The most massive tsunami perfect storm is bearing down upon us. This perfect storm is mounting a grim reality, increasingly grim reality, and we are facing that reality with the full belief that we can solve our problems with technology, and that's very understandable. Now, this perfect storm that we are facing is the result of our rising population, rising towards 10 billion people, land that is turning to desert, and, of course, climate change.
สึนามิ และพายุ ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา กำลังโถมเข้าหาเรา พายุที่ว่านี้ กำลังบดบังความเป็นจริง ให้มืดมนลงเรื่อยๆ และเรากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนั้น ด้วยความเชื่อสนิทใจ ว่าเราสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ พายุที่เรากำลังเผชิญหน้านี้ เป็นผลจากประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ที่กำลังเข้าใกล้ 1 หมื่นล้านคน เข้าไปทุกขณะ จากพื้นดินที่กำลังกลายเป็นทะเลทราย และแน่นอน จากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ
Now there's no question about it at all: we will only solve the problem of replacing fossil fuels with technology. But fossil fuels, carbon -- coal and gas -- are by no means the only thing that is causing climate change.
มันปราศจากข้อกังขา ว่าเราจะแก้ปัญหา การแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ด้วยเทคโนโลยี แต่เชื้อเพลงฟอสซิล เช่น ถ่านหินและน้ำมัน ไม่ใช่ปัจจัยหนึ่งเดียว ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ
Desertification is a fancy word for land that is turning to desert, and this happens only when we create too much bare ground. There's no other cause. And I intend to focus on most of the world's land that is turning to desert.
การกลายสภาพเป็นทะเลทราย (Desertification) คือศัพท์หรูๆ ที่ใช้เรียกผืนดินที่กำลังกลายเป็นทะเลทราย และสิ่งนี้เกิดขึ้น เมื่อเราปล่อยให้มีผืนดินโล่งๆ มากเกินไป ไม่มีสาเหตุอื่นใดเลย และผมตั้งใจจะเน้นที่ ผืนดินส่วนใหญ่ของโลก ที่กำลังกลายเป็นทะเลทราย
But I have for you a very simple message that offers more hope than you can imagine. We have environments where humidity is guaranteed throughout the year. On those, it is almost impossible to create vast areas of bare ground. No matter what you do, nature covers it up so quickly. And we have environments where we have months of humidity followed by months of dryness, and that is where desertification is occurring. Fortunately, with space technology now, we can look at it from space, and when we do, you can see the proportions fairly well. Generally, what you see in green is not desertifying, and what you see in brown is, and these are by far the greatest areas of the Earth. About two thirds, I would guess, of the world is desertifying.
แต่ผมมีข้อความง่ายๆ ข้อความหนึ่ง ที่ให้ความหวังมากกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ เรามีสภาพแวดล้อม ที่มีความชื้นตลอดทั้งปี ในพื้นที่เหล่านั้น มันเกือบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะปล่อยพื้นที่ให้โล่งเป็นบริเวณกว้าง ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไร ธรรมชาติก็จะเข้ามาครอบคลุมพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็ว และเรามีสภาพแวเล้อม ที่เรามีความชื้นในหลายๆ เดือน ต่อด้วยความแห้งอีกหลายๆ เดือน และนี่คือสถานที่ที่กำลังกลายเป็นทะเลทราย โชคดีที่ทุกวันนี้ เรามีเทคโนโลยีอวกาศ ทำให้เรามองมันจากนอกโลกได้ และเมื่อเรามองกลับมา เราจะเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน โดยรวมแล้ว อะไรที่คุณเห็นเป็นสีเขียว คือส่วนที่ยังไม่กลายเป็นทะเลทราย ส่วนที่คุณเห็นสีน้ำตาลนั้น ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของโลกทั้งใบ กำลังกลายเป็นทะเลทราย
I took this picture in the Tihamah Desert while 25 millimeters -- that's an inch of rain -- was falling. Think of it in terms of drums of water, each containing 200 liters. Over 1,000 drums of water fell on every hectare of that land that day. The next day, the land looked like this. Where had that water gone? Some of it ran off as flooding, but most of the water that soaked into the soil simply evaporated out again, exactly as it does in your garden if you leave the soil uncovered. Now, because the fate of water and carbon are tied to soil organic matter, when we damage soils, you give off carbon. Carbon goes back to the atmosphere.
ผมถ่ายรูปนี้จากทะเลทรายทิฮามาห์ (Tihamah Desert) ที่ที่ฝนตก 25 มิลลิลิตร หรือ 1 นิ้ว ลองจินตนาการว่าเป็นถังน้ำ แต่ละถังจุได้ 200 ลิตร ในวันนั้น ในพื้นที่ทุกๆ 10,000 ตารางเมตร จะมีน้ำฝนตกลงมากว่า 1,000 ถัง แต่วันถัดมา พื้นที่นั้นกลายเป็นแบบนี้ น้ำพวกนั้นหายไปไหนหมด บางส่วนไหลทะลักออกจากพื้นที่ไป แต่น้ำส่วนใหญ่ที่ซึมเข้าไปในดิน ระเหยออกมาอย่างง่ายๆ เฉกเช่นเดียวกับในสวนของคุณ ถ้าคุณปล่อยให้ดินเปลือยเปล่า และเนื่องจากชะตากรรมของน้ำและคาร์บอนนั้น ผูกติดอยู่กับสารอินทรีย์ในดิน เมื่อเราทำดินเสียหาย เราปล่อยคาร์บอนออกมา คาร์บอนก็กลับเข้าไปในชั้นบรรยากาศ
Now you're told over and over, repeatedly, that desertification is only occurring in arid and semi-arid areas of the world, and that tall grasslands like this one in high rainfall are of no consequence. But if you do not look at grasslands but look down into them, you find that most of the soil in that grassland that you've just seen is bare and covered with a crust of algae, leading to increased runoff and evaporation. That is the cancer of desertification that we do not recognize till its terminal form.
มีคนบอกคุณหลายต่อหลายครั้ง ว่าการเกิดทะเลทรายนั้น เกิดขึ้นในพื้นที่ที่แห้งแล้ง หรือเกือบแห้งแล้งแล้วเท่านั้น และทุ่งหญ้าแบบนี้ ในพื้นที่ที่ฝนตกชุก ไม่ได้รับผลกระทบเลย แต่ถ้าคุณมองลงไปใต้ทุ่งหญ้าเหล่านี้ คุณจะพบว่า ดินส่วนใหญ่ในทุ่งหญ้า ที่คุณเพิ่งเห็นนั้น ถูกเปิดโล่ง และคลุมไว้ด้วยสาหร่ายบางๆเท่านั้น ซึ่งทำให้น้ำไหลออก และระเหยออกมากขึ้น นั่นคือมะเร็งของการเกิดทะเลทรายครับ เรามองไม่เห็นมัน จนมันอยู่ในระยะสุดท้าย
Now we know that desertification is caused by livestock, mostly cattle, sheep and goats, overgrazing the plants, leaving the soil bare and giving off methane. Almost everybody knows this, from nobel laureates to golf caddies, or was taught it, as I was. Now, the environments like you see here, dusty environments in Africa where I grew up, and I loved wildlife, and so I grew up hating livestock because of the damage they were doing. And then my university education as an ecologist reinforced my beliefs.
เรารู้ว่าทะเลทรายเกิดจากปศุสัตว์ ส่วนใหญ่จากวัว แกะ และแพะ ที่กินหญ้าปริมาณมากเกินไป ทำให้พื้นดินเปลือยเปล่า และปล่อยก๊าซมีเทน เกือบทุกคนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ผู้ได้รางวัลโนเบล ยันแคดดี้ตามสนามกอล์ฟ หรืออย่างพวกเรา ที่ถูกสอนเรื่องนี้ในโรงเรียน สภาพแวดล้อมอย่างที่เราเห็นอยู่นี้ แอฟริกาที่เต็มไปด้วยฝุ่น นี่คือที่ที่ผมโตมา และผมรักสัตว์ป่าทั้งหลาย และโตขึ้นพร้อมกับความเกลียดชังปศุสัตว์ เพราะความเสียหายที่พวกมันทำ การเรียนระดับมหาวิทยาลัยของผม เพื่อเป็นนักนิเวศวิทยา ยิ่งช่วยตอกย้ำความคิดเหล่านั้น
Well, I have news for you. We were once just as certain that the world was flat. We were wrong then, and we are wrong again. And I want to invite you now to come along on my journey of reeducation and discovery.
วันนี้ผมมีข่าวใหม่มาบอกครับ เราเคยเชื่อมั่นกันว่า โลกนั้นแบนราบ ตอนนั้นเราคิดผิด และตอนนี้เราก็คิดผิดอีกครั้ง ผมอยากเชื้อเชิญให้คุณ ตามผมไปยังเส้นทางแห่งการเรียนรู้ใหม่ และการค้นพบ
When I was a young man, a young biologist in Africa, I was involved in setting aside marvelous areas as future national parks. Now no sooner — this was in the 1950s — and no sooner did we remove the hunting, drum-beating people to protect the animals, than the land began to deteriorate, as you see in this park that we formed. Now, no livestock were involved, but suspecting that we had too many elephants now, I did the research and I proved we had too many, and I recommended that we would have to reduce their numbers and bring them down to a level that the land could sustain. Now, that was a terrible decision for me to have to make, and it was political dynamite, frankly. So our government formed a team of experts to evaluate my research. They did. They agreed with me, and over the following years, we shot 40,000 elephants to try to stop the damage. And it got worse, not better. Loving elephants as I do, that was the saddest and greatest blunder of my life, and I will carry that to my grave. One good thing did come out of it. It made me absolutely determined to devote my life to finding solutions.
สมัยที่ผมยังหนุ่มๆ นักชีววิทยาหนุ่มในแอฟริกา ผมทำงานด้านการวางแผนจัดตั้ง อุทยานแห่งชาติใหม่ๆ ในอนาคต ไม่นานหลังจาก -- นี่ช่วงปี 1950 นะครับ -- ไม่นานหลังจากที่เราประกาศห้ามล่าสัตว์ และสนับสนุนให้ผู้คนอนุรักษ์สัตว์ป่า ผืนดินกลับเริ่มเสื่อมโทรม ดังที่คุณเห็นในอุทยานที่เราตั้งขึ้นมานี้ ไม่มีปศุสัตว์มาเกี่ยวข้อง แต่เราสงสัยว่า เรามีช้างมากเกินไป ผมทำการวิจัย และพิสูจน์ว่ามีช้างมากเกินไปจริงๆ ผมเสนอให้เราลดจำนวนช้างลง เพื่อที่ผืนดินจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน นั่นเป็นการตัดสินใจที่ทำใจยากมากสำหรับผม เป็นระเบิดทางการเมืองเลย รัฐบาลของเราจัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินงานวิจัยของผม เขาประเมินออกมา เห็นด้วยกับผม และในหลายปีต่อมา เรายิงช้างไปกว่า 40,000 เชือก เพื่อยับยั้งการทำลายผืนดิน แต่สภาพแวดล้อมกลับเลวร้ายลง ผมรักช้างนะครับ ผมเสียใจ และนั่นเป็นความผิดพลาด ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของผม ผมจะจำไปจนวันตาย แต่มีเรื่องดีเรื่องหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ มันทำให้ผมตั้งมั่น ว่าจะต้องทุ่มเทชีวิตนี้ แก้ไขปัญหานี้ให้ได้
When I came to the United States, I got a shock, to find national parks like this one desertifying as badly as anything in Africa. And there'd been no livestock on this land for over 70 years. And I found that American scientists had no explanation for this except that it is arid and natural. So I then began looking at all the research plots I could over the whole of the Western United States where cattle had been removed to prove that it would stop desertification, but I found the opposite, as we see on this research station, where this grassland that was green in 1961, by 2002 had changed to that situation. And the authors of the position paper on climate change from which I obtained these pictures attribute this change to "unknown processes."
ตอนที่ผมมาสหรัฐอเมริกา ผมตกใจมาก ที่เห็นอุทยานแห่งชาติแบบนี้ กำลังกลายเป็นทะเลทราย เลวร้ายพอๆกับในแอฟริกา และไม่มีปศุสัตว์ในพื้นที่นี้ มากว่า 70 แล้ว และผมพบว่า นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่ามันแห้งแล้ง และเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ผมเลยเริ่มมองหา พื้นที่วิจัยทั้งหมดที่หาได้ ในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งวัวถูกย้ายออก และพบว่ามันหยุดการก่อตัวของทะเลทรายได้ แต่ผมกลับพบสิ่งที่ตรงกันข้าม ในสถานีวิจัยนี้ ที่ที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี เมื่อปี 1961 แต่ในปี 2002 มันกลายเป็นแบบนี้ และเจ้าของงานวิจัยเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศนี้ ผู้ที่ให้รูปเหล่านี้มา กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจาก "กระบวนการที่ไม่อาจทราบได้"
Clearly, we have never understood what is causing desertification, which has destroyed many civilizations and now threatens us globally. We have never understood it. Take one square meter of soil and make it bare like this is down here, and I promise you, you will find it much colder at dawn and much hotter at midday than that same piece of ground if it's just covered with litter, plant litter. You have changed the microclimate. Now, by the time you are doing that and increasing greatly the percentage of bare ground on more than half the world's land, you are changing macroclimate. But we have just simply not understood why was it beginning to happen 10,000 years ago? Why has it accelerated lately? We had no understanding of that.
มันชัดเจนว่า เราไม่เคยเข้าใจ ว่าทะเลทรายเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำลายอารยธรรมมากมาย และกำลังเป็นภัยคุกคามพวกเราทั่วโลก เราไม่เคยเข้าใจมันเลย ลองยกผืนดิน 1 ตารางเมตร และทำให้มันโล่งโจ้งแบบนี้ ผมฟันธงได้ว่า มันจะเย็นกว่าในตอนรุ่งเช้า และร้อนกว่าในตอนกลางวัน เมื่อเทียบกับ พื้นที่อื่นที่ถูกปกคลุมด้วยขยะ ขยะของเหล่าต้นไม้ คุณได้เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ระดับจุลภาคแล้ว และถ้าคุณทำแบบนั้น เพิ่มปริมาณผืนดินเปลือยเปล่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่โลกใบนี้ คุณก็เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศระดับมหภาคไปแล้ว แต่เราก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันเพิ่งเริ่มต้นเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว และเร่งความเร็วขึ้นระยะหลังมานี้ เราไม่เข้าใจเลยสักนิด
What we had failed to understand was that these seasonal humidity environments of the world, the soil and the vegetation developed with very large numbers of grazing animals, and that these grazing animals developed with ferocious pack-hunting predators. Now, the main defense against pack-hunting predators is to get into herds, and the larger the herd, the safer the individuals. Now, large herds dung and urinate all over their own food, and they have to keep moving, and it was that movement that prevented the overgrazing of plants, while the periodic trampling ensured good cover of the soil, as we see where a herd has passed.
สิ่งที่เราไม่อาจจะเข้าใจ คือความชื้นตามฤดูกาลบนโลกใบนี้ ผืนดินและพืชผัก ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับสัตว์กินหญ้าจำนวนมาก และสัตว์กินหญ้าเหล่านี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับฝูงสัตว์ผู้ล่าที่ดุร้าย การป้องกันหลักจากนักล่าพวกนั้น คือการอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ยิ่งฝูงใหญ่เท่าไหร่ แต่ละตัวก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้น ทีนี้ สัตว์ฝูงใหญ่นั้น ทิ้งมูลและฉี่ บนอาหารของตนเอง และต้องเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ มันคือการเคลื่อนย้ายนั้นล่ะ ที่ป้องกันการกินหญ้าในบริเวณหนึ่งมากเกินไป ในขณะที่การเหยียบย่ำอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้มูลเหล่านั้น กระจายปกคลุมผืนดิน ดังที่เราเห็นเวลาฝูงสัตว์ผ่านไป
This picture is a typical seasonal grassland. It has just come through four months of rain, and it's now going into eight months of dry season. And watch the change as it goes into this long dry season. Now, all of that grass you see aboveground has to decay biologically before the next growing season, and if it doesn't, the grassland and the soil begin to die. Now, if it does not decay biologically, it shifts to oxidation, which is a very slow process, and this smothers and kills grasses, leading to a shift to woody vegetation and bare soil, releasing carbon. To prevent that, we have traditionally used fire. But fire also leaves the soil bare, releasing carbon, and worse than that, burning one hectare of grassland gives off more, and more damaging, pollutants than 6,000 cars. And we are burning in Africa, every single year, more than one billion hectares of grasslands, and almost nobody is talking about it. We justify the burning, as scientists, because it does remove the dead material and it allows the plants to grow.
นี่คือรูปของทุ่งหญ้าทั่วๆ ไป เพิ่งมีฝนตกติดต่อกัน 4 เดือน และกำลังเข้าหน้าแล้งใน 8 เดือนที่เหลือ ลองดูการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ย่างเข้าหน้าแล้ง หญ้าที่คุณเห็นทั้งหมดนั้น ต้องย่อยสลายทางชีวภาพ ก่อนถึงหน้าฝนถัดไป เพราะถ้าย่อยสลายไม่ทัน ทุ่งหญ้าและดินตรงนั้น ก็จะเริ่มตายลง ทีนี้ ถ้ามันไม่ย่อยสลายทางชีวภาพ ก็จะเกิดปฎิกิริยาเคมีแบบออกซิเดชั่นแบบช้าๆ ซึ่งจะปกคลุมและฆ่าหญ้าเหล่านั้น ทำให้พื้นที่ มีแต่พืชที่มีใบน้อย และดินเปลือย ซึ่งปล่อยคาร์บอนออกมา ปกติแล้วเราป้องกันสิ่งนี้ด้วยการเผา แต่การเผาก็ทำให้ดินเปลือย ซึ่งปล่อยคาร์บอนอีก และที่แย่ไปกว่านั้น การเผาทุกหญ้าขนาด 1 เฮกตาร์ (10,000 ตร.ม.) นั้น สร้างมลพิษมากกว่า และร้ายแรงกว่า รถ 6,000 คันเสียอีก และในแอฟริกา เราเผาทุ่งหญ้า มากกว่า 1 พันล้านเฮกตาร์ ทุกๆปี และแทบจะไม่มีใครพูดถึงมัน เรายอมรับการเผาหญ้า ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ก็เพราะมันกำจัดสิ่งที่ตายแล้ว และทำให้พืชพรรณเจริญเติบโตได้อีก
Now, looking at this grassland of ours that has gone dry, what could we do to keep that healthy? And bear in mind, I'm talking of most of the world's land now. Okay? We cannot reduce animal numbers to rest it more without causing desertification and climate change. We cannot burn it without causing desertification and climate change. What are we going to do? There is only one option, I'll repeat to you, only one option left to climatologists and scientists, and that is to do the unthinkable, and to use livestock, bunched and moving, as a proxy for former herds and predators, and mimic nature. There is no other alternative left to mankind.
ที่นี้ ลองมาดูทุ่งหญ้าที่แห้งแล้วนี้กัน เราจะทำอย่างไรให้มันอุดมสมบูรณ์ได้ต่อไป อย่าลืมนะครับ ผมกำลังพูดถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก เราไม่สามารถลดจำนวนสัตว์ลง โดยที่ไม่เพิ่มทะเลทราย หรือเร่งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ เราไม่สามารถเผามัน โดยไม่เพิ่มทะเลทราย หรือเร่งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ แล้วเราจะทำอย่างไร มีเพียงทางเลือกเดียวครับ ขอย้ำอีกที เรามีเพียงทางเลือกเดียว เหลือให้กับนักภูมิอากาศและนักวิทยาศาตร์ นั่นคือการทำสิ่งที่เราไม่เคยคิด การใช้ปศุสัตว์นั่นเอง ต้อนรวมพวกมัน แล้วย้ายมันไปเรื่อยๆ เสมือนกับระบบนักล่าและฝูงผู้ถูกล่าแบบแต่ก่อน เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ มนุษยชาติไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
So let's do that. So on this bit of grassland, we'll do it, but just in the foreground. We'll impact it very heavily with cattle to mimic nature, and we've done so, and look at that. All of that grass is now covering the soil as dung, urine and litter or mulch, as every one of the gardeners amongst you would understand, and that soil is ready to absorb and hold the rain, to store carbon, and to break down methane. And we did that, without using fire to damage the soil, and the plants are free to grow.
ดังนั้น เรามาทำกันเถอะครับ เราจะทดลองบริเวณส่วนบนของทุ่งหญ้านี้ เราจะปล่อยวัวเข้าไปเป็นจำนวนมาก เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ และเราก็จะได้ผลลัพธ์แบบนี้ หญ้าทั้งหมดนั้นปกคลุมดินไว้อยู่ เช่นเดียวกับมูลสัตว์ ฉี่ และสิ่งปกคลุมอื่นๆ ซึ่งทุกคนที่ชอบทำสวนในนี้น่าจะเข้าใจ ผืนดินนั้นพร้อมที่จะซึมซับ และเก็บกักน้ำฝนไว้ เพื่อเก็บกักคาร์บอน และย่อยมีเทน และเราทำสิ่งเหล่านั้นได้ โดยไม่ต้องใช้ไฟ ซึ่งทำลายดิน และพืชพรรณก็ยังเติบโตได้
When I first realized that we had no option as scientists but to use much-vilified livestock to address climate change and desertification, I was faced with a real dilemma. How were we to do it? We'd had 10,000 years of extremely knowledgeable pastoralists bunching and moving their animals, but they had created the great manmade deserts of the world. Then we'd had 100 years of modern rain science, and that had accelerated desertification, as we first discovered in Africa and then confirmed in the United States, and as you see in this picture of land managed by the federal government. Clearly more was needed than bunching and moving the animals, and humans, over thousands of years, had never been able to deal with nature's complexity. But we biologists and ecologists had never tackled anything as complex as this. So rather than reinvent the wheel, I began studying other professions to see if anybody had. And I found there were planning techniques that I could take and adapt to our biological need, and from those I developed what we call holistic management and planned grazing, a planning process, and that does address all of nature's complexity and our social, environmental, economic complexity.
ตอนที่ผมคิดได้ ว่านักวิทยาศาสตร์อย่างเราไม่มีทางเลือก นอกจากการใช้ปศุสัตว์ที่เรากล่าวหาให้ร้าย เพื่อแก้ปัญหาทะเลทราย และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ผมเจอปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เราจะทำได้อย่างไร เรามีการปศุสัตว์มามากกว่า 10,000 ปี ต้อนและย้ายสัตว์ไปมา แต่พวกเขาก็ได้สร้างทะเลทราย ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มนุษย์สร้าง ต่อด้วย 100 ปีแห่งวิทยาศาสตร์ด้านฝน ที่เร่งให้เกิดทะเลทรายเร็วยิ่งกว่าเดิม ดังที่เราเห็นในแอฟริกา และยืนยันชัดเจนอีกในสหรัฐอเมริกา ดังที่คุณเห็นในรูปนี้ ผืนดินที่จัดการโดยรัฐบาลกลาง แน่นอนว่าเราต้องการ มากกว่าการต้อน และเคลื่อนย้ายสัตว์ไปมา และหลายพันปีที่ผ่านมา มนุษย์เรา ไม่เคยสู้กับความซับซ้อนของธรรมชาติได้ แต่เราในฐานะนักชีววิทยา และนักนิเวศวิทยา ไม่เคยลองต่อกรกับอะไรที่ซับซ้อนเช่นนี้ ดังนั้น แทนที่จะประดิษฐ์ล้อขึ้นมาอีกรอบ ผมศึกษาว่าอาชีพอื่นเขาทำอะไรกันบ้าง และพบว่ามีเทคนิคการวางแผน ที่ผมสามารถปรับมาใช้ กับความต้องการด้านชีววิทยาของเรา และด้วยข้อมูลเหล่านั้น ผมพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า การจัดการและวางแผนการเลี้ยง ปศุสัตว์กินหญ้าแบบองค์รวม เป็นแนวทางการวางแผน ซึ่งจัดการกับความซับซ้อนทางธรรมชาติทั้งหมด รวมถึงความซับซ้อนทางสังคม ทางสิ่งแวดล้อม และเศษฐกิจของเรา
Today, we have young women like this one teaching villages in Africa how to put their animals together into larger herds, plan their grazing to mimic nature, and where we have them hold their animals overnight -- we run them in a predator-friendly manner, because we have a lot of lands, and so on -- and where they do this and hold them overnight to prepare the crop fields, we are getting very great increases in crop yield as well.
วันนี้ เรามีหญิงสาวเช่นนี้ สอนหนังสือหมู่บ้านในแอฟริกา ถึงวิธีการรวมฝูงสัตว์ให้เป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น วางแผนการปล่อยปศุสัตว์กินหญ้า ให้เลียนแบบธรรมชาติ และในบริเวณที่เราปล่อยให้สัตว์อยู่ตรงนั้นชั่วข้ามคืน -- เราจัดการมันในลักษณะเป็นมิตรต่อนักล่า เพราะเรามีพื้นที่มากมาย ฯลฯ -- ในบริเวณที่เราปล่อยสัตว์ทิ้งไว้ข้ามคืน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำไร่ เราเห็นผลผลิตที่สูงขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน
Let's look at some results. This is land close to land that we manage in Zimbabwe. It has just come through four months of very good rains it got that year, and it's going into the long dry season. But as you can see, all of that rain, almost of all it, has evaporated from the soil surface. Their river is dry despite the rain just having ended, and we have 150,000 people on almost permanent food aid. Now let's go to our land nearby on the same day, with the same rainfall, and look at that. Our river is flowing and healthy and clean. It's fine. The production of grass, shrubs, trees, wildlife, everything is now more productive, and we have virtually no fear of dry years. And we did that by increasing the cattle and goats 400 percent, planning the grazing to mimic nature and integrate them with all the elephants, buffalo, giraffe and other animals that we have. But before we began, our land looked like that. This site was bare and eroding for over 30 years regardless of what rain we got. Okay? Watch the marked tree and see the change as we use livestock to mimic nature. This was another site where it had been bare and eroding, and at the base of the marked small tree, we had lost over 30 centimeters of soil. Okay? And again, watch the change just using livestock to mimic nature. And there are fallen trees in there now, because the better land is now attracting elephants, etc. This land in Mexico was in terrible condition, and I've had to mark the hill because the change is so profound.
ลองมาดูผลลัพธ์กัน ที่ดินนี้อยู่ใกล้กับที่ดินที่เราจัดการ ในซิมบับเว เพิ่งมีฝนตกชุกมาตลอด 4 เดือน และกำลังเข้าสู่ฤดูแล้งที่ยาวนาน แต่ดังที่คุณเห็นได้ น้ำฝนทั้งหมด เกือบทั้งหมดเลย ได้ระเหยไปจากพื้นดิน แม่น้ำก็เหือดแห้ง ถึงแม้ว่าฝนเพิ่งหมดช่วงไป และเรามีคน 150,000 คน ที่ต้องรับความช่วยเหลือเรื่องอาหาร เกือบจะเป็นประจำ ลองมาดูอีกพื้นที่ใกล้ๆกัน ในวันเดียวกัน ในปริมาณฝนเท่ากัน ดูสิครับ แม่น้ำมีน้ำไหล อุดมสมบูรณ์และสะอาด ดูเป็นปกติเลย ผลผลิตของต้นหญ้า พุ่มไม้ ต้นไม้ สัตว์ป่า ทุกอย่างกำลังสร้างผลผลิตมากขึ้น และเราไม่ต้องกลัวปีแล้งอีกต่อไป เราทำได้โดยการเพิ่มจำนวนวัวและแพะ ขึ้นไป 400 เปอร์เซ็นต์ วางแผนการกินหญ้าให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และผสมผสานกับช้าง ควาย ยีราฟ และสัตว์อื่นๆ ที่เรามี ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะเริ่ม พื้นดินเราหน้าตาแบบนี้ พื้นที่นี้โล่งเปล่า และโดนกัดกร่อนมากว่า 30 ปี ไม่ว่าฝนจะตกแค่ไหนก็ตาม ดูความแตกต่างตรงที่ทำเครื่องหมายไว้ เมื่อเราใช้ปศุสัตว์เลียนแบบธรรมชาติ นี่เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ที่โล่งเปล่าและโดนกัดกร่อน บริเวณที่ทำเครื่องหมายไว้ เราสูญเสียดินไปกว่า 30 เซนติเมตร เอาล่ะ ลองดูความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยใช้ปศุสัตว์เลียนแบบธรรมชาติเท่านั้น เราเริ่มเห็นต้นไม้ล้มลง เพราะช้างเริ่มเข้ามาอาศัยอยู่กันแล้ว พื้นที่นี้ในเม็กซิโก ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก ผมต้องทำเครื่องหมายที่เนินนั้นไว้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก
(Applause)
(เสียงปรบมือ)
I began helping a family in the Karoo Desert in the 1970s turn the desert that you see on the right there back to grassland, and thankfully, now their grandchildren are on the land with hope for the future. And look at the amazing change in this one, where that gully has completely healed using nothing but livestock mimicking nature, and once more, we have the third generation of that family on that land with their flag still flying.
ผมเริ่มช่วยเหลือครอบครัวในทะเลทรายคารู (Karoo Desert) ในช่วงปี 1970 ด้วยการเปลี่ยนทะเลทรายที่คุณเห็นซ้ายมือนี้ ให้กลับไปเป็นทุ่งหญ้า และต้องขอบคุณที่ทุกวันนี้ ลูกหลานเขาอยู่บนพื้นดิน ที่มีความหวังในอนาคตแล้ว ตรงนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์มาก ธารน้ำตรงนั้นได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ โดยใช้เพียงปศุสัตว์เลียนแบบธรรมชาติ เป็นอีกครั้ง ที่ครอบครัวยุคที่สาม อาศัยอย่างมีความสุข อยู่บนผืนดินเดิมของพวกเขา
The vast grasslands of Patagonia are turning to desert as you see here. The man in the middle is an Argentinian researcher, and he has documented the steady decline of that land over the years as they kept reducing sheep numbers. They put 25,000 sheep in one flock, really mimicking nature now with planned grazing, and they have documented a 50-percent increase in the production of the land in the first year.
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใน พาตาโกเนีย (Patagonia) กำลังกลายเป็นทะเลทราย อย่างที่คุณเห็น ผู้ชายตรงกลางนั้นเป็นนักวิจัยชาวอาร์เจนติน่า เขาได้บันทึกการเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ของพื้นดินบริเวณนั้น ตลอดหลายปีที่เขาลดจำนวนแกะลงเรื่อยๆ เขานำฝูงแกะ 25,000 ตัวกลับเข้าไป เลียนแบบธรรมชาติด้วยการวางแผนปศุสัตว์กินหญ้า ตอนนี้พวกเขาบันทึกว่า ผลผลิตในพื้นที่มากขึ้น ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีแรก
We now have in the violent Horn of Africa pastoralists planning their grazing to mimic nature and openly saying it is the only hope they have of saving their families and saving their culture. Ninety-five percent of that land can only feed people from animals.
บริเวณคาบสมุทรโซมาลีที่มีความรุนแรงของปัญหา นักปศุสัตว์วางแผนการกินหญ้าของสัตว์เลียนแบบธรรมชาติ และพูดอย่างเต็มปากว่ามันคือทางเลือกสุดท้าย ที่จะปกป้องครอบครัวและวัฒนธรรมของพวกเขาได้ กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ มีแต่การเลี้ยงสัตว์ได้เท่านั้น ที่จะช่วยจุนเจือชีวิตคน
I remind you that I am talking about most of the world's land here that controls our fate, including the most violent region of the world, where only animals can feed people from about 95 percent of the land. What we are doing globally is causing climate change as much as, I believe, fossil fuels, and maybe more than fossil fuels. But worse than that, it is causing hunger, poverty, violence, social breakdown and war, and as I am talking to you, millions of men, women and children are suffering and dying. And if this continues, we are unlikely to be able to stop the climate changing, even after we have eliminated the use of fossil fuels.
ผมขอย้ำอีกทีว่าผมกำลังพูดถึง พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ที่กำหนดชะตากรรมของพวกเรา รวมถึงพื้นที่ที่มีความรุนแรงมากที่สุดในโลก ที่ๆ จาก 95 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ ใช้เลี้ยงสัตว์ได้อย่างเดียว สิ่งที่ทั่วโลกกำลังทำคือ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ พอๆ กับการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ที่แย่กว่าคือ มันกำลังสร้างความหิวโหย ความยากจน ความรุนแรง สังคมที่วิบัติ และสงคราม และในขณะที่ผมพูดอยู่นี้ ชายหญิงและเด็กเป็นล้านๆคน ก็กำลังทุกข์ทรมาน และตายลง และถ้าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันคงยากที่เราจะหยุด การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศได้ ถึงแม้ว่าเราจะเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วก็ตาม
I believe I've shown you how we can work with nature at very low cost to reverse all this. We are already doing so on about 15 million hectares on five continents, and people who understand far more about carbon than I do calculate that, for illustrative purposes, if we do what I am showing you here, we can take enough carbon out of the atmosphere and safely store it in the grassland soils for thousands of years, and if we just do that on about half the world's grasslands that I've shown you, we can take us back to pre-industrial levels, while feeding people. I can think of almost nothing that offers more hope for our planet, for your children, and their children, and all of humanity.
ผมเชื่อว่าผมได้แสดงให้เห็น ว่าเราทำงานร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไร ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก เพื่อย้อนทุกอย่างเหล่านี้ เรากำลังทำสิ่งนี้ บนพื้นที่กว่า 15 ล้านเฮกตาร์ บน 5 ทวีป และผู้คนที่เข้าใจ เรื่องคาร์บอนมากกว่าผม คำนวณออกมา เพื่อให้เห็นภาพ ว่าถ้าเราทำสิ่งที่ผมกำลังนำเสนอนี้ เราสามารถนำคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ และกักเก็บมันไว้ในพื้นดินของทุ่งหญ้า เป็นพันๆปี และถ้าเราสามารถทำได้ กับทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งของโลก ที่ผมแสดงให้คุณเห็น เราสามารถลดระดับคาร์บอน ลงไปต่ำกว่าก่อนยุคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน ก็สร้างอาหารจุนเจือผู้คนไปด้วย ผมคิดไม่ออกว่ามีอะไร ที่ให้ความหวังกับโลกใบนี้ของเรา ให้ความหวังกับลูกของคุณ และลูกของพวกเขา และมนุษยชาติทั้งปวง ได้มากกว่านี้
Thank you.
ขอบคุณครับ
(Applause) Thank you. (Applause)
(เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
Thank you, Chris.
ขอบคุณครับ คริส
Chris Anderson: Thank you. I have, and I'm sure everyone here has, A) a hundred questions, B) wants to hug you. I'm just going to ask you one quick question. When you first start this and you bring in a flock of animals, it's desert. What do they eat? How does that part work? How do you start?
คริส แอนเดอร์สัน: ขอบคุณครับ ตัวผมเอง และเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ 1) มี 100 คำถาม และ 2) อยากจะกอดคุณ ผมจะถามสั้นๆ 1 คำถามนะครับ ตอนที่คุณเริ่มต้น นำสัตว์ฝูงแรกเข้ามา พื้นที่เป็นทะเลทรายอยู่ พวกมันกินอะไร ระบบทำงานอย่างไร คุณเริ่มต้นอย่างไร
Allan Savory: Well, we have done this for a long time, and the only time we have ever had to provide any feed is during mine reclamation, where it's 100 percent bare. But many years ago, we took the worst land in Zimbabwe, where I offered a £5 note in a hundred-mile drive if somebody could find one grass in a hundred-mile drive, and on that, we trebled the stocking rate, the number of animals, in the first year with no feeding, just by the movement, mimicking nature, and using a sigmoid curve, that principle. It's a little bit technical to explain here, but just that.
อัลลัน ซาวอรี่: เราทำมานานมากแล้ว และครั้งเดียวที่เราต้องใส่อาหารเข้าไป คือพื้นที่เหมืองในอดีต ซึ่งมีพื้นดินเปลือย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายปีที่แล้ว เราเจอพื้นที่ที่แย่ที่สุดในซิมบับเว ที่ผมเสนอจะให้เงิน5 ปอนด์ ในรัศมี 100 ไมล์ ถ้ามีใครหาต้นหญ้าเจอสักต้น ในรัศมี 100 ไมล์ ที่พื้นที่นั่น เราเพิ่มอัตราการทำปศุสัตว์เป็น 3 เท่า และจำนวนของสัตว์ ในปีแรก โดยไม่มีการให้อาหาร ใช้แค่การเคลื่อนที่เลียนแบบธรรมชาติ และใช้หลักกการตามแบบ เส้นโค้งการเจริญเติบโต (sigmoid curve) มันค่อนข้างจะวิชาการไปหน่อยที่จะอธิบายน่ะครับ
CA: Well, I would love to -- I mean, this such an interesting and important idea. The best people on our blog are going to come and talk to you and try and -- I want to get more on this that we could share along with the talk.AS: Wonderful.
คริส: ผมอยากฟังต่อนะครับ ผมว่ามันเป็นความคิดที่น่าสนใจ และสำคัญมาก คนที่เขียนบล็อกของเราจะมาคุยกับคุณ และลอง และ... คือผมอยากได้ข้อมูลเพิ่ม จะได้แบ่งปันความรู้นี้ เพิ่มเติมจากที่คุณพูด อัลลัน: เยี่ยมเลยครับ
CA: That is an astonishing talk, truly an astonishing talk, and I think you heard that we all are cheering you on your way. Thank you so much.AS: Well, thank you. Thank you. Thank you, Chris.
คริส: เป็นการพูดที่น่าทึ่งมาก น่าทึ่งมากจริงๆ ผมคิดว่าคุณทราบ ว่าเรากำลังเอาใจช่วยคุณตลอดนะครับ ขอบคุณมากเลยครับ อัลลัน: ขอบคุณมากครับ คริส
(Applause)
(เสียงปรบมือ)