 52 minutes, I would hold my breath for 44 minutes. So, basically what that means is I would purge, I'd breathe really hard for a minute. And I would hold, immediately after, for five and a half minutes. Then I would breathe again for a minute, purging as hard as I can, then immediately after that I would hold again for five and a half minutes. I would repeat this process eight times in a row. Out of 52 minutes, you're only breathing for eight minutes. At the end of that you're completely fried, your brain. You feel like you're walking around in a daze. And you have these awful headaches. Basically, I'm not the best person to talk to when I'm doing that stuff.
ผมทำแบบนี้ทุกๆเช้า เป็นเวลาหลายๆเดือน ผมตื่นขึ้นมาและสิ่งแรกที่ผมทำ ก็คือกลั้นหายใจ ในเวลาทั้งหมด 52 นาที ผมจะกลั้นหายใจ 44 นาที ส่วนเวลาที่เหลือผมก็จะทำการไล่อากาศ ผมจะหายใจเข้าออกอย่างแรงเป็นเวลา 1 นาที แล้วต่อจากนั้นผมก็จะกลั้นหายใจ 5 นาทีครึ่ง แล้วผมก็จะหายใจอีกทีเป็นเวลา 1 นาที เป่าลมเข้าและออกอย่างเต็มแรงที่สุดที่ผมทำได้ หลังจากนั้นก็กลั้นหายใจอีกครั้ง 5 นาทีครึ่ง ผมทำอย่างนี้ 8 รอบ มันก็หมายความว่า คุณหายใจแค่ 8 นาทีเท่านั้นจากเวลาทั้งหมด 52 นาที สุดท้ายมันก็คือการที่คุณกำลังทอดสมองคุณ คุณจะรู้สึกเหมือนกำลังเดินอย่างมึนๆ และคุณก็จะปวดหัวอย่างสุดๆ ผมจะคุยไม่รู้เรื่องไปพักนึง เวลาที่ผมทำการฝึกอย่างนี้
I started learning about the world-record holder. His name is Tom Sietas. And this guy is perfectly built for holding his breath. He's six foot four. He's 160 pounds. And his total lung capacity is twice the size of an average person. I'm six foot one, and fat. We'll say big-boned.
แล้วผมก็เริ่มรู้เกี่ยวกับผู้ที่ครองสถิติโลก ชื่อของเขาคือนาย ทอม ซีทัส (Tom Sietas) และนายคนนี้เกิดมาเพื่อกลั้นหายใจจริงๆ เขาสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว (190 เซนติเมตร), หนัก 160 ปอนด์ (72.5 กิโลกรัม) และมีความจุรวมของปอด เป็น 2 เท่าของคนปกติทั่วไป ส่วนผมสูง 6 ฟุต 1 นิ้ว (182.5 cm) และอ้วน หรือผมขอใช้คำว่าตัวใหญ่ดีกว่า
(Laughter)
(หัวเราะ)
I had to drop 50 pounds in three months. So, everything that I put into my body, I considered as medicine. Every bit of food was exactly what it was for its nutritional value. I ate really small controlled portions throughout the day. And I started to really adapt my body.
ผมต้องลดน้ำหนัก 50 ปอนด์ (23 กิโลกรัม) ภายในเวลา 3 เดือน ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกินเข้าไป ผมถือว่ามันคือยา ทุกๆส่วนของอาหารที่ผมกินมันต้องมีคุณค่าทางอาหาร ผมกินน้อยๆอย่างจำกัด ตลอดทั้งวัน และผมก็เริ่มที่จะปรับร่างกายผมได้
[Individual results may vary]
(หัวเราะ)
(Laughter)
The thinner I was, the longer I was able to hold my breath. And by eating so well and training so hard, my resting heart-rate dropped to 38 beats per minute. Which is lower than most Olympic athletes. In four months of training, I was able to hold my breath for over seven minutes. I wanted to try holding my breath everywhere. I wanted to try it in the most extreme situations to see if I could slow my heart rate down under duress.
ยิ่งผมผอมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งกลั้นหายใจได้นานขึ้นเท่านั้น ด้วยความพยายามควบคุมการกินอย่างดีเลิสและการฝึกกลั้นหายใจอย่างหนัก อัตราการเต้นของหัวใจในภาวะปกติของผมลดลงจนเหลือ 38 ครั้งต่อนาที ซึ่งน้อยกว่านักกีฬาโอลิมปิกส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ภายในเวลา 4 เดือนของการฝึกฝน ผมก็สามารถที่จะกลั้นหายใจได้ กว่า 7 นาที ผมอยากจะกลั้นหายใจในทุกๆที่ แล้วผมก็อยากจะลองทำในสถานการณ์ที่สุดขั้ว เพื่อดูว่าผมยังคงควบคุมการเต้นของหัวใจให้มันช้าลงได้ไหม
(Laughter)
ภายใต้ความกดดัน
I decided that I was going to break the world record live on prime-time television. The world record was eight minutes and 58 seconds, held by Tom Sietas, that guy with the whale lungs I told you about. I assumed that I could put a water tank at Lincoln Center and if I stayed there a week not eating, I would get comfortable in that situation and I would slow my metabolism, which I was sure would help me hold my breath longer than I had been able to do it. I was completely wrong.
(หัวเราะ) ตอนนั้นผมตัดสินใจว่าผมจะทำลายสถิติโลกล่ะ ผ่านการถ่ายทอดสดทางทีวี ในช่วงเวลาที่มีคนดูมากที่สุด สถิติโลกคือ 8 นาที 58 วินาที โดยนาย ทอม ซีทัส (Tom Sietas) ผู้ชายที่เกิดมาพร้อมกับปอดปลาวาฬ ที่ผมเพิ่งพูดถึงสักครู่ (หัวเราะ) ผมกะเอาว่าถ้าผมสามารถเอาแทงค์น้ำไปวางที่ลินคอร์นเซนเตอร์ (Lincoln center) แล้วอยู่ที่นั่นโดยไม่กินข้าวเป็นเวลาสัก 1 สัปดาห์ ผมคงอยู่ที่สภาพที่สบายๆ เมื่อผมอยู่สถานการณ์นั้น และผมก็จะสามารถลดกระบวนการเผาผลาญพลังงาน (metabolism) ซึ่งผมมั่นใจว่ามันจะช่วยให้ผมกลั้นหายใจ ได้นานกว่าที่ผมเคยทำได้ ผมเข้าใจผิดอย่างแรง
I entered the sphere a week before the scheduled air date. And I thought everything seemed to be on track. Two days before my big breath-hold attempt, for the record, the producers of my television special thought that just watching somebody holding their breath, and almost drowning, is too boring for television.
ผมเข้าไปอยู่ในแทงค์กลมเป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนที่จะถ่ายทอดสด และผมก็คิดว่าทุกๆอย่างมันลงตัวดี 2 วันก่อนที่ผมจะทำการกลั้นหายใจสร้างสถิติโลก โปรดิวเซอร์รายการทีวี คิดว่าแค่ดูใครสักคน กลั้นหายใจ แล้วก็เกือบจะจมน้ำ มันคงน่าเบื่อไปสำหรับรายการทีวี
(Laughter)
(หัวเราะ)
So, I had to add handcuffs, while holding my breath, to escape from. This was a critical mistake. Because of the movement, I was wasting oxygen. And by seven minutes I had gone into these awful convulsions. By 7:08, I started to black out. And by seven minutes and 30 seconds, they had to pull my body out and bring me back. I had failed on every level.
ดังนั้น ผมต้องถูกใส่กุญแจมือ ขณะกลั้นหายใจ เพื่อกันไม่ให้หนีได้ นี่คือความผิดมหันต์ เพราะว่ามันทำให้เกิดการเคลื่อนไหวและผมก็สูญเสียอ๊อกซิเจนมากขึ้น ผ่านไป 7 นาที ที่ตัวผมเกร็งอย่างน่ากลัว ตอนนาทีที่ 7:08 ผมเริ่มที่จะไม่รู้สึกตัว และนาทีที่ 7:30 เจ้าหน้าที่ก็ต้องดึงร่างผมขึ้นมา ผมล้มเหลวในทุกๆส่วน
(Laughter)
(หัวเราะ)
So, naturally, the only way out of the slump that I could think of was, I decided to call Oprah.
เพราะอย่างนั้น มันมีแค่ทางเดียวที่จะหลุดจากความตกต่ำ ที่ผมคิดออกได้ คือการตัดสินใจที่จะโทรหาโอปราห์ (Oprah)
(Laughter)
(หัวเราะ)
I told her that I wanted to up the ante and hold my breath longer than any human being ever had. This was a different record. This was a pure O2 static apnea record that Guinness had set the world record at 13 minutes. So, basically you breathe pure O2 first, oxygenating your body, flushing out CO2, and you are able to hold much longer. I realized that my real competition was the beaver.
ผมบอกเธอว่าผมต้องการที่จะกู้หน้ากลับมา และกลั้นหายใจให้นานที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยทำมาก่อน อันนี้คือสถิติอีกแบบนึง มันคือสถิติโดยการใช้อ๊อกซิเจนบริสุทธิ์ สถิติการหยุดหายใจแบบสแตติกแอพเนีย (static apnea) ที่กินเนสบุค ได้บันทึกไว้คือ 13 นาที จริงๆแล้ว มันก็คือการหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าไปก่อน ลำเลียงอ๊อกซิเจนเข้าไปในร่างกายคุณ และไล่เอาคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกมา และคุณจะสามารถกลั้นหายใจได้นานมากขึ้น ผมเพิ่งรู้ว่าคู่แข่งจริงๆของผมคือ ตัวบีเวอร์
(Laughter)
(หัวเราะ)
(Laughter ends)
In January of '08, Oprah gave me four months to prepare and train. So, I would sleep in a hypoxic tent every night. A hypoxic tent is a tent that simulates altitude at 15,000 feet. So, it's like base camp, Everest. What that does is, you start building up the red bloodcell count in your body, which helps you carry oxygen better. Every morning, again, after getting out of that tent, your brain is completely wiped out. My first attempt on pure O2, I was able to go up to 15 minutes. So, it was a pretty big success.
เดือนมกราคมปี 2008 โอปราห์ (Oprah) ให้เวลาผม 4 เดือนเพื่อเตรียมตัวและฝึกซ้อม ดังนั้น ผมจึงนอนในไฮโปซิก (hypoxic) เต๊นท์ทุกคืน ไฮโปซิก (hypoxic) เต๊นท์คือเต๊นท์ที่จำลอง สภาพที่ความสูง 15,000 ฟุต (4572 เมตร) ซึ่งคือเทียบเท่ากับแคมป์บนยอดเขาเอเวอเรสต์นั่นเอง การทำแบบนี้ทำให้ ร่างกายคุณเริ่มสร้าง เม็ดเลือดแดงในร่างกายมากขึ้น ซึ่งมันช่วยให้ร่างกายคุณลำเลียงออกซิเจนได้ดีขึ้น และในทุกๆเช้า คราวนี้ หลังจากออกจากเต๊นท์ คุณจะเหมือนกับโดนล้างสมอง การลองครั้งแรกกับออกซิเจนบริสุทธิ์ ผมสามารถที่จะทำได้ถึง 15 นาที มันก็นับได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่
The neurosurgeon pulled me out of the water because in his mind, at 15 minutes your brain is done, you're brain dead. So, he pulled me up, and I was fine. There was one person there that was definitely not impressed. It was my ex-girlfriend. While I was breaking the record underwater for the first time, she was sifting through my Blackberry, checking all my messages.
หมอดึงผมออกจากน้ำ เพราะในความเข้าใจของเขา เวลา 15นาที สมองคุณตายแล้ว คุณจะเป็นโรคสมองตาย เขาดึงผมขึ้นมา แต่ว่าผมปกติดี มีคนอยู่ 1 คนที่ไม่ประทับใจกับการทำอย่างนี้เลย นั่นคือแฟนเก่าของผม ขณะที่ผมกำลังจะทำลายสถิติใต้น้ำ เป็นครั้งแรก เธอกลับกำลังนั่งเคาะ BB ของผม (Blackberry) และเช็คข้อความในนั้นทั้งหมด
(Laughter)
(หัวเราะ)
My brother had a picture of it. It is really --
พี่ชายผมถ่ายรูปนั้นเอาไว้ มัน...เอ่อ
(Laughter)
(หัวเราะ)
(Laughter ends)
หลังจากนั้นผมก็ประกาศต่อสาธารณขนว่าผมจะทำลาย
I then announced that I was going to go for Sietas' record, publicly. And what he did in response, is he went on Regis and Kelly, and broke his old record. Then his main competitor went out and broke his record. So, he suddenly pushed the record up to 16 minutes and 32 seconds. Which was three minutes longer than I had prepared. It was longer than the record.
สถิติของซีทัสท่ามกลางสาธารณชน และสิ่งที่เขาโต้ตอบผมก็คือ เขาไปที่รายการโทรทัศน์ รึจิสและเคลลี่ (Regis and Kelly) แล้วก็ทำลายสถิติเก่าของเขาเอง หลังจากนั้นคุณแข่งของเขาก็ทำลายสถิติเขาลง แล้วเขาก็ทำลายสถิติคู่แช่งเขาอีกที โดยสถิติใหม่คือ 16 นาที 32 วินาที ซึ่งมันนานกว่าที่ผมเตรียมมาถึง 3 นาที
I wanted to get the Science Times to document this. I wanted to get them to do a piece on it. So, I did what any person seriously pursuing scientific advancement would do. I walked into the New York Times offices and did card tricks to everybody.
มันนานกว่าสถิติเดิมครับ คราวนี้ผมอยากให้นิตยสารไซแอนซ์ไทม์ (Science Times) มารวบรวมข้อมูลสิ่งที่ผมจะทำ และทำบันทึกขึ้นมา ดังนั้น ผมจึงทำในสิ่งที่คนคนนึง ที่ตั้งใจจะทำความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ควรจะทำ ผมเดินเข้าไปที่สำนักงานนิวยอร์คไทม์ (New York Times)
(Laughter)
แล้วก็เล่นกลไพ่ให้ทุกๆคนดู
So, I don't know if it was the magic or the lure of the Cayman Islands, but John Tierney flew down and did a piece on the seriousness of breath-holding.
(หัวเราะ) ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเวทมนตร์หรือว่าอาถรรพ์ของเกาะเคย์แมน (Cayman islands) ที่ทำให้ผมได้พบกับ จอห์น เทียร์นี่ (John Tierney) และได้แสดงการกลั้นหายใจแบบเจ๋งๆให้เขาดู
While he was there, I tried to impress him, of course. And I did a dive down to 160 feet, which is basically the height of a 16 story building, and as I was coming up, I blacked out underwater, which is really dangerous; that's how you drown. Luckily, Kirk had seen me and he swam over and pulled me up.
และแน่นอน ขณะที่เขาอยู่ที่นั่นผมพยายามจะทำให้เขาทึ่ง ผมดำน้ำลงไปลึก 160 ฟุต (48 เมตร) ก็ลึกประมาณตึกสูง 16 ชั้นละครับ และขณะที่ผมกำลังว่ายขึ้นมา ผมเกิดหมดสติไป ซึ่งมันอันตรายสุดๆ มันก็คือจมน้ำนั่นแหละ โชคยังดีที่เคิร์ค (Kirk) เห็นผม แล้วเขาก็ว่ายลงไปดึงผมขึ้นมา
So, I started full focus. I completely trained to get my breath-hold time up for what I needed to do. But there was no way to prepare for the live television aspect of it, being on Oprah. But in practice, I would do it face down, floating on the pool. But for TV they wanted me to be upright so they could see my face, basically. The other problem was the suit was so buoyant that they had to strap my feet in to keep me from floating up. So, I had to use my legs to hold my feet into the straps that were loose, which was a real problem for me. That made me extremely nervous, raising the heart rate.
ผมเริ่มจะมีสติ ผมถูกฝึกมาเสียจนรู้ว่าเพื่อให้กลับมาหายใจได้ปกติ ผมต้องทำอะไรบ้าง แต่มันก็ไม่มีทางแล้วสำหรับรายการทีวีถ่ายทอดสด จากรายการของโอปราห์ (Oprah) ตอนฝึก ผมลอยตัวเหนือน้ำ แล้วคว่ำหน้าลง แต่ว่าทางรายการทีวีต้องการให้ผม ลอยตัวในแนวดิ่ง เพื่อที่เขาจะได้เห็นหน้าผม ปัญหาก็คือ ชุดที่ผมใส่มันดันลอยน้ำ แล้วพวกเขาก็ต้องรัดเท้าผมไว้เพื่อไม่ให้ตัวผมลอย เพราะงั้น ผมก็ต้องใช้กำลังขาเพื่อที่จะรั้งเท้าผมไว้ในสายรัดหลวมๆ ซึ่งมันคือปัญหาใหญ่สุดๆสำหรับผม มันทำให้ผมกังวลแทบบ้า
Then, what they also did was, which we never did before, is there was a heart-rate monitor. And it was right next to the sphere. So, every time my heart would beat, I'd hear the beep-beep-beep-beep, you know, the ticking, really loud. Which was making me more nervous. And there was no way to slow my heart rate down. Normally, I would start at 38 beats per minute, and while holding my breath, it would drop to 12 beats per minute, which is pretty unusual.
เพราะมันก็คือการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจนั่นเอง สิ่งที่พวกรายการทีวีทำอีกอย่างก็คือ เขาติดเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งเราไม่เคยติดมาก่อน แล้วเครื่องมันก็ดันอยู่ติดกับแทงค์ที่ผมอยู่เลย ดังนั้นทุกๆครั้งที่หัวใจผมเต้น ผมก็ได้ยินเสียง บี๊ป บี๊ป บี๊ป บี๊ป คุณรู้เปล่า ว่าเสียงมันโคตรดังเลย ซึ่งยิ่งทำให้ผมกังวลมากขึ้นไปอีก และแล้วมันก็ไม่มีทางให้ผมที่จะลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง ซึ่งโดยปกติ ผมจะเริ่มจาก 38 ครั้งต่อนาที แล้วขณะที่ผมกำลังกลั้นหายใจ มันก็จะลดลงไปเหลือ 12 ครั้งต่อนาที ซึ่งค่อยข้างจะผิดปกติ
(Laughter)
(หัวเราะ)
This time it started at 120 beats, and it never went down. I spent the first five minutes underwater desperately trying to slow my heart rate down. I was just sitting there thinking, "I've got to slow this down. I'm going to fail." And I was getting more nervous. And the heart rate just kept going up and up, all the way up to 150 beats. Basically it's the same thing that created my downfall at Lincoln Center. It was a waste of O2. When I made it to the halfway mark, at eight minutes, I was 100 percent certain that I was not going to be able to make this. There was no way for me to do it.
ครั้งนี้ผมเริ่มที่ 120 ครั้งต่อนาที แล้วมันก็ไม่ลดลงเลย ผมใช้เวลา 5 นาทีแรกใต้น้ำ พยายามสุดๆที่จะลดอัตราการเต้นของหัวใจ ผมอยู่ในนั้นเอาแต่คิดว่า ผมต้องลดการเต้นของหัวใจลง งานนี้ผมเจ๊งอีกแน่ งานนี้ผมเจ๊งอีกแน่ แล้วผมก็ยิ่งกังวลมากขึ้น มากขึ้น หัวใจผมก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้น ขึ้นไปจนถึง 150 ครั้งต่อนาที มันก็เหมือนกับตอนที่ผมล้มเหลวที่ลินคอล์นเซนเตอร์ (Lincoln Center) มันเปลืองออกซิเจน ตอนที่ผมกลั้นหายไปได้สักครึ่งทาง ถึงนาทีที่ 8 ผมก็มั่นใจได้ 100 เปอร์เซนต์ว่า ผมทำไม่ได้ชัวร์ มันไม่มีทางแล้วที่ผมจะทำลายสถิติได้
I figured, Oprah had dedicated an hour to doing this breath-hold thing, if I had cracked early, it would be a whole show about how depressed I am.
ผมคิดต่อไปไว้ ถ้าโอปราห์ (Oprah) ต้องทำรายการสักชั่วโมงนึง กับเรื่องที่ผมกลั้นหายใจ แล้วดันเจ๊งกลางทาง มันคงจะเป็นกลายรายการเกี่ยวกับว่าผมเศร้าแค่ไหนมากกว่า
(Laughter)
(หัวเราะ)
So, I figured I'm better off just fighting and staying there until I black out, at least then they can pull me out and take care of me and all that.
ผมคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าผมสู้ต่อไป ทนมันไปจนสลบ อย่างน้อยสุดท้ายพวกเขาก็จะดึงผมขึ้นมาและช่วยกันดูแลผม
(Laughter)
(หัวเราะ)
I kept pushing to 10 minutes. At 10 minutes you start getting all these really strong tingling sensations in your fingers and toes. And I knew that that was blood shunting, when the blood rushes away from your extremities to provide oxygen to your vital organs. At 11 minutes I started feeling throbbing sensations in my legs, and my lips started to feel really strange.
ผมทนต่อไปจนถึง 10 นาที ณ ตอน 10 นาทีนี้ ความรู้สึกพวกนี้มันเริ่มรุนแรง ความรู้สึกเจ็บแป๊ปๆตามนิ้วมือนิ้วเท้า ผมรู้ว่ามันคือการหน่วงของเลือด เมื่อเลือดพยายามที่จะหนีจากจุดที่แย่สุดๆ เพื่อที่จะหาออกซิเจนให้กับอวัยวะส่วนที่สำคัญๆของคุณ ณ นาทีที่ 11 ผมเริ่มที่จะรู้สึก ว่าขาผมเต้นตุ๊บๆ ริมฝีปากผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ
At minute 12 I started to have ringing in my ears, and I started to feel my arm going numb. And I'm a hypochondriac, and I remember arm numb means heart attack. So, I started to really get really paranoid. Then at 13 minutes, maybe because of the hypochondria, I started feeling pains all over my chest. It was awful.
ณ นาทีที่ 12 ผมเริ่มจะได้ยินเสียงวิ้งๆในหูของผม แล้วแขนผมก็เริ่มชา และผมก็เริ่มคิดมาก ผมจำได้ว่าแขนชานี่คือหัวใจกำลังจะล้มเหลว ซึ่งทำให้ผมเริ่มจะนอยสุดๆ ณ นาทีที่ 13 บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมกังวลมากเกินไป ผมเริ่มเจ็บทั่วทั้งหน้าอก ความรู้สึกมันแย่สุดๆ
(Laughter)
นาทีที่ 14
At 14 minutes, I had these awful contractions, like this urge to breathe.
ผมเริ่มรู้สึกแย่สุดๆ ผมอยากที่จะหายใจ
(Laughter)
(หัวเราะ)
(Laughter ends)
At 15 minutes I was suffering major O2 deprivation to the heart. And I started having ischemia to the heart. My heartbeat would go from 120 to 50, to 150, to 40, to 20, to 150 again. It would skip a beat. It would start. It would stop. And I felt all this. And I was sure that I was going to have a heart attack.
นาทีที่ 15 ผมแย่อีก ออกซิเจนส่วนใหญ่ในหัวใจผมเริ่มหมด เริ่มจะมีอาการหัวใจเต้นไม่เป็นจังหว่ะ หัวใจผมเริ่มเต้นจาก 120 ไป 50 ไป 150 ไป 40 ไป 20 ไป 150 อีกที มันเต้นข้ามจังหวะ เดี๋ยวก็เต้น เดี๋ยวก็หยุด ผมรู้สึกได้ทั้งหมด และผมมั่นใจเลยว่าหัวใจผมกำลังจะล้มเหลว
So, at 16 minutes what I did is I slid my feet out because I knew that if I did go out, if I did have a heart attack, they'd have to jump into the binding and take my feet out before pulling me up. I was really nervous. I let my feet out, and I started floating to the top. And I didn't take my head out. But I was just floating there waiting for my heart to stop, just waiting.
ดังนั้น นาทีที่ 16 สิ่งที่ผมทำคือผมเอาขาออกจากสายรัด เพราะว่าผมรู้ว่าถ้าผมออกไปได้ ถ้าผมเกิดหัวใจล้มเหลว พวกเขาต้อง เข้ามาแกะสายรัดขาแล้วก็เอาขาผมออกมา ก่อนที่พวกเขาจะดึงผมขึ้นไปได้ ซึ่งมันทำให้ผมกังวลสุดๆ ดังนั้นผมเอาขาออก แล้วก็ลอยตัวขึ้นไปด้านบน แต่ว่าผมไม่ได้เอาหัวออกจากน้ำ ผมแค่ลอยตัวอยู่ที่นั่นเพื่อรอให้หัวใจผมหยุดเต้น แค่รอ ตอนนั้นพวกเขามีหมอกับ ”Pst"
They had doctors with the "Pst," you know, sitting there waiting. And then suddenly I hear screaming. And I think that there is some weird thing -- that I had died or something had happened. And then I realized that I had made it to 16:32. So, with the energy of everybody that was there, I decided to keep pushing. And I went to 17 minutes and four seconds.
นั่งรออยู่นั่น แล้วอยู่ผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง และผมคิดว่าน่าจะมีสิ่งผิดปกติ แบบผมเพิ่งตาย หรือว่าบางอย่างแย่ๆเกิดขึ้น แล้วผมก็มารู้ภายหลังว่าผมได้ผ่าน 16:32 มาแล้ว ด้วยพลังของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ผมจึงพยายามจะฝืนต่อ และผมก็กลั้นหายใจได้ถึง 17 นาที กับ 4 วินาที
(Applause)
(ตบมือ)
(Applause ends)
As though that wasn't enough, what I did immediately after is I went to Quest Labs and had them take every blood sample that they could to test for everything and to see where my levels were, so the doctors could use it, once again. I also didn't want anybody to question it. I had the world record and I wanted to make sure it was legitimate.
แค่นั้นยังไม่พอ สิ่งที่ผมทำทันทีหลังจากนั้นคือ ตรงไปที่เควสแลบส์ (Quest Labs) แล้วให้พวกเขาเก็บตัวอย่างเลือดผมตามที่เขาต้องการ เพื่อทดสอบทุกอย่างให้เห็นว่า สภาพผมเป็นไง เพื่อที่พวกหมอ สามารถใช้มันได้อีกครั้งด้วย ผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมาตั้งคำถาม ผมสร้างสถิติโลกและผมก็อยากจะ
So, I get to New York City the next day, I'm walking out of the Apple store, and this kid walks up to me he's like, "Yo, D!" I'm like "Yeah?" He said, "If you really held your breath that long, why'd you come out of the water dry?" I was like "What?"
ยืนยันให้แน่ใจว่ามันถูกต้อง ผมไปที่เมืองนิวยอร์ค (New York City) ในวันรุ่งขึ้น แล้วก็มีเด็กคนนึงเดินมาหาผม ขณะที่ผมกำลังเดินออกจากแอปเปิลสโตร์ เด็กคนนี้เดินมาหาผมแบบว่า "เฮ่" ผมก็ตอบไป “ไง" เขาพูดว่า "ถ้าคุณกลั้นหายใจได้นานขนาดนั้นจริงๆ ทำไมตอนคุณออกมาจากน้ำตัวคุณแห้งล่ะ?" ผมเลยแบบว่า "ว่าไงนะ!?”
(Laughter)
(หัวเราะ)
And that's my life. So --
ชีวิตผมก็แบบนี้ล่ะ
(Laughter)
(หัวเราะ)
As a magician, I try to show things to people that seem impossible. And I think magic, whether I'm holding my breath or shuffling a deck of cards, is pretty simple. It's practice, it's training, and it's -- (Sobs) It's practice, it's training and experimenting,
ด้วยความเป็นนักมายากลผมพยายามที่จะแสดงอะไรที่คน คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ และผมว่า มายากล ไม่ว่าการที่ผมกลั้นหายใจ การสับไพ่ มันง่ายนิดเดียว มันคือการฝึกหัด มันคือการฝึกซ้อม และมันคือ การฝึกหัด และมันคือการฝึกซ้อม และการทดลอง
(Sobs)
คือการผลักดันตัวเองให้ผ่านความเจ็บปวด เพื่อจะไปให้ถึงจุดสูงสุดที่ผมจะสามารถไปได้
while pushing through the pain to be the best that I can be. And that's what magic is to me, so, thank you.
และนั่นคือความหมายของมายากล (เวทย์มนตร์) สำหรับผม ขอบคุณครับ (ปรบมือ)
(Applause)