(Applause)
(เสียงปรบมือ)
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
I am a papercutter. (Laughter) I cut stories. So my process is very straightforward. I take a piece of paper, I visualize my story, sometimes I sketch, sometimes I don't. And as my image is already inside the paper, I just have to remove what's not from that story. So I didn't come to papercutting in a straight line. In fact, I see it more as a spiral.
ฉันเป็นนักตัดกระดาษ (เสียงหัวเราะ) ฉันตัดเรื่องราวต่าง ๆ ขั้นตอนของฉันนั้นตรงไปตรงมา นำกระดาษมาหนึ่งแผ่น นึกเรื่องราวออกมาเป็นภาพ บางทีก็ร่างแบบ บางทีก็ไม่ และเมื่อภาพของฉัน อยู่บนแผ่นกระดาษแล้ว ฉันก็แค่ต้องตัด ส่วนที่ไม่อยู่ในเรื่องออก ฉันไม่ได้ทำงานตัดกระดาษ แบบเป็นเส้นตรง ที่จริง ฉันมองว่ามันเป็นเกลียวมากกว่า
I was not born with a blade in my hand. And I don't remember papercutting as a child. As a teenager, I was sketching, drawing, and I wanted to be an artist. But I was also a rebel. And I left everything and went for a long series of odd jobs. So among them, I have been a shepherdess, a truck driver, a factory worker, a cleaning lady. I worked in tourism for one year in Mexico, one year in Egypt. I moved for two years in Taiwan. And then I settled in New York where I became a tour guide. And I still worked as a tour leader, traveled back and forth in China, Tibet and Central Asia.
ฉันไม่ได้เกิดมา พร้อมใบมีดในมือ และจำไม่ได้ว่าเคยตัดกระดาษตอนเป็นเด็ก แล้วพอเป็นวัยรุ่น ฉันก็สเก็ตช์รูป วาดรูป และอยากเป็นศิลปิน แต่ฉันก็เป็นขบถด้วย แล้วฉันก็ทิ้งทุกสิ่ง แล้วไปทำงานแปลก ๆ หลายอย่าง ซึ่งก็มี เป็นคนเลี้ยงแกะ คนขับรถบรรทุก สาวโรงงาน คนทำความสะอาด ฉันทำงานในบริษัทท่องเที่ยวอยู่หนึ่งปี ในเม็กซิโก อีกปีในอียิปต์ ย้ายไปอยู่ 2 ปี ที่ไต้หวัน แล้วมาอยู่ที่นิวยอร์คถาวร ซึ่งฉันมาเป็นมัคคุเทศก์ และฉันยังทำงานเป็นหัวหน้าทัวร์ เดินทางไปกลับ เมืองจีน ทิเบต และเอเชียกลาง
So of course, it took time, and I was nearly 40, and I decided it's time to start as an artist. (Applause) I chose papercutting because paper is cheap, it's light, and you can use it in a lot of different ways. And I chose the language of silhouette because graphically it's very efficient. And it's also just getting to the essential of things. So the word "silhouette" comes from a minister of finance, Etienne de Silhouette. And he slashed so many budgets that people said they couldn't afford paintings anymore, and they needed to have their portrait "a la silhouette." (Laughter) So I made series of images, cuttings, and I assembled them in portfolios. And people told me -- like these 36 views of the Empire State building -- they told me, "You're making artist books."
แน่นอนว่ามันก็นานอยู่ ฉันเองก็เกือบ 40 แล้ว ฉันก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะเริ่มทำงานอย่างศิลปิน (เสียงปรบมือ) ฉันเลือกการตัดกระดาษ เพราะกระดาษนั้นราคาถูก เบา และเราสามารถใช้ได้ หลากหลายรูปแบบ และฉันเลือกรูปแบบของการถมดำ (ซิลูเอ็ต) เพราะมันให้ภาพที่โดดเด่น เป็นการคัดเฉพาะส่วนที่จำเป็นของสิ่งต่าง ๆ คำว่า "ซิลูแอ็ต" มาจากรมต.กระทรวงการคลัง เอเตียน เดอ ซิลูเอ็ต เขาตัดงบประมาณออกมากมาย จนคนบอกกันว่าไม่มีเงิน จะซื้อผลงานจิตรกรรมกันแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ภาพวาดของตัวเอง "อย่างซิลูแอ็ต" (เสียงหัวเราะ) ฉันจึงสร้างชุดภาพผลงานตัดกระดาษ และรวบรวมในแฟ้มผลงาน ผู้คนก็บอกฉันว่า อย่างภาพมุมต่าง ๆ ของตึกเอมไพร์ สเตท 36 ภาพนี้ พวกเขาบอกว่า "คุณกำลังทำหนังสือศิลปิน"
So artist books have a lot of definitions. They come in a lot of different shapes. But to me, they are fascinating objects to visually narrate a story. They can be with words or without words. And I have a passion for images and for words. I love pun and the relation to the unconscious. I love oddities of languages. And everywhere I lived, I learned the languages, but never mastered them. So I'm always looking for the false cognates or identical words in different languages.
คำว่าหนังสือศิลปินมีความหมายหลายอย่าง มีรูปแบบแตกต่างกันไป แต่สำหรับฉัน มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก ในการเล่าเรื่องออกมาเป็นภาพ จะมีข้อความ หรือไม่มีเลยก็ได้ และฉันก็มีความชอบ ทั้งต่อรูปภาพและถ้อยคำ ฉันชอบการเล่นสำนวน และการเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึก ฉันชอบความแปลกของภาษาต่าง ๆ และทุกที่ที่ไปอยู่ ฉันจะเรียนภาษานั้นๆ แต่ไม่ได้เรียนจนเก่งหรอก ฉันจึงมักมองหา คำคล้ายที่มาจากคนละรากศัพท์ หรือคำคำเดียวกันในภาษาต่าง ๆ
So as you can guess, my mother tongue is French. And my daily language is English. So I did a series of work where it was identical words in French and in English. So one of these works is the "Spelling Spider." So the Spelling Spider is a cousin of the spelling bee. (Laughter) But it's much more connected to the Web. (Laughter) And this spider spins a bilingual alphabet. So you can read "architecture active" or "active architecture." So this spider goes through the whole alphabet with identical adjectives and substantives. So if you don't know one of these languages, it's instant learning.
คุณคงเดาได้ว่าภาษาแม่ของฉันคือฝรั่งเศส และภาษาในชีวิตประจำวันคืออังกฤษ ฉันจึงทำผลงานออกมาชุดหนึ่ง เป็นคำที่มีความหมายตรงกัน ในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ ผลงานชิ้นหนึ่งในนั้น ก็คือ "แมงมุมนักสะกดคำ" แมงมุมนักสะกดคำ เป็นญาติกับผึ้งนักสะกดคำ (เสียงหัวเราะ) แต่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับใยแมงมุมมากกว่า (เสียงหัวเราะ) แมงมุมตัวนี้ พลิกไปมา ให้อ่านได้ทั้ง 2 ภาษา จึงอ่านได้ทั้ง "architecture active" (ฝรั่งเศส) หรือ "active architecture" (อังกฤษ) แล้วแมงมุมก็ไต่ไปยังตัวอักษรทั้งชุด ด้วยคุณศัพท์และคำนามที่ความหมายเหมือนกัน ดังนั้นถ้าคุณไม่รู้ภาษาใดภาษาหนึ่ง ก็จะเรียนรู้ได้ทันที
And one ancient form of the book is scrolls. So scrolls are very convenient, because you can create a large image on a very small table. So the unexpected consequences of that is that you only see one part of your image, so it makes a very freestyle architecture. And I'm making all those kinds of windows. So it's to look beyond the surface. It's to have a look at different worlds. And very often I've been an outsider. So I want to see how things work and what's happening. So each window is an image and is a world that I often revisit. And I revisit this world thinking about the image or cliché about what we want to do, and what are the words, colloquialisms, that we have with the expressions.
และงานเก่าชิ้นหนึ่งจากหนังสือ ก็คือกระดาษม้วน กระดาษม้วนใช้ได้สะดวกมาก เพราะคุณสามารถสร้างภาพใหญ่ๆ ได้ บนโต๊ะตัวเล็กๆ ผลที่ไม่ได้คาดคิดจากข้อนั้น คือคุณจะได้เห็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพ จึงทำให้เกิดภาพสถาปัตยกรรมแบบฟรีสไตล์ และฉันทำหน้าต่างพวกนั้นทั้งหมด จึงต้องมองให้ลึกกว่านั้น มันคือการมอง โลกที่แตกต่างออกไป และบ่อยครั้งที่ฉันเป็นดังคนนอก ฉันจึงอยากเห็นว่าอะไรเป็นอะไร มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นหน้าต่างแต่ละบาน จึงเป็นภาพหนึ่งภาพ และเป็นโลกหนึ่งใบ ที่ฉันกลับไปเยือนบ่อยๆ และฉันก็กลับมาเยือนโลกใบนี้ คิดเรื่องภาพ หรือเรื่องจำเจอย่าง เราอยากทำอะไร ใช้คำว่าอะไร ภาษาถิ่นคืออะไร ที่เราใช้สื่อออกไป
It's all if. So what if we were living in balloon houses? It would make a very uplifting world. And we would leave a very low footprint on the planet. It would be so light. So sometimes I view from the inside, like EgoCentriCity and the inner circles. Sometimes it's a global view, to see our common roots and how we can use them to catch dreams. And we can use them also as a safety net.
มันมีแต่คำว่า "ถ้า" จะเป็นไง "ถ้า" เราได้อยู่ในบ้านบอลลูน คงจะเป็นโลกที่สูงส่งมากสินะ เราคงปล่อยของเสียบนโลกน้อยมาก คงจะเบามาก ดังนั้นบางครั้งฉันก็มองจากข้างใน อย่าง "เมืองแห่งการถือตนเป็นใหญ่" และวงกลมที่อยู่ภายใน บางทีก็เป็นมุมมองเรื่องโลก เพื่อดูรากที่เหมือนกันของเรา และเราจะใช้มันเพื่อล่าฝันได้ยังไง และเรายังสามารถใช้ เป็นรังหลบภัยได้ด้วย
And my inspirations are very eclectic. I'm influenced by everything I read, everything I see. I have some stories that are humorous, like "Dead Beats." (Laughter) Other ones are historical. Here it's "CandyCity." It's a non-sugar-coated history of sugar. It goes from slave trade to over-consumption of sugar with some sweet moments in between. And sometimes I have an emotional response to news, such as the 2010 Haitian earthquake. Other times, it's not even my stories. People tell me their lives, their memories, their aspirations, and I create a mindscape. I channel their history [so that] they have a place to go back to look at their life and its possibilities. I call them Freudian cities.
แรงบันดาลใจของฉัน ก็แตกต่างหลากหลายมาก ฉันได้รับอิทธิพลจากทุกสิ่งที่อ่าน ทุกสิ่งที่ดู ฉันมีบางเรื่องที่เป็นเรื่องตลก อย่าง "จังหวะมรณะ" (เสียงหัวเราะ) แล้วก็มีที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ นี่คือ "เมืองลูกกวาด" เป็นประวัติศาสตร์ของน้ำตาล แบบไม่เคลือบน้ำตาล มันมาจากการขายทาส เพื่อสนองการบริโภคของน้ำตาลที่มากเกินจำเป็น ซึ่งก็มีเรื่องราวหวานๆ แทรกอยู่บ้าง บางครั้งฉันก็มีอารมณ์ตอบสนองกับข่าว เช่นแผ่นดินไหวในเฮติ ปี 2010 บางที ก็ไม่ใช่เรื่องราวของฉันเอง ผู้คนเล่าถึงชีวิตตัวเองให้ฉันฟัง ความทรงจำ ความปรารถนาของพวกเขา แล้วฉันก็สร้างพื้่นที่ในใจ เปิดช่องทางให้กับเรื่องของพวกเขา เพื่อให้มีที่ให้ย้อนกลับไป เพื่อมองชีวิตพวกเขาและความเป็นไปได้ต่างๆ ฉันเรียกมันว่า "เมืองแห่งฟรอยด์"
I cannot speak for all my images, so I'll just go through a few of my worlds just with the title. "ModiCity." "ElectriCity." "MAD Growth on Columbus Circle." "ReefCity." "A Web of Time." "Chaos City." "Daily Battles." "FeliCity." "Floating Islands." And at one point, I had to do "The Whole Nine Yards." So it's actually a papercut that's nine yards long. (Laughter) So in life and in papercutting, everything is connected. One story leads to another. I was also interested in the physicality of this format, because you have to walk to see it.
ฉันคงเล่าให้ฟังได้ไม่หมดทุกภาพ จึงจะให้ดูเพียงส่วนเล็กน้อยจากโลกของฉัน และชื่อภาพ "เมืองดัดแปลง" "เมืองไฟฟ้า" "การเติบโตอย่างบ้าคลั่ง บนโคลัมบัส เซอร์เคิล" "เมืองหินปะการัง" "ใยแห่งเวลา" "เมืองวุ่นวาย" "รบกันรายวัน" "เมืองแห่งความสุข" "เกาะลอย" และถึงจุดหนึ่ง ฉันต้องทำชิ้นงาน "ทั้ง 9 หลา" เป็นงานตัดกระดาษที่ยาว 9 หลาจริง ๆ (เสียงหัวเราะ) ในชีวิตและการตัดกระดาษ ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน เรื่องหนึ่งนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง ฉันยังสนใจ ลักษณะทางกายภาพของรูปแบบนี้ เพราะคุณต้องเดินเพื่อจะดูมันให้ครบ
And parallel to my cutting is my running. I started with small images, I started with a few miles. Larger images, I started to run marathons. Then I went to run 50K, then 60K. Then I ran 50 miles -- ultramarathons. And I still feel I'm running, it's just the training to become a long-distance papercutter.
สิ่งที่ฉันทำควบคู่ ไปกับงานตัดกระดาษ ก็คือการวิ่ง ฉันเริ่มจากรูปเล็กๆ ฉันเริ่มจากไม่กี่ไมล์ รูปใหญ่ขึ้น แล้วฉันก็เริ่มวิ่งมาราธอน แล้วก็วิ่ง 50 กิโล 60 กิโล แล้วฉันก็วิ่ง 50 ไมล์ -- อัลตร้ามาราธอน ฉันยังรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งอยู่ มันเป็นแค่การฝึก เพื่อจะเป็นนักตัดกระดาษระยะไกล
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
And running gives me a lot of energy. Here is a three-week papercutting marathon at the Museum of Arts and Design in New York City. The result is "Hells and Heavens." It's two panels 13 ft. high. They were installed in the museum on two floors, but in fact, it's a continuous image. And I call it "Hells and Heavens" because it's daily hells and daily heavens. There is no border in between. Some people are born in hells, and against all odds, they make it to heavens. Other people make the opposite trip. That's the border. You have sweatshops in hells. You have people renting their wings in the heavens. And then you have all those individual stories where sometimes we even have the same action, and the result puts you in hells or in heavens. So the whole "Hells and Heavens" is about free will and determinism.
และการวิ่งทำให้ฉันมีกำลังมากขึ้น นี่คือการตัดกระดาษมาราธอน 3 อาทิตย์ ที่เดอะ มิวเซียม ออฟ อาร์ทส แอนด์ ดีไซน์ ในเมืองนิวยอร์ค ผลงานออกมาเป็น "นรกและสวรรค์" มี 2 ชิ้น สูง 13 ฟุต ติดตั้งอยู่ในสองชั้นของพิพิธภัณฑ์ ที่จริงมันเป็นภาพที่ต่อเนื่องกัน ฉันเรียกมันว่า "นรกและสวรรค์" เพราะมันมีทั้งนรกและสวรรค์ในทุกๆ วัน ไม่มีขอบกั้น บางคนเกิดในนรก และฝ่าฟันอุปสรรคจนไปถึงสวรรค์ได้ บางคนก็เป็นแบบตรงกันข้าม นั่นคือกรอบ มีโรงงานนรกในนรก มีคนเช่าปีกในสวรรค์ แล้วก็มีเรื่องราวของแต่ละคน ซึ่งบางทีเราเองก็ทำสิ่งเดียวกับพวกเขา และมันส่งผลให้คุณไปอยู่ในนรกหรือสวรรค์ "นรกและสวรรค์" ทั้งชิ้นนี้ เกี่ยวกับเรื่องเจตจำนงเสรี และความเชื่อเรื่องเหตุปัจจัย
And in papercutting, you have the drawing as the structure itself. So you can take it off the wall. Here it's an artist book installation called "Identity Project." It's not autobiographical identities. They are more our social identities. And then you can just walk behind them and try them on. So it's like the different layers of what we are made of and what we present to the world as an identity.
และในการตัดกระดาษ จะมีตัวภาพโครงสร้างอยู่แล้ว จึงไม่ต้องแขวนชิดกำแพง นี่คือการติดตั้งหนังสือศิลปิน เรียกว่า "งานอัตลักษณ์" ไม่ใช่อัตลักษณ์แบบชีวประวัติ แต่เหมือนอัตลักษณ์ทางสังคมมากว่า คุณสามารถเดินไปด้านหลัง เพื่อทาบกับชิ้นงาน จึงเป็นเหมือนหลายๆ ชั้น ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเรา และเอกลักษณ์ที่เราแสดงออก ให้โลกรับรู้
That's another artist book project. In fact, in the picture, you have two of them. It's one I'm wearing and one that's on exhibition at the Center for Books Arts in New York City. Why do I call it a book? It's called "Fashion Statement," and there are quotes about fashion, so you can read it, and also, because the definition of artist book is very generous. So artist books, you take them off the wall. You take them for a walk. You can also install them as public art. Here it's in Scottsdale, Arizona, and it's called "Floating Memories." So it's regional memories, and they are just randomly moved by the wind.
มีหนังสือศิลปินอีกชิ้นหนึ่ง ที่จริง อย่างที่เห็นในรูป จะมี 2 ชิ้น ซึ่งเป็นตัวที่ฉันใส่อยู่ และตัวที่อยู่ในนิทรรศการ ที่เซ็นเตอร์ ออฟ บุคส์ อาร์ท ในเมืองนิวยอร์ค ทำไมฉันจึงเรียกมันว่าหนังสือ มันมีชื่อว่า "แถลงการณ์ของแฟชั่น" และมีคำคมเกี่ยวกับแฟชั่น ดังนั้นคุณจะได้อ่านมัน แล้วก็ เพราะความหมายของหนังสือศิลปิน มันกว้างมาก หนังสือศิลปินจึงไม่ต้องแขวนอยู่บนกำแพง สามารถใส่เดินได้ แล้วก็จัดวางเป็นงานศิลปะสาธารณะได้ ที่นี่คือสก็อตส์เดล อริโซน่า มีชื่อว่า "ความทรงจำที่ล่องลอย" เป็นความทรงจำที่มีหลายส่วน แล้วมันก็ปลิวไปมาเมื่อลมพัด
I love public art. And I entered competitions for a long time. After eight years of rejection, I was thrilled to get my first commission with the Percent for Art in New York City. It was for a merger station for emergency workers and firemen. I made an artist book that's in stainless steel instead of paper. I called it "Working in the Same Direction." But I added weathervanes on both sides to show that they cover all directions. With public art, I could also make cut glass. Here it's faceted glass in the Bronx. And each time I make public art, I want something that's really relevant to the place it's installed. So for the subway in New York, I saw a correspondence between riding the subway and reading. It is travel in time, travel on time. And Bronx literature, it's all about Bronx writers and their stories.
ฉันชอบศิลปะสาธารณะ แล้วฉันก็เข้าประกวด เป็นเวลานาน หลังโดนปฏิเสธอยู่ 8 ปี ฉันก็ตื่นเต้นมากที่มีคนจ้างเป็นครั้งแรก โดย "เปอร์เซนต์ ฟอร์ อาร์ท" ในนิวยอร์ค เพื่อติดตั้งที่สถานีเชื่อม สำหรับคนทำงานฉุกเฉินและนักดับเพลิง ฉันทำหนังสือศิลปิน ด้วยสเตนเลส แทนกระดาษ ตั้งชื่อว่า "ทำงานในทิศทางเดียวกัน" แต่ฉันติดกังหันทิศทางลมเข้าไปทั้งสองด้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันครอบคลุมทุกทิศทาง ด้วยงานศิลปะสาธารณะ ฉันได้ทำกระจกตัด นี่ึคือด้านหน้ากระจกในย่านบรองซ์ และทุกครั้งที่ทำงานศิลปะสาธารณะ ฉันอยากทำเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับสถานที่นั้นๆ อย่างแท้จริง ดังนั้นสำหรับรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ค ฉันเห็นความสอดคล้องกัน ระหว่างการนั่นรถไฟใต้ดิน และการอ่าน มันคือการเดินทางให้ทันเวลา ตรงเวลา และวรรณกรรมของบรองซ์ ก็เกี่ยวกับนักเขียนจากย่านบรองซ์ และเรื่องราวของพวกเขา
Another glass project is in a public library in San Jose, California. So I made a vegetable point of view of the growth of San Jose. So I started in the center with the acorn for the Ohlone Indian civilization. Then I have the fruit from Europe for the ranchers. And then the fruit of the world for Silicon Valley today. And it's still growing. So the technique, it's cut, sandblasted, etched and printed glass into architectural glass. And outside the library, I wanted to make a place to cultivate your mind. I took library material that had fruit in their title and I used them to make an orchard walk with these fruits of knowledge. I also planted the bibliotree. So it's a tree, and in its trunk you have the roots of languages. And it's all about international writing systems. And on the branches you have library material growing. You can also have function and form with public art. So in Aurora, Colorado it's a bench. But you have a bonus with this bench. Because if you sit a long time in summer in shorts, you will walk away with temporary branding of the story element on your thighs.
งานกระจกอีกชิ้น อยู่ในห้องสมุดสาธารณะ ในซาน โฮเซ่ แคลิฟอร์เนีย ฉันทำเป็นรูปผัก แทนการเติบโตของซาน โฮเซ่ ฉันจึงเริ่มจากตรงกลาง ด้วยลูกโอ๊ก แทนอารยธรรมของ โอโลนี่ อินเดียน แล้วก็มีผลไม้จากยุโรป สำหรับคนเลี้ยงสัตว์ แล้วก็ผลไม้จากทั่วโลกสำหรับ ซิลิคอน วัลเลย์ ในทุกวันนี้ และมันยังโตขึ้นอีกเรื่อยๆ เทคนิคคือการตัด ขัดกระดาษทราย กัดกรด แล้วพิมพ์ลงไปบนกระจกสำหรับอาคาร และด้านนอกห้องสมุด ฉันต้องการสร้างสถานที่อันบ่มเพาะจิตใจ ฉันนำสิ่งที่อยู่ในห้องสมุด ซึ่งมีชื่อผลไม้อยู่ในชื่อเรื่อง นำมาใช้สร้างทางเดินในสวน ด้วยผลไม้แห่งความรู้เหล่านี้ ฉันจึงได้ปลูกต้นสมุด มันเป็นต้นไม้ ในลำต้นจะเป็นรากแห่งภาษา เกี่ยวกับระบบการเขียนของชาติต่างๆ และบนกิ่งไม้ ก็มีสิ่งที่เกี่ยวกับห้องสมุดงอกเงยออกมา คุณจะได้ทั้งการใช้งานและรูปแบบ ด้วยงานศิลปะสาธารณะ ในออโรร่า โคโลราโด เป็นม้านั่ง ซึ่งคุณจะได้โบนัสจากม้านั่งตัวนี้ด้วย เพราะถ้าคุณใส่กางเกงขาสั้น นั่งนานๆ ในฤดูร้อน คุณจะได้ลุกออกไป พร้อมส่วนประกอบของเรื่อง บนต้นขาของคุณ
(Laughter)
(เสียงหัวเราะ)
Another functional work, it's in the south side of Chicago for a subway station. And it's called "Seeds of the Future are Planted Today." It's a story about transformation and connections. So it acts as a screen to protect the rail and the commuter, and not to have objects falling on the rails. To be able to change fences and window guards into flowers, it's fantastic. And here I've been working for the last three years with a South Bronx developer to bring art to life to low-income buildings and affordable housing. So each building has its own personality. And sometimes it's about a legacy of the neighborhood, like in Morrisania, about the jazz history. And for other projects, like in Paris, it's about the name of the street. It's called Rue des Prairies -- Prairie Street. So I brought back the rabbit, the dragonfly, to stay in that street.
อีกงานที่ใช้งานได้ อยู่ทางใต้ของชิคาโก ของสถานีรถไฟใต้ดิน ชื่อ "วันนี้เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต ได้ถูกบ่มเพาะแล้ว" เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแแลง และการเชื่อมโยง มันจึงเป็นฉากกั้น เพื่อป้องกันรถไฟและคนเดินทาง และกันไม่ให้ของตกลงไปในรางด้วย เพื่อจะได้เปลี่ยนรั้ว และลูกกรงหน้าต่างเป็นดอกไม้ มันวิเศษมาก ฉันทำงานมาได้ 3 ปีแล้ว กับผู้พัฒนาจากเซาธ์ บรองซ์ เพื่อนำศิลปะมาสู่ชีวิต สู่อาคารที่มีรายได้น้อย และบ้านในราคาที่พอซื้อได้ แต่ละตึกจึงมีบุคลิกส่วนตัว แล้วบางทีก็มีเรื่องมรดกของท้องถิ่น เช่นในมอร์ริซาเนีย เป็นประวัติของดนตรีแจ๊ซ และในงานอื่นๆ อย่างในปารีส เป็นชื่อของถนน เรียกว่า รู เดอ เพรรีส์ -- ถนนกระต่าย ฉันจึงนำกระต่าย แมลงปอ กลับมาอยู่ในถนนสายนั้น
And in 2009, I was asked to make a poster to be placed in the subway cars in New York City for a year. So that was a very captive audience. And I wanted to give them an escape. I created "All Around Town." It is a papercutting, and then after, I added color on the computer. So I can call it techno-crafted.
แล้วในปี 2009 มีคนขอให้่ทำโปสเตอร์ เพื่อติดในรถใต้ดินของนิวยอร์ค เป็นเวลา 1 ปี จึงมีแต่ผู้่ชมที่ถูกขังไว้ และฉันต้องการทำทางหนีให้พวกเขา ฉันสร้างงาน "ทั่วทั้งเมือง" เป็นงานตัดกระดาษ หลังจากนั้น ก็ใส่สีในคอมพิวเตอร์ ฉันเรียกมันว่า งานฝีมือเทคโน
And along the way, I'm kind of making papercuttings and adding other techniques. But the result is always to have stories. So the stories, they have a lot of possibilities. They have a lot of scenarios. I don't know the stories. I take images from our global imagination, from cliché, from things we are thinking about, from history. And everybody's a narrator, because everybody has a story to tell. But more important is everybody has to make a story to make sense of the world. And in all these universes, it's like imagination is the vehicle to be transported with, but the destination is our minds and how we can reconnect with the essential and with the magic. And it's what story cutting is all about.
และระหว่างทำงานนั้น ฉันทั้งตัดกระดาษไปด้วย ใส่เทคนิคอื่นเข้าไปด้วย แต่ทุกงานก็ทำขึ้นมาเพื่อสร้างเรื่องราว เรื่องราวต่าง ๆ มีความเป็นไปได้ มีเรื่องสมมุติมากมาย ฉันไม่ได้รู้เรื่องราว ฉันได้รูปจากการจินตนาการถึงโลกกว้าง จากสิ่งจำเจ สิ่งที่เรากำลังคิด จากประวัติศาสตร์ และทุกคนก็เป็นนักเล่าเรื่อง เพราะทุกคนมีเรื่องที่จะเล่า แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือทุกคนต้องสร้างเรื่องราว เพื่อเล่าเรื่องของโลกใบนี้ และในทุกๆ ภพ มันเหมือนจินตนาการคือพาหนะ เพื่อร่วมทางไปด้วย แต่จุดหมายของจิตใจของเรา และวิธีที่จะระลึกถึง ด้วยเนื้อแท้และสิ่งวิเศษ และนี่คือเรื่องราวของการตัดกระดาษค่ะ
(Applause)
เสียงปรบมือ