I want to start with a game. Okay? And to win this game, all you have to do is see the reality that's in front of you as it really is, all right? So we have two panels here, of colored dots. And one of those dots is the same in the two panels. And you have to tell me which one.
ผมอยากจะเริ่มด้วยการเล่นเกม วิธีที่จะชนะเกมนี้ สิ่งที่ต้องทำคือ ดูความจริงที่อยู่ตรงหน้าคุณ อย่างที่คุณเห็น โอเคไหมครับ? เรามีกระดาน 2 อัน ที่มีจุดสีต่างๆ และจะมีจุดสีหนึ่งที่เหมือนกัน ทั้งในสองกระดาน และคุณต้องบอกผมว่าเป็นสีไหน
Now, I narrowed it down to the gray one, the green one, and, say, the orange one. So by a show of hands, we'll start with the easiest one. Show of hands: how many people think it's the gray one? Really? Okay. How many people think it's the green one? And how many people think it's the orange one? Pretty even split.
ผมช่วยตัดตัวเลือกให้เหลือแค่ จุดสีเทา สีเขียว หรือสีส้ม ที่นี้ให้ยกมือขึ้นเวลาตอบนะครับ มาเริ่มกันเลย ใครบ้างที่คิดว่าเป็นสีเทา? ให้ยกมือขึ้น จริงหรือนี่? โอเค ใครที่คิดว่าเป็นสีเขียว? ใครที่คิดว่าเป็นสีส้ม? มีคนเลือกพอๆ กัน
Let's find out what the reality is. Here is the orange one.
ทีนี้มาดูเฉลยกัน นี่เป็นสีส้ม
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Here is the green one. And here is the gray one.
อันนี้สีเขียว และนี่เป็นสีเทา
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
So for all of you who saw that, you're complete realists. All right?
สำหรับคนที่ดูออก คุณเป็นพวกสัจนิยมตัวจริง ใช่ไหมครับ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
So this is pretty amazing, isn't it? Because nearly every living system has evolved the ability to detect light in one way or another. So for us, seeing color is one of the simplest things the brain does. And yet, even at this most fundamental level, context is everything. What I'm going to talk about is not that context is everything, but why context is everything. Because it's answering that question that tells us not only why we see what we do, but who we are as individuals, and who we are as a society.
นี่มันน่าทึ่งจริงๆ เห็นด้วยไหมครับ? เพราะว่าสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด ได้มีวิวัฒนาการให้มีความสามารถ ในการรับรู้แสงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำหรับมนุษย์ การมองเห็นสี เป็นงานง่ายๆ ที่สมองเราทำได้ แม้แต่ในความสามารถพื้นๆ นี้ ก็ยังขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม ที่ผมจะพูดไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับ ความสำคัญของบริบท แต่เป็นเรื่องที่ว่าทำไมบริบทจึงสำคัญ เพราะว่ามันไม่เพียงจะช่วยตอบคำถามที่ว่า ทำไมเราจึงมองเห็นสิ่งที่เราทำ แต่ยังรวมถึงเราเป็นใครในระดับปัจเจก รวมถึงเราเป็นใครในระดับสังคม
But first, we have to ask another question, which is, "What is color for?" And instead of telling you, I'll just show you. What you see here is a jungle scene, and you see the surfaces according to the amount of light that those surfaces reflect. Now, can any of you see the predator that's about to jump out at you? And if you haven't seen it yet, you're dead, right?
แต่ก่อนอื่น เราต้องถามอีกคำถามหนึ่งก่อน ซึ่งคือ "สีต่างๆ มีไว้เพื่ออะไร?" แทนที่จะเล่า ผมจะแสดงให้คุณดูรูปแทน ที่คุณเห็นอยู่นี้เป็นฉากป่าดงดิบแห่งหนึ่ง คุณจะเห็นลักษณะพื้นผิวต่างๆ ตามปริมาณของแสง ที่พื้นผิวนั้นสะท้อนออกมา ทีนี้ คุณมองเห็นสัตว์นักล่าไหม? ที่มันพร้อมจะกระโจนเข้าใส่คุณ ถ้าคุณไม่เห็น คุณก็ตาย จริงไหม?
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Can anyone see it? Anyone? No? Now let's see the surfaces according to the quality of light that they reflect. And now you see it.
มีใครเห็นมันไหม? ไม่มีเลยเหรอครับ? ทีนี้ดูลักษณะพื้นผิวต่างๆ ที่แสงสะท้อนออกมาในเชิงคุณภาพ ตอนนี้คุณเห็นมันแล้ว
So, color enables us to see the similarities and differences between surfaces, according to the full spectrum of light that they reflect. But what you've just done is in many respects mathematically impossible. Why? Because, as Berkeley tells us, we have no direct access to our physical world, other than through our senses. And the light that falls onto our eyes is determined by multiple things in the world, not only the color of objects, but also the color of their illumination, and the color of the space between us and those objects. You vary any one of those parameters, and you'll change the color of the light that falls onto your eye.
สีสันทำให้เรามองเห็นถึง ความคล้ายและความต่าง ระหว่างพื้นผิวต่างๆ ตามสเปกตรัมของแสงที่มันสะท้อนออกมา แต่สิ่งที่คุณเพิ่งทำไปนั้น ในหลายๆ แง่มุมแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ในทางคณิตศาสตร์ ทำไมล่ะ? ก็เพราะว่า อย่างที่เบิร์กลีย์บอกเรา เราไม่สามารถเข้าถึงโลกกายภาพได้โดยตรง ถ้าปราศจากประสาทสัมผัสต่างๆ ของเรา แสงที่ตกกระทบสู่ตาเรา ถูกกำหนดโดยหลายปัจจัยภายนอก ไม่ใช่กำหนดจากแค่เพียงสีของตัววัตถุ แต่ยังรวมถึงสีสันของทัศนวิสัยรอบๆด้วย และสีสันของสิ่งที่อยู่ระหว่างเรากับวัตถุ ถ้าคุณเปลี่ยนตัวแปรเหล่านั้นไปสักอย่าง มันก็จะเปลี่ยนแสงสีที่คุณจะเห็นไปด้วย
This is a huge problem, because it means that the same image could have an infinite number of possible real-world sources. Let me show you what I mean. Imagine that this is the back of your eye, okay? And these are two projections from the world. They're identical in every single way. Identical in shape, size, spectral content. They are the same, as far as your eye is concerned. And yet they come from completely different sources. The one on the right comes from a yellow surface, in shadow, oriented facing the left, viewed through a pinkish medium. The one on the left comes from an orange surface, under direct light, facing to the right, viewed through sort of a bluish medium. Completely different meanings, giving rise to the exact same retinal information. And yet it's only the retinal information that we get.
นี่เป็นปัญหาใหญ่ เพราะว่ามันหมายความว่า ภาพอย่างเดียวกัน อาจเกิดจากต้นกำเนิดได้นับไม่ถ้วน ผมจะแสดงให้ดูว่าผมหมายถึงอะไร นึกภาพว่านี่เป็นจอประสาทตาของคุณ และนี่เป็นสองภาพที่ฉายมากจากโลกภายนอก พวกมันเหมือนกันทุกประการ ในแง่ของรูปร่าง ขนาด สเปกตรัมของสี มันเหมือนกัน เท่าที่ตาคุณรับรู้ แต่พวกมันมาจากต้นกำนิดที่ต่างกัน อันที่อยู่ทางขวา มาจากพื้นผิวสีเหลือง อยู่ในเงา หันออกด้านซ้าย มองผ่านตัวกลางสีชมพู ส่วนอันที่ซ้ายมือมาจากพื้นผิวสีส้ม อยู่ในที่สว่าง หันออกด้านขวา มองผ่านตัวกลางสีน้ำเงิน นัยยะต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ให้ข้อมูลแก่จอประสาทตาในแบบเดียวกัน และเราก็รับรู้ได้เพียงแค่ข้อมูล จากจอประสาทตาเท่านั้น
So how on Earth do we even see? So if you remember anything in this next 18 minutes, remember this: that the light that falls onto your eye, sensory information, is meaningless, because it could mean literally anything. And what's true for sensory information is true for information generally. There's no inherent meaning in information. It's what we do with that information that matters.
แล้วเรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร? ถ้าคุณจะได้อะไรติดไปจากการพูดของผมในวันนี้ จำไว้อย่างหนึ่งว่า : แสงที่ตกกระทบตาของคุณ ข้อมูลจากการมองเห็น นั้นไม่มีความหมายใดๆ เพราะมันสามารถหมายถึงอะไรก็ได้ สิ่งที่เกิดกับข้อมูลจากประสาทสัมผัส ก็เป็นจริงสำหรับข้อมูลอื่นทั่วไป ข้อมูลโดยตัวมันเองไม่ได้มีความหมายอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือเราเอาข้อมูลนั้นไปทำอะไรต่างหาก
So, how do we see? Well, we see by learning to see. The brain evolved the mechanisms for finding patterns, finding relationships in information, and associating those relationships with a behavioral meaning, a significance, by interacting with the world. We're very aware of this in the form of more cognitive attributes, like language. I'm going to give you some letter strings, and I want you to read them out for me, if you can.
แล้วเราเห็นสิ่งต่างๆ อย่างไร? เราเห็นโดยการเรียนรู้ที่จะเห็น สมองเราได้พัฒนากลไกในการมองหารูปแบบต่างๆ มองหาความสัมพันธ์จากในข้อมูล และนำความสัมพันธ์ที่พบนั้น มาจับคู่ให้ความหมายในเชิงพฤติกรรม หาความสำคัญของมัน และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบๆ ตัว เราตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในแบบของคุณลักษณะที่เกี่ยวกับ กระบวนการรับรู้ เช่นเดียวกับภาษา ผมจะให้คุณดูตัวอักษร 2-3 แถว ให้คุณช่วยอ่านให้ผมหน่อย ถ้าคุณทำได้
Audience: "Can you read this?" "You are not reading this." "What are you reading?"
ผู้ชม : "Can you read this?" (คุณอ่านนี่ได้ไหม?) "You are not reading this." (คุณไม่ได้กำลังอ่านมัน) "What are you reading?" (คุณกำลังอ่านอะไร?)
Beau Lotto: "What are you reading?" Half the letters are missing, right? There's no a priori reason why an "H" has to go between that "W" and "A." But you put one there. Why? Because in the statistics of your past experience, it would have been useful to do so. So you do so again. And yet you don't put a letter after that first "T." Why? Because it wouldn't have been useful in the past. So you don't do it again.
โบ ล็อตโต :"What are you reading?" ครึ่งหนึ่งของตัวอักษรหายไปใช่ไหม? มันไม่ได้มีเหตุผลว่า ทำไม "H" ถึงต้องไปอยู่ ระหว่าง "W" และ "A" แต่คุณก็ใส่มันไปตรงนั้น ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าประสบการณ์ในอดีตของคุณ มันอาจมีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นคุณจึงทำมันอีก นอกจากนี้คุณยังไม่ใส่ตัวอักษรลงไป หลัง "T" ตัวแรก ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ จากประสบการณ์ของคุณ ดังนั้นคุณจึงยังคงไม่ทำมัน
So, let me show you how quickly our brains can redefine normality, even at the simplest thing the brain does, which is color. So if I could have the lights down up here. I want you to first notice that those two desert scenes are physically the same. One is simply the flipping of the other. Now I want you to look at that dot between the green and the red. And I want you to stare at that dot. Don't look anywhere else. We're going to look at it for about 30 seconds, which is a bit of a killer in an 18-minute talk.
ผมจะแสดงให้คุณดูว่าสมองเราสามารถ ปรับตัวไปสู่ค่าปกติค่าใหม่ได้เร็วแค่ไหน แม้แต่ในเรื่องของสี ซึ่งเป็น เรื่องสุดธรรมดา ช่วยปิดไฟบนเวทีหน่อยครับ ผมขอให้คุณสังเกตดู ภาพทะเลทรายทั้งสองว่าเหมือนกัน ซึ่งภาพหนึ่งเป็นภาพสะท้อนของอีกภาพ ทีนี้ผมอยากให้คุณมองไปที่จุด ระหว่างสีเขียวกับสีแดง จ้องไปที่จุดจุดนั้น อย่างมองไปที่อื่น นานประมาณ 30 วินาที ซึ่งนานจริงๆ เพราะผมยิ่งมีเวลาพูดไม่ค่อยจะพออยู่
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
But I really want you to learn. And I'll tell you -- don't look anywhere else -- I'll tell you what's happening in your head. Your brain is learning, and it's learning that the right side of its visual field is under red illumination; the left side of its visual field is under green illumination. That's what it's learning. Okay? Now, when I tell you, I want you to look at the dot between the two desert scenes. So why don't you do that now?
แต่ผมอยากให้คุณได้เรียนรู้ -- อย่าเพิ่งละสายตาจากจุดนะครับ -- ผมจะบอกคุณว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองคุณ สมองคุณกำลังเรียนรู้ว่า ลานสายตาด้านขวา อยู่ใต้แหล่งกำเนิดแสงสีแดง ลานสายตาด้านซ้ายอยู่ใต้แหล่งกำเนิด แสงสีเขียว นี่คือสิ่งที่สมองกำลังเรียนรู้ ทีนี้ผมขอให้คุณลองมองไปที่จุด ที่อยู่ระหว่างทะเลทรายทั้งสอง เอาเลยครับ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Can I have the lights up again?
ช่วยเปิดไฟบนเวทีหน่อยครับ
I take it from your response they don't look the same anymore, right?
ผมเดาจากปฏิกิริยาของพวกคุณว่า ภาพทะเลทรายดูไม่เหมือนกันอีกต่อไป ใช่ไหม?
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
Why? Because your brain is seeing that same information as if the right one is still under red light, and the left one is still under green light. That's your new normal. Okay? So, what does this mean for context? It means I can take two identical squares, put them in light and dark surrounds, and the one on the dark surround looks lighter than on the light surround. What's significant is not simply the light and dark surrounds that matter. It's what those light and dark surrounds meant for your behavior in the past.
ทำไมล่ะ? ก็เพราะว่าสมองคุณมองเห็นว่า ชุดข้อมูลชุดเดียวกัน ราวกับว่ารูปขวามือยังคงอยู่ใต้แสงสีแดง และรูปซ้ายมือยังอยู่ใต้แสงสีเขียว นั่นเป็นค่าปกติอันใหม่ของคุณ นี่มันมีความหมายอย่างไร กับบริบทแวดล้อม? มันมีความหมายว่า ผมสามารถ นำสี่เหลี่ยมที่เหมือนกัน 2 อัน นำมันไปวางบนพื้นหลังที่มีสีอ่อนหรือเข้ม อันที่มีสีเข้มล้อมรอบจะดูมีโทนสีอ่อนกว่า อีกอันที่มีสีอ่อนล้อมรอบ สิ่งสำคัญไม่เพียงแค่ว่า สีที่ล้อมรอบเป็นสีอ่อนหรือเข้ม แต่รวมถึงว่าสีที่ล้อมรอบสีอ่อนหรือเข้ม มีความหมายกับคุณในอดีตอย่างไร
So I'll show you what I mean. Here we have that exact same illusion. We have two identical tiles on the left, one in a dark surround, one in a light surround. And the same thing over on the right. Now, I'll reveal those two scenes, but I'm not going to change anything within those boxes, except their meaning. And see what happens to your perception.
ผมจะแสดงให้ดูว่าผมหมายถึงอะไร เรายังคงใช้ภาพชุดเดิม ภาพซ้ายมือ ซึ่งมีแผ่นสีเหลี่ยม 2 อัน อันนึงล้อมรอบด้วยสีเข้ม อีกอันล้อมรอบด้วยสีอ่อน ภาพขวามือก็เช่นเดียวกัน ที่ผมจะทำต่อไปก็คือ เผยให้เห็นฉากหลังทั้งสองข้าง แต่ผมจะไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไร กับภาพที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ยกเว้นความหมายของภาพ แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับการรับรู้ของคุณ
Notice that on the left the two tiles look nearly completely opposite: one very white and one very dark, right? Whereas on the right, the two tiles look nearly the same. And yet there is still one on a dark surround, and one on a light surround. Why? Because if the tile in that shadow were in fact in shadow, and reflecting the same amount of light to your eye as the one outside the shadow, it would have to be more reflective -- just the laws of physics. So you see it that way.
สังเกตว่าภาพด้านซ้ายมือ สี่เหลี่ยมทั้งสองอันดูราวกับ มีสีที่แทบจะตรงข้ามกันเลย อันหนึ่งขาวมาก อีกอันเกือบดำ ขณะที่ภาพด้านขวามือ สี่เหลี่ยมทั้งสองดูเกือบจะเหมือนกัน ถึงกระนั้น พวกมันยังคงถูกล้อมรอบด้วยสีเข้ม และสีอ่อนตามเดิม ทำไมล่ะ? ก็เพราะว่า ถ้าสี่เหลี่ยมนั้นอยู่ใต้เงา ถ้าเกิดต้องไปอยู่ใต้เงาจริงๆ และสะท้อนแสงเข้าสู่ตาคุณในปริมาณที่เท่ากับ อันที่อยู่นอกเงา มันควรต้องมีการสะท้อนแสงออกมามากกว่า --ตามกฎของฟิสิกส์ คุณจึงเห็นมันออกมาเป็นแบบนั้น
Whereas on the right, the information is consistent with those two tiles being under the same light. If they're under the same light reflecting the same amount of light to your eye, then they must be equally reflective. So you see it that way. Which means we can bring all this information together to create some incredibly strong illusions.
ขณะที่ภาพขวามือนั้น ข้อมูลจะเป็นว่า สี่เหลี่ยมทั้งสองอันอยู่ภายใต้แสงไฟอันเดียวกัน ถ้ามันอยู่ใต้แสงแบบเดียวกัน มันก็ควรจะสะท้อนแสงเข้าสู่ตาในปริมาณเท่าๆ กัน ดังนั้นพวกมันต้องมีการสะท้อนแสงที่เท่าๆกัน ดังนั้นคุณจึงเห็นพวกมันเกือบจะเหมือนกัน ซึ่งหมายความว่าเราสามารถนำข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน เพื่อสร้างภาพลวงตาที่น่าทึ่งได้
This is one I made a few years ago. And you'll notice you see a dark brown tile at the top, and a bright orange tile at the side. That is your perceptual reality. The physical reality is that those two tiles are the same.
อันนี้เป็นงานที่ผมทำเมื่อสองสามปีก่อน คุณจะเห็นช่องสีเหลี่ยมสีน้ำตาลที่อยู่ด้านบน และช่องสีเหลี่ยมสีส้มอ่อนที่อยู่ด้านข้าง นั้นเป็นความจริงในการรับรู้ของคุณ แต่ในทางกายภาพนั้น ทั้งสองอันมีสีที่เหมือนกัน
Here you see four gray tiles on your left, seven gray tiles on the right. I'm not going to change those tiles at all, but I'm going to reveal the rest of the scene. And see what happens to your perception. The four blue tiles on the left are gray. The seven yellow tiles on the right are also gray. They are the same. Okay? Don't believe me? Let's watch it again.
คุณเห็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีเทา 4 อันทางด้านซ้าย 7 อันทางด้านขวา ผมจะไม่ทำอะไรแผ่นสีเหลี่ยมพวกนั้น แต่ผมจะเผยให้เห็นถึง ฉากรอบๆ แผ่นสี่เหลี่ยมเหล่านั้น ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับการรับรู้ของคุณ แผ่นสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน 4 อันด้านซ้าย มีสีเทา แผ่นสีเหลี่ยมสีเหลือง 7 อันด้านขวา ก็มีสีเทา พวกมันดูเหมือนกัน เห็นไหม? ไม่เชื่อผมเหรอ? ลองดูอีกทีก็ได้
What's true for color is also true for complex perceptions of motion. So, here we have -- let's turn this around -- a diamond. And what I'm going to do is, I'm going to hold it here, and I'm going to spin it. And for all of you, you'll see it probably spinning this direction. Now I want you to keep looking at it. Move your eyes around, blink, maybe close one eye. And suddenly it will flip, and start spinning the opposite direction. Yes? Raise your hand if you got that. Yes? Keep blinking. Every time you blink, it will switch. So I can ask you, which direction is it rotating? How do you know? Your brain doesn't know, because both are equally likely. So depending on where it looks, it flips between the two possibilities.
สิ่งที่เป็นจริงสำหรับสีสันก็เป็นจริงสำหรับ การรับรู้ที่ซับซ้อนเช่นการเคลื่อนไหวเช่นกัน ทีนี้เรามี วัตถุทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ผมจะถือมันไว้อย่างนี้ แล้วก็หมุนมัน ทุกคนจะเห็นว่ามันจะหมุนไปทิศทางนี้ ผมขอให้คุณจ้องมันไว้ กลอกตาไปมา กระพริบตา จะปิดตาข้างนึงก็ได้ ทันใดนั้นมันจะพลิกกลับ เริ่มหมุนไปอีกด้าน ใช่ไหม? ยกมือขึ้นถ้าคุณเห็นเช่นที่ว่า กระพริบตาต่อไป ทุกครั้งที่กระพริบตามันจะเปลี่ยนทิศหมุน ผมถามคุณว่า ตอนนี้มันกำลังหมุนไปทิศไหน? คุณรู้ได้อย่างไร? สมองคุณไม่รู้หรอก เพราะว่ามันเป็นไปได้เท่าๆ กัน มันขึ้นอยู่กับว่าเรามองไปที่ไหน มันพลิกกลับไปมาระหว่างความเป็นไปได้ทั้งสองด้าน
Are we the only ones that see illusions? The answer to this question is no. Even the beautiful bumblebee, with its mere one million brain cells, which is 250 times fewer cells than you have in one retina, sees illusions, does the most complicated things that even our most sophisticated computers can't do. So in my lab we work on bumblebees, because we can completely control their experience, and see how it alters the architecture of their brain. We do this in what we call the Bee Matrix.
แล้วมีเพียงมนุษย์ที่เห็นภาพลวงตาใช่ไหม? คำตอบคือ ไม่ แม้แต่ในผึ้งตัวน้อย ที่มีเซลล์สมองเพียง 1 ล้านเซลล์ ซึ่งน้อยกว่าเซลล์จอประสาทตาถึง 250 เท่า พวกมันก็เห็นภาพลวงตา ทำสิ่งซับซ้อนที่สุด ที่แม้แต่คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดก็ยังทำไม่ได้ ที่ห้องทดลองผม ทำการศึกษาพวกผึ้ง เพราะว่าเราสามารถควบคุม ประสบการณ์ของพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ แล้วดูว่ามันทำให้สมองของพวกมันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เราทำการทดลองนี้ในสิ่งที่เราเรียกว่า "Bee Matrix"
Here you have the hive. You can see the queen bee, the large bee in the middle. Those are her daughters, the eggs. They go back and forth between this hive and the arena, via this tube. You'll see one of the bees come out here. You see how she has a little number on her? There's another one coming out, she also has a number on her. Now, they're not born that way, right? We pull them out, put them in the fridge, and they fall asleep. Then you can superglue little numbers on them.
ซึ่งเรามีรังผึ้ง คุณจะเห็นนางพญาผึ้ง ผึ้งตัวใหญ่ๆ ที่อยู่ตรงกลาง นั่นเป็นลูกๆ ของเธอ และไข่ พวกมันไปมาระหว่างรังผึ้ง และสนามทดลองผ่านทางท่อแบบนี้ คุณจะเห็นผึ้งตัวหนึ่งออกมาจากท่อ เห็นไหมว่ามันมีเบอร์ติดบนตัวด้วย? ผึ้งอีกตัวก็กำลังออกมา มันก็มีเบอร์ติดอยู่เช่นกัน มันไม่ได้มีมาแต่เกิดใช่ไหม? เบอร์พวกนั้น เราเอาผึ้งออกมา ใส่ในตู้เย็น จนมันหลับ แล้วเราจะสามารถติดเบอร์ลงบนตัวพวกมันได้
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And now, in this experiment they get a reward if they go to the blue flowers. They land on the flower, stick their tongue in there, called a proboscis, and drink sugar water. She's drinking a glass of water that's about that big to you and I, will do that about three times, then fly. And sometimes they learn not to go to the blue, but to go where the other bees go. So they copy each other. They can count to five. They can recognize faces. And here she comes down the ladder. And she'll come into the hive, find an empty honey pot, and throw up, and that's honey.
ในการทดลองนี้ผึ้งจะได้รางวัล ถ้าพวกมันไปที่ดอกไม้สีฟ้า เมื่อพวกมันมาถึงดอกไม้นั้น ก็จะยื่นลิ้นเข้าไปในนั้น โดยอวัยวะคล้ายหลอดดูด เพื่อดูดน้ำหวาน ผึ้งตัวนี้กำลังดูดน้ำหวานที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวมัน มันจะทำทั้งหมดสามคร้้งแล้วบินกลับ บางครั้งพวกมันก็เรียนรู้ว่าไม่ควรไปที่ดอกสีฟ้า แต่ให้ไปยังดอกไม้ที่ผึ้งตัวอื่นๆไป พวกมันทำตามกัน พวกมันสามารถนับเลขได้ถึง 5 มันสามารถจดจำหน้ากันได้ ผึ้งตัวนี้กำลังลงมาตามทาง มันจะกลับไปที่รัง หาโพรงที่ยังว่างอยู่ แล้วก็อาเจียนออกมา กลายเป็นน้ำผึ้ง
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Now remember, she's supposed to be going to the blue flowers, but what are these bees doing in the upper right corner? It looks like they're going to green flowers. Now, are they getting it wrong? And the answer to the question is no. Those are actually blue flowers. But those are blue flowers under green light. So they're using the relationships between the colors to solve the puzzle, which is exactly what we do.
จำได้ไหมครับว่า มันควรจะไปที่ดอกไม้สีฟ้า แต่ผึ้งพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่ตรงมุมขวาบน? ดูเหมือนพวกมันจะไปที่ดอกไม้สีเขียว พวกมันเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ใช่ ดอกไม้พวกนั้นจริงๆ เป็นสีฟ้า แต่เป็นดอกไม้สีฟ้าภายใต้แสงสีเขียว พวกมันกำลังใช้ความสัมพันธ์ของสีต่างๆ ในการจัดการปัญหา ซึ่งก็เหมือนๆ กับที่พวกเราทำ
So, illusions are often used, especially in art, in the words of a more contemporary artist, "to demonstrate the fragility of our senses." Okay, this is complete rubbish. The senses aren't fragile. And if they were, we wouldn't be here. Instead, color tells us something completely different, that the brain didn't actually evolve to see the world the way it is. We can't. Instead, the brain evolved to see the world the way it was useful to see in the past. And how we see is by continually redefining normality.
ภาพลวงตาถูกนำมาใช้บ่อยๆ โดยเฉพาะในงานศิลป์ จากคำกล่าวของศิลปินร่วมสมัยคนหนึ่ง "เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของ ประสาทสัมผัสของเรา" โอเค นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระ ประสาทสัมผัสไม่ได้เปราะบาง เพราะถ้าเป็นจริง พวกเราคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่เป็นแน่ ในทางตรงกันข้าม สีบอกเราถึงบางอย่าง ที่ต่างออกไปเป็นคนละเรื่อง เรื่องที่ว่าสมองไม่ได้พัฒนามา เพื่อมองโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ เราทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่สมองพัฒนามาเพื่อที่จะเห็นโลก ในแบบที่มันเคยมีประโยชน์กับเรา จากประสบการณ์ในอดีต การมองเห็นของเราเกิดจากความต่อเนื่อง ในการให้นิยามใหม่ๆ ของสภาวะปกติ
So, how can we take this incredible capacity of plasticity of the brain and get people to experience their world differently? Well, one of the ways we do it in my lab and studio is we translate the light into sound, and we enable people to hear their visual world. And they can navigate the world using their ears.
แล้วเราจะนำความสามารถ ในการแปรเปลี่ยนไปได้อย่างมากมายของสมอง แล้วทำให้ผู้คนรับรู้โลกอย่างแตกต่างกันได้อย่างไร? หนึ่งในหลายๆ วิธีที่เราทำในห้องทดลอง ก็คือ เราแปลงแสงให้กลายเป็นเสียง ทำให้ผู้คนสามารถได้ยินเสียง จากโลกของการมองเห็น พวกเขาสามารถสำรวจโลกโดยการใช้หูของพวกเขา
Here's David on the right, and he's holding a camera. On the left is what his camera sees. And you'll see there's a faint line going across that image. That line is broken up into 32 squares. In each square, we calculate the average color. And then we just simply translate that into sound. And now he's going to turn around, close his eyes, and find a plate on the ground with his eyes closed.
นี่คือเดวิด เขากำลังถือกล้องตัวหนึ่งอยู่ ทางซ้ายคือสิ่งที่กล้องของเขาเห็น จะเห็นว่ามันมีเส้นจางๆเส้นหนึ่งเคลื่อนผ่านรูปภาพนั้นไป เส้นๆนั้นถูกแบ่งออกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส 32 อัน ในแต่ละอันเราได้คำนวนค่าเฉลี่ยของสี แล้วก็เปลี่ยนค่านั้นให้กลายเป็นเสียง ทีนี้ เขากำลังจะกลับหลังหัน โดยปิดตาอยู่ หาจานบนพื้นโดยที่ยังปิดตาอยู่
(Continuous sound)
(เสียงดังต่อเนื่อง)
(Sound changes momentarily)
(เสียงเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง)
(Sound changes momentarily)
(เสียงเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง)
(Sound changes momentarily)
(เสียงเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง)
(Sound changes momentarily)
(เสียงเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง)
(Sound changes momentarily)
(เสียงเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง)
Beau Lotto: He finds it. Amazing, right? So not only can we create a prosthetic for the visually impaired, but we can also investigate how people literally make sense of the world. But we can also do something else. We can also make music with color. So, working with kids, they created images, thinking about what might the images you see sound like if we could listen to them. And then we translated these images. And this is one of those images. And this is a six-year-old child composing a piece of music for a 32-piece orchestra. And this is what it sounds like.
เขาเจอมัน น่าทึ่งใช่ไหม? ไม่เพียงแค่เราจะสามารถสร้างอวัยวะเทียม สำหรับคนที่พิการทางการมองเห็น แต่เรายังสามารถศึกษา ว่าผู้คนทำความเข้าใจโลก กันอย่างไรด้วย? เรายังสามารถทำสิ่งอื่นได้อีก เราสามารถสร้างดนตรีขึ้นจากสีได้ ด้วยความช่วยเหลือของเด็กๆ พวกเขาวาดภาพขึ้นมา ลองคิดดูว่าภาพที่คุณเห็น จะมีเสียงเป็นอย่างไรถ้าเราสามารถฟังมันได้ เราทำการแปลภาพวาดเหล่านั้น และนี่ก็เป็นหนึ่งในภาพเหล่านั้น นี่เป็นเด็กหกขวบที่แต่งเพลงเพลงหนึ่ง สำหรับวงออร์เคสตรา 32 ชิ้น นี่เป็นเสียงของมัน
(Electronic representation of orchestral music)
(เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์ เลียนแบบวงออร์เคสตรา)
So, a six-year-old child. Okay?
ผลงานจากเด็กหกขวบ
Now, what does all this mean? What this suggests is that no one is an outside observer of nature, okay? We're not defined by our central properties, by the bits that make us up. We're defined by our environment and our interaction with that environment, by our ecology. And that ecology is necessarily relative, historical and empirical. So, what I'd like to finish with is this over here. Because what I've been trying to do is really celebrate uncertainty. Because I think only through uncertainty is there potential for understanding.
ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร? มันบอกเราว่า มันไม่มีผู้สังเกตการณ์ ที่อยู่ภายนอกระบบธรรมชาติ พวกเราไม่ได้ถูกนิยามโดยคุณสมบัติภายในของเรา จากเซลล์แต่ละเซลล์ที่ประกอบกันเป็นตัวเรา แต่เราถูกนิยามโดยสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา และการปฏิสัมพันธ์ของเรากับมัน ในระบบนิเวศของเรา ทั้งในเชิงความสัมพันธ์ ในเชิงประวัติศาสตร์ และในเชิงประสบการณ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมอยากจะปิดท้ายการพูดด้วยสิ่งนี้ เพราะว่าสิ่งที่ผมได้พยายามทำ ก็คือ การยกย่องความไม่แน่นอน ผมคิดว่า โดยอาศัยความไม่แน่นอนเท่านั้น ที่มีศักยภาพในการทำความเข้าใจ
So, if some of you are still feeling a bit too certain, I'd like to do this one. So, if we have the lights down. And what we have here -- Can everyone see 25 purple surfaces on your left, and 25, call it yellowish, surfaces on your right? So now, what I want to do, I'm going to put the middle nine surfaces here under yellow illumination, by simply putting a filter behind them. Now you can see that changes the light that's coming through there, right? Because now the light is going through a yellowish filter and then a purplish filter. I'm going to do the opposite on the left here. I'm going to put the middle nine under a purplish light.
หากบางคนยังคงรู้สึกถึงความเที่ยงแท้แน่นอนอยู่ ผมอยากจะแสดงสิ่งนี้ให้ดู ช่วยปิดไฟบนเวทีด้วยครับ บนเวทีนี้เรามี ทุกคนเห็นช่องสีม่วง 25 ช่อง ทางด้านซ้าย และช่องสีเหลือง 25 ช่อง ทางด้านขวา ใช่ไหม? สิ่งที่ผมจะทำ คือ ผมจะปิดช่องตรงกลาง 9 ช่องนี้ด้วย แสงสีเหลือง โดยใช้แผ่นกรองแสงวางที่ด้านหลัง ทีนี้คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของแสง ที่ส่องออกมาตรงนั้น เพราะตอนนี้แสงส่องผ่านแผ่นกรองแสงสีเหลือง และผ่านแผ่นกรองแสงสีม่วง ผมจะทำสิ่งตรงกันข้ามที่กระดานด้านซ้าย ผมจะใส่แผ่นกรองแสงสีม่วงที่ 9 ช่องตรงกลาง
Now, some of you will have noticed that the consequence is that the light coming through those middle nine on the right, or your left, is exactly the same as the light coming through the middle nine on your right. Agreed? Yes? Okay. So they are physically the same. Let's pull the covers off. Now remember -- you know that the middle nine are exactly the same. Do they look the same? No. The question is, "Is that an illusion?" And I'll leave you with that.
ทีนี้บางคนอาจจะเห็นแล้วว่า แสงที่ผ่านช่องตรงกลาง 9 ช่อง ทางซ้ายมือ นั้นเหมือนกันกับแสงที่ผ่าน ช่องตรงกลาง 9 ช่องทางขวามือ เห็นตรงกันนะครับ พวกมันเหมือนกันในเชิงกายภาพ ทีนี้ลองดึงเอาฉากกั้นด้านหน้าออก จำไว้ว่า คุณรู้ว่าช่องตรงกลาง 9 ช่องนั้นเหมือนกัน ตอนนี้มันยังดูเหมือนกันอยู่ไหมครับ? ไม่เหมือนแล้ว คำถามคือ "นี่เป็นภาพลวงตาหรือไม่?" ผมจะทิ้งไว้ให้เก็บไปคิดนะครับ ขอบคุณมากครับ
So, thank you very much.
(เสียงปรบมือ)
(Laughter)
(Applause)