So, I'll start with this: a couple years ago, an event planner called me because I was going to do a speaking event. And she called, and she said, "I'm really struggling with how to write about you on the little flyer." And I thought, "Well, what's the struggle?" And she said, "Well, I saw you speak, and I'm going to call you a researcher, I think, but I'm afraid if I call you a researcher, no one will come, because they'll think you're boring and irrelevant."
เริ่มต้นอย่างนี้ละกันค่ะ 2-3 ปีก่อน มีผู้จัดงานคนนึงโทรมาหา เพราะฉันกำลังจะไปพูดบรรยาย เธอโทรมา แล้วบอกว่า "ฉันกำลังคิดไม่ตก ว่าจะเขียนแนะนำคุณยังไงในใบปลิวโฆษณา" ฉันเลยถามไปว่า "มีปัญหาตรงไหนเหรอคะ" เธอตอบว่า "คือ ฉันเคยฟังคุณพูด และคิดว่าฉันน่าจะเรียกคุณว่า'นักวิจัย' แต่ก็กลัวว่า ถ้าเรียกคุณว่า'นักวิจัย' แล้วจะไม่มีใครมาฟัง เพราะคนเขาจะคิดว่าคุณน่าเบื่อและไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเขา" (เสียงหัวเราะ)
(Laughter)
ฉันก็บอกกลับว่า "โอเค"
And I was like, "Okay." And she said, "But the thing I liked about your talk is you're a storyteller. So I think what I'll do is just call you a storyteller." And of course, the academic, insecure part of me was like, "You're going to call me a what?" And she said, "I'm going to call you a storyteller." And I was like, "Why not 'magic pixie'?"
เธอบอกว่า"แต่ที่ฉันชอบเกี่ยวกับการบรรยายของคุณน่ะ คือความที่คุณเป็นนักเล่าเรื่อง ก็เลยคิดว่าเรียกคุณว่า'นักเล่าเรื่อง'แล้วกัน" ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนความเป็นนักวิชาการและความไม่มั่นใจของฉัน ถามว่า "จะเรียกฉันว่าอะไรนะ" เธอบอกว่า "จะเรียกคุณว่า 'นักเล่าเรื่อง' ค่ะ" ฉันเลย แบบว่า "ไม่เรียกว่า 'ภูตน้อยมหัศจรรย์' ไปซะเลยล่ะ" (เสียงหัวเราะ)
(Laughter)
I was like, "Let me think about this for a second." I tried to call deep on my courage. And I thought, you know, I am a storyteller. I'm a qualitative researcher. I collect stories; that's what I do. And maybe stories are just data with a soul. And maybe I'm just a storyteller. And so I said, "You know what? Why don't you just say I'm a researcher-storyteller." And she went, "Ha ha. There's no such thing."
ฉันก็บอกว่า "เดี๋ยวขอคิดแป๊บนึง" ฉันพยายามจะควานหาความกล้าในตัวเอง แล้วก็คิดว่า ฉันเป็นนักเล่าเรื่องจริงๆ ฉันเป็นนักวิจัยเชิงคุณภาพ ฉันรวบรวมเรื่องราว นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ แล้วบางที เรื่องราวเหล่านั้นก็คือข้อมูลที่มีจิตวิญญาณ บางที ฉันอาจจะเป็นแค่นักเล่าเรื่องจริงๆ ฉันเลยบอกเธอไปว่า "เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ คุณเรียกฉันว่า'นักวิจัย-เล่าเรื่อง'แล้วกัน" เธอตอบว่า "ฮาฮา คนแบบนั้นไม่มีในโลกหรอกค่ะ"
(Laughter)
(หัวเราะ)
So I'm a researcher-storyteller, and I'm going to talk to you today -- we're talking about expanding perception -- and so I want to talk to you and tell some stories about a piece of my research that fundamentally expanded my perception and really actually changed the way that I live and love and work and parent.
ค่ะ ฉันเป็นนักวิจัย-เล่าเรื่อง ที่จะมาบรรยายในวันนี้ เพราะเราพูดถึงการเปิดกว้างทางการเรียนรู้กันบ่อยๆ ฉันเลยอยากจะพูดกับพวกคุณ และเล่าเรื่องบางเรื่อง เกี่ยวกับงานวิจัยของฉันชิ้นหนึ่ง ที่เปลี่ยนพื้นฐานความเข้าใจของฉัน มันยังได้เปลี่ยนวิธีที่ฉันใช้ชีวิต และรัก และทำงาน และเลี้ยงลูก
And this is where my story starts. When I was a young researcher, doctoral student, my first year, I had a research professor who said to us, "Here's the thing, if you cannot measure it, it does not exist." And I thought he was just sweet-talking me. I was like, "Really?" and he was like, "Absolutely." And so you have to understand that I have a bachelor's and a master's in social work, and I was getting my Ph.D. in social work, so my entire academic career was surrounded by people who kind of believed in the "life's messy, love it." And I'm more of the, "life's messy, clean it up, organize it and put it into a bento box."
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องค่ะ ตอนที่ฉันยังเป็นนักวิจัยอายุน้อย เป็นนักศึกษาปริญญาเอก ปีแรก มีศาสตราจารย์วิจัยคนนึง ที่พูดกับพวกเราว่า "มันเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณวัดมันไม่ได้ มันไม่มีอยู่จริง" ฉันคิดว่าเขาล้อเล่นกับฉันไปอย่างนั้น ฉันว่า"จริงเหรอ" เขาก็ว่า"แน่นอน" คุณต้องเข้าใจนะคะ ว่าฉันจบป.ตรีสาขาสังคมสงเคราะห์ ป.โทสาขาสังคมสงเคราะห์ และตอนนั้นกำลังเรียนป.เอกสาขาสังคมสงเคราะห์ ตลอดเส้นทางการศึกษาของฉัน ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน ที่เชื่อประมาณว่า "ชีวิตมันยุ่งเหยิง ทำใจรักมันซะ" แต่ฉันออกจะเป็นแบบ "ชีวิตมันยุ่งเหยิง ก็สะสางเสียสิ จัดการให้เรียบร้อย แล้วก็จัดลงไปในกล่องข้าวแบบญี่ปุ่น"
(Laughter)
(หัวเราะ)
And so to think that I had found my way, to found a career that takes me -- really, one of the big sayings in social work is, "Lean into the discomfort of the work." And I'm like, knock discomfort upside the head and move it over and get all A's. That was my mantra. So I was very excited about this. And so I thought, you know what, this is the career for me, because I am interested in some messy topics. But I want to be able to make them not messy. I want to understand them. I want to hack into these things that I know are important and lay the code out for everyone to see.
ฉันเลยคิดว่าหาพรหมลิขิตของตัวเองเจอแล้ว พบกับอาชีพที่เหมาะกับฉัน จริงๆนะคะ มีประโยคที่พูดกันบ่อยในวงการสังคมสงเคราะห์ "ใช้ความลำบากของงานมาเป็นกำลัง" แต่ฉันเป็นพวก "ต่อยความลำบากให้หน้าหงาย ผลักออกไปให้พ้นทาง แล้วก็ได้เกรดAทุกตัว" นั่นเป็นคาถาของฉันค่ะ ฉันก็เลยตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก แล้วฉันก็คิดว่า รู้อะไรมั้ย เนี่ยแหละอาชีพของฉัน เพราะฉันสนใจในหัวข้อที่ยุ่งเหยิง แต่ฉันอยากทำให้มันไม่ยุ่ง ฉันอยากเข้าใจมัน ฉันอยากจะเจาะลึกลงไปในเรื่องเหล่านั้น ที่ฉันรู้ว่าสำคัญ เพื่อจะถอดรหัสมาแสดงให้ทุกคนได้เห็น
So where I started was with connection. Because, by the time you're a social worker for 10 years, what you realize is that connection is why we're here. It's what gives purpose and meaning to our lives. This is what it's all about. It doesn't matter whether you talk to people who work in social justice, mental health and abuse and neglect, what we know is that connection, the ability to feel connected, is -- neurobiologically that's how we're wired -- it's why we're here.
ที่ที่ฉันเริ่มคือเรื่อง'ความสัมพันธ์' เพราะเมื่อคุณเป็นนักสังคมสงเคราะห์มา 10 ปี สิ่งที่คุณตระหนักได้คือ ความสัมพันธ์เป็นเหตุผลที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ มันเป็นสิ่งที่สร้างจุดประสงค์และความหมายให้ชีวิตเรา นี่แหละคือคำตอบ ไม่ว่าคุณจะพูดกับใคร คนที่ทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์ สุขภาพจิต ทารุณกรรม หรือการถูกทอดทิ้ง สิ่งที่พวกเรารู้คือว่า ความสัมพันธ์ ความสามารถที่จะรู้สึกถึงความสัมพันธ์ ตามหลักชีวะและประสาทวิทยา คือปัจจัยของสิ่งมีชีวิต มันคือสิ่งที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้
So I thought, you know what, I'm going to start with connection. Well, you know that situation where you get an evaluation from your boss, and she tells you 37 things that you do really awesome, and one "opportunity for growth?"
ฉันเลยคิดว่า รู้อะไรมั้ย ฉันจะเริ่มที่ความสัมพันธ์นี่แหละ คุณรู้จักสถานการณ์นั้นดี เวลาที่คุณได้รับการประเมินจากหัวหน้า แล้วหัวหน้าบอกว่าคุณทำ37อย่างได้เยี่ยมมาก และมีอย่างนึงที่เป็น'สิ่งที่ควรปรับปรุง'
(Laughter)
(หัวเราะ)
And all you can think about is that opportunity for growth, right? Well, apparently this is the way my work went as well, because, when you ask people about love, they tell you about heartbreak. When you ask people about belonging, they'll tell you their most excruciating experiences of being excluded. And when you ask people about connection, the stories they told me were about disconnection.
แต่คุณก็เอาแต่คิดซ้ำๆถึงไอ้เจ้า'สิ่งที่ควรปรับปรุง'นี่ งานวิจัยของฉันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเวลาที่คุณถามใครๆเกี่ยวกับความรัก เขาจะตอบคุณด้วยเรื่องอกหัก เวลาคุณถามเรื่องความผูกพัน เขาจะเล่าถึงประสบการณ์ที่ปวดร้าวที่สุด ของการถูกแบ่งแยก และเวลาที่คุณถามเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องที่เขาเล่ากลับเป็นเรื่องการตัดขาด
So very quickly -- really about six weeks into this research -- I ran into this unnamed thing that absolutely unraveled connection in a way that I didn't understand or had never seen. And so I pulled back out of the research and thought, I need to figure out what this is. And it turned out to be shame. And shame is really easily understood as the fear of disconnection: Is there something about me that, if other people know it or see it, that I won't be worthy of connection?
แค่เพียงไม่นาน ประมาณ6สัปดาห์หลังจากเริ่มงานวิจัย ที่ฉันได้พบกับสิ่งไร้นิยามสิ่งนี้ ซึ่งช่วยเผยความลับของความสัมพันธ์ ในแบบที่ฉันไม่เข้าใจและไม่เคยเห็นมาก่อน ฉันเลยถอยออกมาจากงานวิจัย เพราะคิดว่าจะต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าสิ่งนี้คืออะไร ปรากฏว่าสิ่งนี้คือความละอาย ความละอายจริงๆแล้วเข้าใจได้ง่ายๆว่า เป็นความกลัวการถูกตัดขาด มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า ที่ถ้าคนอื่นได้รู้หรือได้เห็น แล้วฉันจะไม่มีค่าพอสำหรับความสัมพันธ์อีกต่อไป
The things I can tell you about it: It's universal; we all have it. The only people who don't experience shame have no capacity for human empathy or connection. No one wants to talk about it, and the less you talk about it, the more you have it. What underpinned this shame, this "I'm not good enough," -- which, we all know that feeling: "I'm not blank enough. I'm not thin enough, rich enough, beautiful enough, smart enough, promoted enough." The thing that underpinned this was excruciating vulnerability. This idea of, in order for connection to happen, we have to allow ourselves to be seen, really seen.
ความรู้สึกแบบนี้ ฉันบอกคุณได้เลยค่ะ ว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก เรามีกันทุกคน คนที่ไม่รู้จักความละอาย จะไม่สามารถรู้สึกเห็นใจเพื่อนมนุษย์หรือว่าเข้าใจความสัมพันธ์ได้ ไม่มีใครอยากจะพูดถึงเรื่องนี้ และยิ่งพูดถึงมันน้อยลงเท่าไหร่ คุณก็จะมีมันมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่เป็นพื้นฐานของความละอาย หรือความคิดที่ว่า"ฉันไม่ดีพอ" ซึ่งเราทุกคนรู้จักดี "ฉันไม่อะไรพอ ฉันไม่ผอมพอ ไม่รวยพอ ไม่สวยพอ ไม่ฉลาดพอ ไม่สำคัญพอ" สิ่งที่เป็นต้นเหตุสำคัญ คือความรู้สึกเปราะบางอย่างรุนแรง ความคิดที่ว่า เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ เราต้องยอมให้คนอื่นเห็นตัวตนของเรา ตัวตนที่แท้จริง
And you know how I feel about vulnerability. I hate vulnerability. And so I thought, this is my chance to beat it back with my measuring stick. I'm going in, I'm going to figure this stuff out, I'm going to spend a year, I'm going to totally deconstruct shame, I'm going to understand how vulnerability works, and I'm going to outsmart it. So I was ready, and I was really excited. As you know, it's not going to turn out well.
คุณก็รู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับความเปราะบางทางใจ ฉันเกลียดความเปราะบาง ฉันก็เลยคิดว่า นี่เป็นโอกาส ที่ฉันจะใช้ไม้บรรทัดไล่ตีมันให้กระเจิง เป็นไงเป็นกัน ฉันจะต้องเข้าใจมันให้ได้ ฉันจะใช้เวลาหนึ่งปี เพื่อวิเคราะห์ชำแหละความละอาย จะทำความเข้าใจว่า ความเปราะบางทางใจ ทำงานอย่างไร และฉันจะเอาชนะมัน ค่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกพร้อม แล้วก็ตื่นเต้นมากๆ แน่ล่ะ มันไม่จบลงด้วยดีหรอก
(Laughter)
(หัวเราะ)
You know this. So, I could tell you a lot about shame, but I'd have to borrow everyone else's time. But here's what I can tell you that it boils down to -- and this may be one of the most important things that I've ever learned in the decade of doing this research.
ดูก็รู้แล้ว ถ้าให้ฉันพูดถึงเรื่องความละอาย ฉันคงพูดได้ยาวจนกินเวลาของผู้บรรยายคนอื่นๆ แต่นี่คือใจความสำคัญที่ฉันอยากจะบอกคุณ สิ่งนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ฉันได้เรียนรู้ ตลอดทศวรรษที่ฉันทำวิจัยมา
My one year turned into six years: Thousands of stories, hundreds of long interviews, focus groups. At one point, people were sending me journal pages and sending me their stories -- thousands of pieces of data in six years. And I kind of got a handle on it. I kind of understood, this is what shame is, this is how it works. I wrote a book, I published a theory, but something was not okay -- and what it was is that, if I roughly took the people I interviewed and divided them into people who really have a sense of worthiness -- that's what this comes down to, a sense of worthiness -- they have a strong sense of love and belonging -- and folks who struggle for it, and folks who are always wondering if they're good enough.
เวลาหนึ่งปีของฉัน กลายเป็นหกปี เรื่องราวเป็นพันๆเรื่อง การสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่มย่อยเป็นร้อยๆ ช่วงหนึ่ง บางคนถึงกับส่งบันทึกส่วนตัวมาให้ และส่งเรื่องราวของพวกเขาให้ฉัน ข้อมูลเป็นพันๆในเวลาหกปี ทำให้ฉันเข้าใจระดับนึง ฉันเหมือนจะเข้าใจว่านี่แหละคือความละอาย นี่แหละคือวิธีที่มันทำงาน ฉันเขียนหนังสือ ฉันตีพิมพ์ทฤษฎี แต่ว่ามีบางอย่างที่มันไม่ใช่ และสิ่งที่ว่านั่นคือ ถ้าฉันนำคนที่ฉันสัมภาษณ์ มาแบ่งคร่าวๆโดยใช้เกณฑ์ที่ว่า ใครรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า พวกเขารู้สึกถึงความรักและความผูกพัน และอีกกลุ่มที่ต้องพยายามดิ้นรนหามัน คนที่มักจะสงสัยว่าตัวเองดีพอมั้ย
There was only one variable that separated the people who have a strong sense of love and belonging and the people who really struggle for it. And that was, the people who have a strong sense of love and belonging believe they're worthy of love and belonging. That's it. They believe they're worthy. And to me, the hard part of the one thing that keeps us out of connection is our fear that we're not worthy of connection, was something that, personally and professionally, I felt like I needed to understand better. So what I did is I took all of the interviews where I saw worthiness, where I saw people living that way, and just looked at those.
มันมีแค่ตัวแปรเดียว ที่แยกคนที่มี ความรู้สึกรักและผูกพัน ออกจากคนที่ต้องต่อสู้เพื่อความรู้สึกเหล่านั้น และตัวแปรนั้นคือ คนที่รู้สึกถึง ความรักและความผูกพัน เชื่อว่าตัวเองมีค่าสำหรับความรักและความผูกพัน แค่นั้นเอง พวกเขาเชื่อว่าเขามีค่าพอ และสำหรับฉัน ส่วนสำคัญที่สุด ที่ทำให้เราขาดความสัมพันธ์ คือความกลัวว่าเราไม่มีค่าพอสำหรับความสัมพันธ์นั้นๆ ทั้งในมุมมองส่วนตัวและทางวิชาการ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องการเข้าใจมากขึ้น ฉันก็เลย เอาบทสัมภาษณ์ทั้งหมดมา ตรงไหนที่ฉันเห็นความรู้สึกมีค่า ตรงไหนที่ฉันเห็นคนใช้ชีวิตอย่างนั้น และดูเฉพาะตรงนั้น
What do these people have in common? I have a slight office supply addiction, but that's another talk. So I had a manila folder, and I had a Sharpie, and I was like, what am I going to call this research? And the first words that came to my mind were "whole-hearted." These are whole-hearted people, living from this deep sense of worthiness. So I wrote at the top of the manila folder, and I started looking at the data. In fact, I did it first in a four-day, very intensive data analysis, where I went back, pulled the interviews, the stories, pulled the incidents. What's the theme? What's the pattern? My husband left town with the kids because I always go into this Jackson Pollock crazy thing, where I'm just writing and in my researcher mode.
คนเหล่านี้มีอะไรเหมือนกัน ฉันเป็นโรคบ้าเครื่องใช้สำนักงานอยู่นิดๆค่ะ แต่ว่านั่นเป็นอีกการบรรยายได้อีกเรื่อง ฉันมีแฟ้มกระดาษมะนิลา แล้วก็มีปากกาสี แล้วฉันก็แบบ จะเรียกงานวิจัยนี้ว่าอะไรดีนะ แล้วคำแรกที่นึกออก คือคำว่า เต็มใจ คนพวกนี้เป็นคนเต็มใจ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกมีค่า ฉันเลยเขียนที่หัวแฟ้มกระดาษมะนิลา และเริ่มดูข้อมูล จริงๆแล้ว ฉันดูข้อมูลก่อน ใช้เวลาสี่วัน กับการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้มข้น ที่ฉันกลับไป หาข้อมูลสัมภาษณ์ หาเรื่องเล่า หาเหตุการณ์ อะไรคือใจความสำคัญ อะไรคือรูปแบบ สามีของฉันออกจากเมืองไปกับลูกๆ เพราะฉันมักจะเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งแบบแจ็กสัน โพลล็อก เวลาที่ฉันเอาแต่เขียน และอยู่ในอารมณ์นักวิจัย
And so here's what I found. What they had in common was a sense of courage. And I want to separate courage and bravery for you for a minute. Courage, the original definition of courage, when it first came into the English language -- it's from the Latin word "cor," meaning "heart" -- and the original definition was to tell the story of who you are with your whole heart. And so these folks had, very simply, the courage to be imperfect. They had the compassion to be kind to themselves first and then to others, because, as it turns out, we can't practice compassion with other people if we can't treat ourselves kindly. And the last was they had connection, and -- this was the hard part -- as a result of authenticity, they were willing to let go of who they thought they should be in order to be who they were, which you have to absolutely do that for connection.
และนี่คือสิ่งที่ฉันค้นพบค่ะ สิ่งที่คนเหล่านี้มีเหมือนกัน คือความกล้า(courage) ฉันอยากจะแยกความกล้า(courage)กับความองอาจ(bravery)ก่อน ความกล้า(courage)ในความหมายดั้งเดิม เมื่อตอนที่คำนี้เข้ามาในภาษาอังกฤษตอนแรกๆ มันมาจากภาษาละติน cor แปลว่า หัวใจ และความหมายดั้งเดิม คือการเล่าเรื่องราวของตัวเราด้วยหัวใจทั้งดวง คนเหล่านี้ สรุปง่ายๆว่า มีความกล้า ที่จะบกพร่อง เขาเหล่านี้รู้จักรักตัวเองก่อน แล้วจึงเอาใจใส่คนอื่น เพราะความจริงที่ว่า เราไม่สามารถรักคนอื่นได้ ถ้าเราไม่มีความเมตตาต่อตัวเองก่อน และสุดท้ายคือ พวกเขามีความสัมพันธ์ และนี่คือส่วนที่ยาก เพราะความจริงใจ พวกเขายอมทิ้งตัวตนที่เขาคิดว่าเขาควรจะเป็น เพื่อจะเป็นตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ ในการสร้างความสัมพันธ์
The other thing that they had in common was this: They fully embraced vulnerability. They believed that what made them vulnerable made them beautiful. They didn't talk about vulnerability being comfortable, nor did they really talk about it being excruciating -- as I had heard it earlier in the shame interviewing. They just talked about it being necessary. They talked about the willingness to say, "I love you" first ... the willingness to do something where there are no guarantees ... the willingness to breathe through waiting for the doctor to call after your mammogram. They're willing to invest in a relationship that may or may not work out. They thought this was fundamental.
อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน คือสิ่งนี้ พวกเขาเต็มใจยอมรับความเปราะบางทางใจ พวกเขาเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้เขาเปราะบาง ทำให้เขางดงาม พวกเขาไม่ได้พูดถึงความเปราะบาง ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายดาย แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่ามันเจ็บปวด เหมือนจากในการสัมภาษณ์เรื่องความละอายก่อนหน้านี้ พวกเขาแค่บอกว่ามันจำเป็น พวกเขาพูดถึงความสมัครใจ ที่จะบอกว่า"ฉันรักคุณ"ก่อน ความสมัครใจ ที่จะทำอะไร ที่ไม่มีการประกันผล ความสมัครใจ ที่จะรอโทรศัพท์จากคุณหมอ หลังจากที่ไปตรวจมะเร็งเต้านม พวกเขาสมัครใจที่จะลงทุนในความสัมพันธ์ ที่ไม่แน่ว่าจะงอกงาม พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องพื้นฐาน
I personally thought it was betrayal. I could not believe I had pledged allegiance to research, where our job -- you know, the definition of research is to control and predict, to study phenomena for the explicit reason to control and predict. And now my mission to control and predict had turned up the answer that the way to live is with vulnerability and to stop controlling and predicting. This led to a little breakdown --
ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่ามันเป็นการหักหลัง ฉันไม่อยากเชื่อว่าฉันสาบานจะอุทิศตน ให้กับการวิจัยไปแล้ว เพราะคำนิยามของการวิจัย คือการควบคุมและพยากรณ์ เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ควบคุมและพยากรณ์ต่อไป แล้วตอนนี้ภารกิจของฉัน ที่จะควบคุมและพยากรณ์ ให้คำตอบมาว่า วิธีใช้ชีวิตคือการยอมรับความเปราะบางทางใจ หยุดควบคุม หยุดพยากรณ์ สิ่งนี้นำไปสู่อาการประสาทเสียเล็กๆ
(Laughter)
(หัวเราะ)
-- which actually looked more like this.
ซึ่งที่จริงดูเหมือนอย่างนี้มากกว่า
(Laughter)
(หัวเราะ)
And it did.
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
I call it a breakdown; my therapist calls it a spiritual awakening.
ฉันเรียกมันว่าอาการป่วยทางจิต นักจิตบำบัดของฉันเรียกมันว่าการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ
(Laughter)
การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณฟังดูดีกว่าอาการป่วยทางจิต
A spiritual awakening sounds better than breakdown, but I assure you, it was a breakdown. And I had to put my data away and go find a therapist. Let me tell you something: you know who you are when you call your friends and say, "I think I need to see somebody. Do you have any recommendations?" Because about five of my friends were like, "Wooo, I wouldn't want to be your therapist."
แต่ฉันยืนยันได้ค่ะ ว่ามันคืออาการป่วยทางจิต ฉันต้องเลิกดูข้อมูล แล้วก็หานักจิตบำบัด จะบอกอะไรให้ค่ะ คุณรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร เมื่อโทรหาเพื่อนๆ แล้วบอกว่า "ฉันคิดว่าฉันต้องไปหานักจิตบำบัด มีใครแนะนำมั้ย" เพราะว่าเพื่อนของฉันประมาณห้าคนบอกว่า "อู่ย ฉันไม่อยากเป็นนักจิตบำบัดของเธอหรอก" (หัวเราะ)
(Laughter)
ฉันว่า"หมายความว่ายังไง"
I was like, "What does that mean?" And they're like, "I'm just saying, you know. Don't bring your measuring stick."
แล้วพวกเขาก็บอกว่า"เปล่า ก็นะ อย่าพกไม้บรรทัดไปด้วยแล้วกัน" ฉันก็เลย"โอเค"
(Laughter)
I was like, "Okay." So I found a therapist. My first meeting with her, Diana -- I brought in my list of the way the whole-hearted live, and I sat down. And she said, "How are you?" And I said, "I'm great. I'm okay." She said, "What's going on?" And this is a therapist who sees therapists, because we have to go to those, because their B.S. meters are good.
หลังจากฉันก็หานักจิตบำบัดเจอ ตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ไดอะน่า ฉันเอารายการ ของวิธีใช้ชีวิตของคนเต็มใจไปด้วย แล้วฉันก็นั่งลง เธอถามว่า"เป็นยังไงบ้างคะ" ฉันบอกว่า"สบายดีค่ะ โอเคค่ะ" เธอถาม"มีเรื่องอะไรเหรอคะ" เธอเป็นนักจิตบำบัดสำหรับนักจิตบำบัด เพราะพวกเราก็ต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญ เพราะเขาจับความตอแหลได้เก่ง
(Laughter)
(หัวเราะ)
And so I said, "Here's the thing, I'm struggling." And she said, "What's the struggle?" And I said, "Well, I have a vulnerability issue. And I know that vulnerability is the core of shame and fear and our struggle for worthiness, but it appears that it's also the birthplace of joy, of creativity, of belonging, of love. And I think I have a problem, and I need some help." And I said, "But here's the thing: no family stuff, no childhood shit."
ฉันเลยบอกว่า "คืออย่างนี้ค่ะ ฉันมีปัญหาใหญ่" เธอพูดว่า"ปัญหาอะไรคะ" ฉันตอบว่า "คือ ปัญหากับความเปราะบางทางใจค่ะ และฉันรู้ว่าความเปราะบางทางใจ เป็นแก่นแท้ ของความละอายและความกลัว และของการดิ้นรนเพื่อความมีค่า แต่ปรากฏว่ามันก็เป็นจุดกำเนิด ของความสุข และความสร้างสรรค์ ของความผูกพัน ของความรัก และฉันคิดว่า ฉันมีปัญหา และฉันต้องการความช่วยเหลือค่ะ" และฉันบอกว่า "แต่ขออย่างนึง ไม่เอาเรื่องครอบครัว หรือเรื่องน้ำเน่าวัยเด็ก"
(Laughter)
(หัวเราะ)
"I just need some strategies."
"ฉันแค่ต้องการแผน"
(Laughter)
(หัวเราะ)
(Applause)
(ปรบมือ)
Thank you. So she goes like this.
ขอบคุณค่ะ เธอก็ทำท่านี้
(Laughter)
(หัวเราะ)
And then I said, "It's bad, right?" And she said, "It's neither good nor bad."
ฉันเลยบอกว่า"แย่มาก ใช่มั้ยคะ" เธอบอกว่า"ไม่ดีหรือไม่ร้ายหรอกค่ะ"
(Laughter)
(หัวเราะ)
"It just is what it is." And I said, "Oh my God, this is going to suck."
"มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นค่ะ" ฉันเลยว่า"โอ้พระเจ้า ซวยแน่คราวนี้"
(Laughter)
(หัวเราะ)
And it did, and it didn't. And it took about a year. And you know how there are people that, when they realize that vulnerability and tenderness are important, that they surrender and walk into it. A: that's not me, and B: I don't even hang out with people like that.
แล้วมันก็แย่ และก็ไม่แย่ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี มีคนบางคน ที่เมื่อเข้าใจว่าความเปราะบางทางใจ และความอะเอียดอ่อนเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขายอมรับมันด้วยความเต็มใจ หนึ่ง นั่นไม่ใช่ฉันค่ะ และ สอง ฉันไม่สุงสิงกับคนแบบนั้น
(Laughter)
(หัวเราะ)
For me, it was a yearlong street fight. It was a slugfest. Vulnerability pushed, I pushed back. I lost the fight, but probably won my life back.
สำหรับฉัน มันเป็นหนึ่งปีของการต่อสู้อย่างนักเลงข้างถนน ชกกันจนน่วม ความเปราะบางทางใจชกมา ฉันก็ชกตอบ ฉันแพ้การต่อสู้นั้น แต่ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา
And so then I went back into the research and spent the next couple of years really trying to understand what they, the whole-hearted, what choices they were making, and what we are doing with vulnerability. Why do we struggle with it so much? Am I alone in struggling with vulnerability? No.
แล้วฉันถึงได้กลับไปทำงานวิจัยอีก และใช้เวลาปีสองสามปีถัดมา พยายามที่ทำความเข้าใจจริงๆว่า พวกคนเต็มใจนั้น เขาตัดสินใจอย่างไร แล้วเรากำลังทำอะไร กับความเปราะบางทางใจ ทำไมการต่อสู้กับมันถึงได้ยากลำบากนัก มีฉันคนเดียวหรือเปล่าที่ต้องต่อสู้กับความเปราะบาง ไม่
So this is what I learned. We numb vulnerability -- when we're waiting for the call. It was funny, I sent something out on Twitter and on Facebook that says, "How would you define vulnerability? What makes you feel vulnerable?" And within an hour and a half, I had 150 responses. Because I wanted to know what's out there. Having to ask my husband for help because I'm sick, and we're newly married; initiating sex with my husband; initiating sex with my wife; being turned down; asking someone out; waiting for the doctor to call back; getting laid off; laying off people. This is the world we live in. We live in a vulnerable world. And one of the ways we deal with it is we numb vulnerability.
แล้วนี่ก็คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ เราเมินเฉยต่อความเปราะบางทางใจ เวลาที่เรารอโทรศัพท์แจ้งผล ตลกดีค่ะ ฉันโพสบนTwitterกับFacebook ถามว่า"คุณนิยามคำว่า 'ความเปราะบางทางใจ' อย่างไร อะไรทำให้คุณรู้สึกเปราะบาง" และภายในเวลาชั่วโมงครึ่ง มีคนตอบกลับมา150คำตอบ เพราะฉันอยากรู้ว่า คนเขาคิดอะไรกัน การขอให้สามีช่วย เพราะฉันป่วย และเราเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ การชวนสามีให้มีเซ็กส์ การชวนภรรยาให้มีเซ็กส์ การถูกปฏิเสธ เมื่อขอเป็นแฟน การรอโทรศัพท์จากโรงพยาบาล การโดนไล่ออก การไล่คนออก นี่คือโลกที่เราอาศัยอยู่ค่ะ เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปราะบาง(ทางใจ) และวิธีหนึ่งที่เราใช้จัดการกับมัน คือเมินเฉยต่อความเปราะบางฯ
And I think there's evidence -- and it's not the only reason this evidence exists, but I think it's a huge cause -- We are the most in-debt ... obese ... addicted and medicated adult cohort in U.S. history. The problem is -- and I learned this from the research -- that you cannot selectively numb emotion. You can't say, here's the bad stuff. Here's vulnerability, here's grief, here's shame, here's fear, here's disappointment. I don't want to feel these. I'm going to have a couple of beers and a banana nut muffin.
และฉันคิดว่ามีหลักฐานค่ะ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลเดียว แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นสาเหตุหลัก ที่พวกเราเป็นหนี้ น้ำหนักเกิน เสพสารและใช้ยา มากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ฉันได้เรียนรู้จากงานวิจัยว่าปัญหาคือ คุณไม่สามารถเลือกเมินเฉยต่ออารมณ์เป็นอย่างๆได้ คุณไม่สามารถบอกว่า นี่เป็นสิ่งไม่ดี นี่คือความเปราะบางทางใจ นี่คือความเศร้า นี่คือความละอาย นี่คือความกลัว นี่คือความผิดหวัง ฉันไม่อยากรู้สึกสิ่งพวกนี้ ฉันจะกินเบียร์สักสองสามแก้วกับมัฟฟินกล้วยหอมกับถั่ว
(Laughter)
(หัวเราะ)
I don't want to feel these. And I know that's knowing laughter. I hack into your lives for a living. God.
ฉันไม่อยากรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันรู้นะคะว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะอย่างเข้าใจ ฉันเลี้ยงชีพด้วยการวิเคราะห์ชีวิตพวกคุณ พระเจ้า
(Laughter)
(หัวเราะ)
You can't numb those hard feelings without numbing the other affects, our emotions. You cannot selectively numb. So when we numb those, we numb joy, we numb gratitude, we numb happiness. And then, we are miserable, and we are looking for purpose and meaning, and then we feel vulnerable, so then we have a couple of beers and a banana nut muffin. And it becomes this dangerous cycle.
คุณไม่สามารถเมินเฉยต่อความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นได้ โดยไม่เฉยชาต่ออารมณ์อื่นๆของเราไปด้วย คุณไม่สามารถเลือกเฉยชาเป็นอย่างๆได้ ดังนั้น เวลาที่เราเฉยชาต่อสิ่งเหล่านั้น เราเฉยชาต่อความปิติ เราเฉยชาต่อความตื้นตันใจ เราเฉยชาต่อความสุข แล้วเราก็เลยทุกข์ เมื่อเรามองหาจุดมุ่งหมายและความหมายของชีวิต เราจึงรู้สึกเปราะบาง แล้วเราก็ดื่มเบียร์ กินมัฟฟินกล้วยกับถั่ว แล้วมันก็กลายเป็นวัฏจักรอันตราย
One of the things that I think we need to think about is why and how we numb. And it doesn't just have to be addiction. The other thing we do is we make everything that's uncertain certain. Religion has gone from a belief in faith and mystery to certainty. "I'm right, you're wrong. Shut up." That's it. Just certain. The more afraid we are, the more vulnerable we are, the more afraid we are. This is what politics looks like today. There's no discourse anymore. There's no conversation. There's just blame. You know how blame is described in the research? A way to discharge pain and discomfort. We perfect. If there's anyone who wants their life to look like this, it would be me, but it doesn't work. Because what we do is we take fat from our butts and put it in our cheeks.
สิ่งหนึ่งที่เราต้องคิดถึง คือเราเฉยชาทำไมและอย่างไร และมันไม่จำเป็นต้องเป็นการเสพติด อีกอย่างหนึ่งที่เราทำ คือเราทำให้สิ่งที่ไม่แน่นอน เป็นสิ่งแน่นอน ศาสนาเปลี่ยนจากความเชื่อเกี่ยวกับความศรัทธาและความลึกลับ เป็นความแน่นอน ฉันถูก คุณผิด หุบปาก แค่นั้น แค่ความแน่นอน ยิ่งกลัวมาก เรายิ่งรู้สึกเปราะบางมาก แล้วเราก็จะยิ่งกลัวมากขึ้น การเมืองทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีการอภิปราย ไม่มีการคุยกัน มีแต่การกล่าวโทษ คุณรู้ไหมคะว่าการกล่าวโทษถูกอธิบายว่าอย่างไรในงานวิจัย วิธีปลดปล่อยความเจ็บปวดและความลำบาก เราอยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ตัวอย่างคนที่อยากมีชีวิตแบบนี้ ก็คือฉันเนี่ยแหละ แต่มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะสิ่งที่เราทำคือ เราตัดเอาไขมันจากก้น ไปแปะไว้ที่แก้ม
(Laughter)
(หัวเราะ)
Which just, I hope in 100 years, people will look back and go, "Wow."
ฉันหวังว่าอีกร้อยปีในอนาคต คนจะหันกลับมามองแล้วคิดว่า"โห"
(Laughter)
(หัวเราะ)
And we perfect, most dangerously, our children. Let me tell you what we think about children. They're hardwired for struggle when they get here. And when you hold those perfect little babies in your hand, our job is not to say, "Look at her, she's perfect. My job is just to keep her perfect -- make sure she makes the tennis team by fifth grade and Yale by seventh." That's not our job. Our job is to look and say, "You know what? You're imperfect, and you're wired for struggle, but you are worthy of love and belonging." That's our job. Show me a generation of kids raised like that, and we'll end the problems, I think, that we see today. We pretend that what we do doesn't have an effect on people. We do that in our personal lives. We do that corporate -- whether it's a bailout, an oil spill ... a recall. We pretend like what we're doing doesn't have a huge impact on other people. I would say to companies, this is not our first rodeo, people. We just need you to be authentic and real and say ... "We're sorry. We'll fix it."
และเราสร้างความสมบูรณ์แบบ อย่างอันตรายที่สุด กับเด็กๆ ฉันจะบอกให้ค่ะ ว่าเราคิดถึงเด็กๆยังไง พวกเขาถูกสร้างให้พร้อมที่จะดิ้นรนตั้งแต่เกิด และเมื่อเราอุ้มลูกที่ดูสมบูรณ์แบบไว้ในอ้อมแขน หน้าที่ของเราไม่ใช่การพูดว่า "ดูสิ เธอช่างสมบูรณ์แบบ หน้าที่ของฉันคือต้องรักษาความสมบูรณ์แบบเอาไว้ ต้องให้เธอเข้าทีมเทนนิสได้ภายในป.5 แล้วก็เข้าม.Yaleได้ภายในม.1" นั่นไม่ใช่งานของเราค่ะ หน้าที่ของเราคือมองดูแล้วก็พูดว่า "รู้มั้ย เธอไม่ได้สมบูรณ์แบบ และเธอถูกสร้างมาเพื่อสู้ แต่ว่าเธอมีค่าพอสำหรับความรัก และความผูกพัน" นั่นคืองานของเรา ถ้าเรามีเด็กๆทั้งรุ่นที่ถูกเลี้ยงแบบนั้น เราจะกำจัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ได้หมด เราแสร้งคิดว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ได้ส่งผลต่อคนอื่น เราทำอย่างนั้นในชีวิตส่วนตัว เราทำอย่างนั้นในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอุดหนุนธุรกิจล้มละลาย หรือกรณีน้ำมันรั่ว การเรียกคืนสินค้า เราแสร้งทำเป็นว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ไม่ได้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคนอื่น อยากจะบอกพวกบริษัทใหญ่ว่า เราไม่ใช่เด็กอมมือแล้ว เรารู้ เราแค่อยากให้คุณจริงใจ แล้วบอกว่า"เราขอโทษ เราจะแก้ไขมัน"
But there's another way, and I'll leave you with this. This is what I have found: To let ourselves be seen, deeply seen, vulnerably seen ... to love with our whole hearts, even though there's no guarantee -- and that's really hard, and I can tell you as a parent, that's excruciatingly difficult -- to practice gratitude and joy in those moments of terror, when we're wondering, "Can I love you this much? Can I believe in this this passionately? Can I be this fierce about this?" just to be able to stop and, instead of catastrophizing what might happen, to say, "I'm just so grateful, because to feel this vulnerable means I'm alive." And the last, which I think is probably the most important, is to believe that we're enough. Because when we work from a place, I believe, that says, "I'm enough" ... then we stop screaming and start listening, we're kinder and gentler to the people around us, and we're kinder and gentler to ourselves.
แต่ว่ามันมีอีกวิธีหนึ่ง สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะฝากไว้ ฉันค้นพบว่า การเปิดเผยตัวตนของเรา ให้ถูกมองเห็นอย่างลึกซึ้ง ยอมเปราะบางให้ได้มองเห็น การรักทั้งสุดจิตสุดใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรมารับประกัน มันยากมาก ฉันบอกคุณได้เลยในฐานะพ่อแม่ ว่ามันยากเจ็บปวดและมากๆ ในการรู้สึกถึงความตื้นตันและความปิติ ในเวลาที่น่าหวาดกลัว ที่เราสงสัยว่า"ฉันรักเธอได้มากขนาดนี้จริงเหรอ ฉันเชื่อในสิ่งนี้ทั้งใจจริงๆรึเปล่า ฉันดุได้ขนาดนี้เลยเหรอ" ในการหยุดยั้งตัวเอง แทนการกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วพูดว่า "ฉันน่ะโชคดีมาก เพราะการที่ฉันรู้สึกเปราะบาง แปลว่าฉันยังมีชีวิต" และสุดท้าย ที่อาจจะสำคัญที่สุด คือการเชื่อว่าเราเพียงพอ เพราะเมื่อเราเริ่มต้นจาก ความเชื่อที่ว่า"เราเพียงพอแล้ว" เราจะหยุดร้องตะโกน และเริ่มรับฟัง เราจะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อคนรอบข้างมากขึ้น และเราก็จะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อตัวเองด้วย
That's all I have. Thank you.
นั่นคือทั้งหมดที่ฉันมี ขอบคุณค่ะ
(Applause)
(เสียงปรบมือ)